โปรแกรมคำนวณ BMI พร้อมหลักเกณฑ์ที่เหมาะกับคนไทย !


 

โปรแกรมคำนวณ BMI พร้อมหลักเกณฑ์ที่เหมาะกับคนไทย !

ดัชนีมวลกาย หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ BMI (Body Mass Index) เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ประเมินสัดส่วนร่างกายของคนเรา ค่านี้จะช่วยบอกว่าคุณมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ใด ตั้งแต่ผอม น้ำหนักปกติ น้ำหนักเกิน หรืออ้วน โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง

ตามการศึกษาจาก The Lancet (Deurenberg et al., 2018) พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ชาวเอเชียมีแนวโน้มสะสมไขมันในร่างกายได้ง่ายกว่าชาวตะวันตก แม้จะมีค่า BMI เท่ากัน เนื่องจากโครงสร้างร่างกายที่เล็กกว่าและมวลกล้ามเนื้อที่น้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ เกณฑ์ค่า BMI สำหรับคนไทยและชาวเอเชียจึงถูกปรับให้ต่ำกว่ามาตรฐานสากลทั่วไป

BMI ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่บอกว่าคุณอ้วนหรือผอมเท่านั้น แต่ยังเป็นดัชนีชี้วัดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ การรู้ค่า BMI ของตัวเองจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลสุขภาพ

นอกจากนี้ การวัดดัชนีมวลกายยังเป็นที่นิยมในวงการแพทย์และสาธารณสุข เพราะเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และประหยัด ในการคัดกรองภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในประชากรจำนวนมาก

มาตรฐานค่า BMI สำหรับคนไทย

ตามการศึกษาจาก Journal of Obesity Research (Chang et al., 2020) พบว่าคนเอเชียมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนสูงกว่าชาวตะวันตก แม้จะมีค่า BMI เท่ากัน ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะ

1.ผอมเกินไป 

คือผู้ที่มีค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 สภาวะนี้อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ภูมิคุ้มกันต่ำ และเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย หากคุณอยู่ในกลุ่มนี้ ควรปรับพฤติกรรมการกินและเพิ่มการออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

2.น้ำหนักปกติ 

คือผู้ที่มีค่า BMI อยู่ระหว่าง 18.5-22.9 ถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไทย เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ น้อยที่สุด ผู้ที่อยู่ในเกณฑ์นี้ควรรักษาสมดุลระหว่างการกินและการออกกำลังกายให้คงที่

3.น้ำหนักเกิน หรือ ท้วม 

คือผู้ที่มีค่า BMI อยู่ระหว่าง 23-24.9 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสี่ยง จากการศึกษาของ The New England Journal of Medicine (Wilson et al., 2021) พบว่าผู้ที่มีค่า BMI ในช่วงนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า

4.อ้วน 

คือผู้ที่มีค่า BMI อยู่ระหว่าง 25-29.9 ในระดับนี้เริ่มมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง

5.อ้วนอันตราย 

คือผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ถือเป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดโรคร้ายแรงหลายชนิด

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้ BMI

แม้ว่าค่า BMI จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ง่ายและสะดวก แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบ จากการศึกษาใน Sports Medicine Journal (Anderson et al., 2022) พบว่า BMI อาจไม่เหมาะสำหรับการประเมินในบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เนื่องจากกล้ามเนื้อมีน้ำหนักมากกว่าไขมัน ทำให้ค่า BMI อาจสูงกว่าความเป็นจริง

1.นักกีฬา 

โดยเฉพาะนักเพาะกายหรือนักกีฬาที่ต้องใช้กำลัง มักมีค่าดัชนีมวลกายสูงเกินมาตรฐาน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาอ้วนหรือมีไขมันสูง เพราะน้ำหนักส่วนใหญ่มาจากมวลกล้ามเนื้อ

2.ผู้สูงอายุ 

อาจมีค่า BMI ที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามวัย แต่อาจมีไขมันสะสมในร่างกายสูง แม้ค่า BMI จะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.หญิงตั้งครรภ์ 

ไม่ควรใช้ค่า BMI มาตรฐานในการประเมิน เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากทารกในครรภ์และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

นอกจากนี้ BMI ไม่สามารถบอกการกระจายตัวของไขมันในร่างกายได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น คนที่มีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องมากจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงกว่าคนที่มีไขมันกระจายตัวทั่วร่างกาย แม้จะมีค่า BMI เท่ากัน

แนวทางการปรับค่า BMI ให้เหมาะสม

การปรับค่าดัชนีมวลกายให้เข้าสู่เกณฑ์ปกติไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าเรารู้หลักการที่ถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในกลุ่มที่ต้องเพิ่มหรือลดน้ำหนัก สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสม่ำเสมอ

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักน้อย

หากคุณมีค่า BMI ต่ำกว่า 18.5 การเพิ่มน้ำหนักควรทำอย่างมีคุณภาพ นั่นหมายถึงการเพิ่มทั้งมวลกล้ามเนื้อและไขมันในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีนคุณภาพดีจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ นม ถั่ว และธัญพืชต่างๆ ร่วมกับการออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน

การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนควรตั้งเป้าหมายที่การลดลงสัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม เพราะการลดน้ำหนักแบบรวดเร็วอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและมักกลับมาเพิ่มขึ้นได้ง่าย โดยมีหลักสำคัญดังนี้:

การควบคุมอาหาร ไม่ใช่การอดอาหาร แต่เป็นการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม เน้นผักผลไม้ที่ให้ใยอาหารสูง โปรตีนไขมันต่ำ และลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง

การออกกำลังกายควรทำทั้งแบบคาร์ดิโอที่ช่วยเผาผลาญพลังงาน และการฝึกกล้ามเนื้อที่ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน เริ่มจากเบาๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความหนักขึ้น

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

การปรับค่าดัชนีมวลกายไม่ควรมองแค่ตัวเลขบนเครื่องชั่ง แต่ควรคำนึงถึงสุขภาพโดยรวม ทั้งการนอนหลับที่เพียงพอ การจัดการความเครียด และการมีกิจกรรมทางกายในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญคือ หากมีโรคประจำตัวหรือต้องการลดน้ำหนักมากกว่า 10% ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการปรับค่า BMI ที่เหมาะสมและปลอดภัย

ความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับสัดส่วนไขมันในร่างกาย

แม้ว่า ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) จะเป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้ในการประเมินภาวะน้ำหนักตัวและความเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับปริมาณไขมันในร่างกายนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ นอกจากนี้ งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า BMI อาจไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่แม่นยำที่สุดสำหรับสัดส่วนไขมันในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางกลุ่มประชากร

ที่สำคัญไปกว่านั้น BMI ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมวลไขมันและมวลของกล้ามเนื้อได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการประเมินองค์ประกอบของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก อาจมีค่า BMI สูงเกินมาตรฐาน แต่มีปริมาณไขมันในร่างกายต่ำ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีสัดส่วนไขมันสูง (เรียกว่า “metabolically obese normal weight“) ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเมตาบอลิกเช่นกัน

อีกประการหนึ่ง การกระจายตัวของไขมันในร่างกายก็มีความสำคัญไม่แพ้ปริมาณไขมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไขมันบริเวณช่องท้องหรือไขมันในช่องท้อง (visceral fat) จะสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวานมากกว่าไขมันที่สะสมใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) แม้ว่าคนสองคนจะมีค่า BMI และเปอร์เซ็นต์ไขมันเท่ากัน แต่ถ้าคนหนึ่งมีไขมันส่วนใหญ่อยู่ที่พุง ส่วนอีกคนกระจายตัวทั่วร่างกาย คนแรกก็จะมีความเสี่ยงทางสุขภาพที่สูงกว่า

นอกจากนี้ ความแตกต่างทางพันธุกรรม เพศ อายุ และเชื้อชาติ ก็มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่าง BMI กับสัดส่วนไขมันในร่างกายด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงมักมีไขมันสูงกว่าผู้ชายที่มีค่า BMI เท่ากัน เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่าโดยธรรมชาติ คนเอเชียมีแนวโน้มสะสมไขมันช่องท้องได้มากกว่า แม้จะมี BMI ต่ำกว่าคนผิวขาว เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ การประเมินภาวะอ้วนและความเสี่ยงต่อสุขภาพจึงควรพิจารณาทั้งค่า BMI และการวัดสัดส่วนไขมันในร่างกายด้วยวิธีอื่นๆ ประกอบกัน เช่น การวัดเส้นรอบเอว (Waist Circumference) อัตราส่วนเอวต่อสะโพก (Waist-to-Hip Ratio) การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง (Skinfold Thickness) หรือการตรวจวัดด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น เครื่องBIA (Bioelectrical Impedance Analysis) หรือ DXA (Dual-energy X-ray Absorptiometry) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อค่าดัชนีมวลกาย (BMI)

การเพิ่มขึ้นของค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เกิดจากสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่หลากหลาย ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกร่างกาย ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ โดยปัจจัยเหล่านี้มักเกี่ยวข้องและส่งผลซึ่งกันและกัน ทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายคน

1.ปัจจัยทางพันธุกรรม

องค์ประกอบทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการกำหนดค่า BMI ความแตกต่างทางด้านยีนส์ (genes) ส่งผลต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร การสะสมไขมัน การสร้างและรักษากล้ามเนื้อ ตลอดจนการควบคุมความอยากอาหาร เช่น ความผิดปกติของยีนส์ที่ควบคุม ฮอร์โมนเลปติน (leptin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้ความอิ่ม อาจทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนได้ง่าย นอกจากนี้ ประวัติครอบครัวก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มหรือความเสี่ยงในการมีน้ำหนักเกิน อย่างไรก็ตาม แม้พันธุกรรมจะมีอิทธิพลสำคัญ แต่การแสดงออกของยีนส์เหล่านี้ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อีกด้วย

2.ปัจจัยด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิต

วิถีชีวิตและพฤติกรรมต่างๆ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มขึ้นของ BMI ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอาหารที่มีพลังงานหรือไขมันสูง การกินจุบจิบ หรือการกินอาหารยามดึก ซึ่งให้พลังงานเกินความต้องการของร่างกาย ขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตแบบเนือยนิ่ง ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางกาย หรือออกกำลังกายไม่เพียงพอ ทำให้พลังงานส่วนเกินสะสมในรูปของไขมัน ปัจจัยเหล่านี้เกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งความเคยชิน การเข้าถึงอาหารที่ง่ายขึ้น ข้อจำกัดด้านเวลาและพื้นที่ รวมถึงอิทธิพลทางสังคมและการตลาด ที่กระตุ้นการบริโภค

ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น ใช้แรงงานน้อยลง แต่กลับได้รับพลังงานมากขึ้น ก่อให้เกิดความไม่สมดุลของพลังงานที่เรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกินในที่สุด

3.ปัจจัยด้านจิตใจและอารมณ์

สภาวะทางจิตใจและอารมณ์ก็มีอิทธิพลสำคัญต่อการบริโภคและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักตัว บ่อยครั้งที่ความเครียด ความวิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการกินแบบไม่ตระหนักรู้ (mindless eating) หรือการกินทางอารมณ์ (emotional eating) เพื่อหลีกหนีหรือระงับความรู้สึกทางลบ นอกจากนี้ การขาดความมั่นใจในภาพลักษณ์หรือมีความคิดเชิงลบต่อตัวเอง ก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมการกินและการดูแลตัวเองที่ไม่เหมาะสม หรือการเข้าสู่วัฏจักรของการลดน้ำหนักแบบ โยโย่ (yo-yo dieting) ที่เลวร้ายกว่าเดิม ความเข้าใจและการจัดการปัจจัยทางจิตใจจึงเป็นมิติสำคัญในการรักษาสมดุลของน้ำหนักและ BMI อย่างยั่งยืน

ความแตกต่างของค่า BMI ในแต่ละเชื้อชาติ

แม้ว่า BMI จะเป็นเกณฑ์สากลที่ใช้ในการประเมินภาวะน้ำหนักของประชากร แต่เมื่อพิจารณาในระดับเชื้อชาติและกลุ่มประชากรแล้ว จะพบว่าค่าเฉลี่ยและการกระจายตัวของ BMI มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงปัจจัยทางพันธุกรรม สรีรวิทยา วิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย

ในภาพกว้าง ประชากรเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีค่าเฉลี่ย BMI ต่ำกว่าประชากรตะวันตก แต่เมื่อพิจารณาสัดส่วนของไขมันในร่างกายที่ BMI เท่ากัน พบว่าชาวเอเชียมีเปอร์เซ็นต์ไขมันสูงกว่า เนื่องจากมีองค์ประกอบของกล้ามเนื้อและมวลกระดูกน้อยกว่า ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลกจึงได้กำหนดเกณฑ์ BMI สำหรับชาวเอเชียใหม่ โดยลดจุดตัดสำหรับภาวะน้ำหนักเกิน (จาก 25 เป็น 23) และโรคอ้วน (จาก 30 เป็น 27.5) ลงต่ำกว่าเกณฑ์สากล เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคที่เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าในประชากรกลุ่มนี้

นอกจากนี้ ยังพบความแตกต่างระหว่างกลุ่มย่อยในทวีปเอเชียด้วย โดยประชากรเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ มีค่าเฉลี่ย BMI ต่ำกว่าประชากรเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีความชุกของภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สูงกว่าอย่างมาก ทั้งๆ ที่อัตราโรคอ้วนยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในตะวันตก

ในขณะเดียวกัน หากมองในภาพรวมระดับโลก ประชากรแอฟริกันพื้นเมืองและแคริบเบียน ซึ่งมีเชื้อสายแอฟริกันสูงมักมี BMI สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยที่ความชุกของโรคเรื้อรังต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านด้านโภชนาการและวิถีชีวิตในกลุ่มประชากรเหล่านี้

สำหรับประเทศในซีกโลกตะวันตก แม้ค่าเฉลี่ย BMI โดยรวมจะสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน แต่ก็ยังพบความแตกต่างระหว่างกลุ่มย่อยอีกด้วย เช่น ประชากรที่มีรากฐานมาจากยุโรปตอนใต้ เช่น สเปน โปรตุเกส และอิตาลี มักมี BMI ต่ำกว่าและมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าประชากรในยุโรปตอนเหนือ อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากอิทธิพลของแบบแผนการกินแบบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่ามีผลดีต่อสุขภาพ

ด้วยความรู้ที่ว่า ค่า BMI และความเสี่ยงจากภาวะน้ำหนักเกินนั้นมีความแตกต่างกันไปตามพื้นฐานทางพันธุกรรมและเชื้อชาติ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการพัฒนาเกณฑ์ บรรทัดฐาน และแนวทางป้องกันรักษาที่จำเพาะเจาะจงสำหรับแต่ละกลุ่มประชากร แทนที่จะใช้เกณฑ์กลางที่ไม่สามารถให้ข้อมูลหรือทำนายผลลัพธ์ทางสุขภาพได้ดีพอ และเพื่อช่วยระบุประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษในแต่ละบริบท

BMI กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

การมี ดัชนีมวลกาย (BMI) สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระดับของภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases: NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลักของประชากรทั่วโลกในปัจจุบัน จากการศึกษาวิจัยจำนวนมากพบว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง BMI กับความเสี่ยงต่อ NCDs ชนิดต่างๆ มีลักษณะเป็นเส้นโค้งรูประฆัง (U-shaped curve) กล่าวคือ ผู้ที่มี BMI ทั้งต่ำเกินไปและสูงเกินไป จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ที่มี BMI อยู่ในช่วงปกติ

โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่พบบ่อยและมีความสัมพันธ์ชัดเจนกับ BMI ได้แก่

  1. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular diseases): การมีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ หัวใจวาย หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดสมอง
  2. เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes): ภาวะดื้ออินซูลินและเบาหวานมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการสะสมของไขมัน โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง ผู้ที่มี BMI สูงมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานมากกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ
  3. โรคมะเร็งบางชนิด: โรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม (หลังหมดประจำเดือน) มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ และมะเร็งไต
  4. โรคกระดูกและข้อ: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้เกิดแรงกดทับผิดปกติต่อข้อต่อ นำไปสู่ความเสื่อมและอาการปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะข้อเข่า ข้อสะโพก และกระดูกสันหลัง รวมถึงโรคเกาต์ และข้ออักเสบรูมาตอยด์
  5. โรคทางเดินหายใจ: โรคอ้วนเกี่ยวข้องกับการนอนกรน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และหอบหืด เนื่องจากการสะสมของไขมันบริเวณลำคอและผนังทรวงอก รวมถึงภาวะอักเสบที่เพิ่มขึ้น
  6. โรคตับ: ผู้ที่มี BMI สูงเสี่ยงต่อโรคตับคั่งไขมันที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งอาจนำไปสู่ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ

นอกจากความเสี่ยงทางกายภาพแล้ว BMI ที่สูงยังสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความผิดปกติของการรับรู้ภาพลักษณ์ของตนเอง ซึ่งอาจเกิดทั้งจากผลกระทบทางร่างกาย ภาวะแทรกซ้อน และแรงกดดันทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับรูปร่างและน้ำหนัก

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มี BMI สูงจึงควรได้รับการประเมิน คัดกรอง และให้คำแนะนำด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเหมาะสม ทั้งด้านโภชนาการและการออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกันหรือชะลอการเกิดโรค และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว นอกจากนี้ ในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือภาวะแทรกซ้อนอยู่แล้ว การลดน้ำหนักให้ได้มาตรฐาน ก็เป็นส่วนสำคัญของการจัดการและควบคุมความรุนแรงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอีกด้วย

 

วิธีการวัดค่า BMI ที่แม่นยำ

การวัด ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นวิธีคัดกรองเบื้องต้นที่ใช้ประเมินภาวะน้ำหนักตัวต่อส่วนสูง ซึ่งแม้จะนิยามได้ง่ายและทำได้สะดวก แต่ในหลายกรณี อาจให้ผลที่คลาดเคลื่อนหรือไม่สะท้อนสัดส่วนไขมันในร่างกายที่แท้จริง ดังนั้น เพื่อประเมินองค์ประกอบและความเสี่ยงทางสุขภาพให้ถูกต้องแม่นยำ จึงมีการพัฒนาวิธีการตรวจวัดที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น อาทิ

การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง (Skinfold Thickness)

ใช้คาลิปเปอร์หนีบและวัดความหนาของผิวหนังและไขมันใต้ผิวหนังในตำแหน่งที่กำหนด เช่น ท้องแขน หน้าท้อง ต้นขา แล้วนำมาแปลงเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันด้วยสูตรคำนวณ วิธีนี้ให้ความแม่นยำพอสมควร แต่ต้องอาศัยผู้ฝึกปฏิบัติที่ชำนาญ และค่าที่ได้อาจมีความแปรปรวนสูงระหว่างผู้ทำ

1.การวัดด้วยเทคนิคทางไฟฟ้า

เครื่องมือเหล่านี้อาศัยการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านร่างกาย และวัดค่าความต้านทานที่เกิดขึ้น โดยไขมันจะนำไฟฟ้าได้ต่ำกว่าน้ำและกล้ามเนื้อ เครื่อง BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) ที่มีหลายรูปแบบ ทั้งแบบเหยียบ แบบมือจับ และแบบติดแผ่นอิเล็กโทรดตามตำแหน่งต่างๆ ถือเป็นวิธีที่สะดวก ราคาไม่แพง และให้ผลเร็ว แต่มีข้อจำกัดในผู้ที่มีภาวะบวมน้ำหรือขาดน้ำ รวมถึงการกระจายตัวของไขมันที่ไม่สม่ำเสมอในร่างกาย

2.การวัดใต้น้ำ (Hydrostatic Weighing หรือ Hydrodensitometry)

เป็นวิธีมาตรฐานที่ถือว่าแม่นยำที่สุด โดยอาศัยหลักของความถ่วงจำเพาะ (density) ของร่างกายที่แตกต่างกันระหว่างไขมันและมวลไร้ไขมัน (lean mass) ทำให้สามารถประเมินสัดส่วนไขมันได้จากการชั่งน้ำหนักใต้น้ำ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยาก ใช้เวลานาน อาจทำให้ผู้ถูกตรวจอึดอัด และต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษที่หาได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการ จึงไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป

3.การสแกนด้วยรังสีเอ็กซ์ (DEXA: Dual-energy X-ray Absorptiometry)

เป็นเทคโนโลยีที่ใช้รังสีเอ็กซ์พลังงานต่ำ 2 ระดับ ในการสแกนวัดความหนาแน่นของกระดูก ไขมัน และเนื้อเยื่ออ่อน ทั้งร่างกาย ให้ภาพที่มีความละเอียดสูง สามารถบอกปริมาณและการกระจายตัวของมวลไขมันได้ชัดเจน นอกจากนี้ ยังใช้เวลาสั้น ไม่รบกวนความสบายของผู้ถูกตรวจมากนัก และปลอดภัยเนื่องจากได้รับรังสีในระดับต่ำมาก อย่างไรก็ตาม เครื่อง DEXA มีราคาแพงและไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย จึงมักใช้เฉพาะการวิจัยหรือการตรวจในบางสถานพยาบาลเท่านั้น

นอกจากวิธีการข้างต้นแล้ว การวัดเส้นรอบเอว (waist circumference) และ อัตราส่วนเอวต่อสะโพก (waist-to-hip ratio) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ควบคู่กับการวัด BMI เพื่อประเมินไขมันส่วนเกินบริเวณลำตัว ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อโรคเมตาบอลิกและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี การวัดนี้ทำได้ง่าย รวดเร็ว และมีความแม่นยำเพียงพอในระดับประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มที่มี BMI ปานกลางถึงสูง

โดยสรุป เนื่องด้วย ดัชนีมวลกาย (BMI) เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อการประเมินภาวะโภชนาการและความเสี่ยงทางสุขภาพที่แท้จริง การวัดที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้ง การวัดความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง การใช้เครื่องมือวัด BIA การวัดใต้น้ำ หรือ การสแกนด้วย DEXA ร่วมกับ การวัดเส้นรอบเอวและสัดส่วนเอวต่อสะโพก จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัย รักษา และติดตามผลการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ควรพิจารณาความพร้อม ข้อดี-ข้อเสีย และความจำเป็นของการตรวจด้วยวิธีต่างๆ เป็นรายบุคคลไป

แนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมน้ำหนักอย่างยั่งยืน

ในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากประสบปัญหาน้ำหนักเกินและ ดัชนีมวลกาย (BMI) สูงเกินมาตรฐาน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ตามมามากมาย การควบคุมน้ำหนักจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็เป็นเรื่องท้าทายเช่นกัน เพราะต้องอาศัยความเข้าใจ ความตั้งใจ วินัย และความอดทนอย่างสูง รวมถึงการปรับมุมมอง ทัศนคติ และวิถีการใช้ชีวิตในระยะยาว

หัวใจของการ ควบคุมน้ำหนัก อย่างได้ผลและยั่งยืน ไม่ได้อยู่ที่ไดเอทหรือการอดอาหารแบบหักโหม แต่เป็นการปรับสมดุลพลังงานในแต่ละวันให้สอดคล้องกับความต้องการของร่างกาย ผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม ทั้งการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การเคลื่อนไหวออกแรงให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการอารมณ์และความเครียด แนวทางที่แนะนำ ได้แก่

  1. กำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง วัดผลได้ และเป็นไปได้จริง เช่น ต้องการลดน้ำหนัก 10% ใน 6 เดือน หรือเพิ่มการเดินวันละ 8,000 ก้าวภายใน 2 เดือน เป็นต้น เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยสร้างแรงจูงใจ กำหนดทิศทาง และประเมินความก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น
  2. ปรับสัดส่วนและคุณภาพของอาหาร เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเน้นผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว และนม ลดอาหารแปรรูป อาหารจานด่วน ขนมหวาน และเครื่องดื่มรสหวานจัด ควบคุมขนาดหรือปริมาณการกินในแต่ละมื้อ โดยจัดใส่จาน ชาม หรือกล่องที่มีขนาดพอดี
  3. หาวิธีการปรุงอาหารที่ลดไขมัน เช่น ต้ม นึ่ง ย่าง อบ หรือผัดแบบไม่ใช้น้ำมัน แทนการทอด ผัดน้ำมันมาก ใส่กะทิ หรือใช้ส่วนผสมที่มีไขมันสูง
  4. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำเปล่าให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และจิบบ่อยๆ เพื่อช่วยให้รู้สึกอิ่ม ลดการกินจุบจิบ กระตุ้นการขับถ่าย และระบายความร้อนในร่างกาย
  5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที ด้วยกิจกรรมที่หลากหลายทั้งแบบแอโรบิก (เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ จักรยาน) และแบบต้านแรง (ยกน้ำหนัก วิดพื้น) เพื่อเพิ่มการเผาผลาญ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรง
  6. หากิจกรรมยืดเหยียดหรือออกแรงในชีวิตประจำวัน เช่น เดินหรือปั่นจักรยานแทนการขับรถ ขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ทำงานบ้าน ทำสวน หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง เพื่อลดเวลาที่นั่งนิ่งหรืออยู่หน้าจอ
  7. จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการควบคุมน้ำหนัก เช่น เลือกซื้อและเก็บแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพไว้ในบ้าน ให้รางวัลตัวเองเมื่อทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ หาเพื่อนร่วมทางที่มีเป้าหมายใกล้เคียงกัน และขอกำลังใจจากคนรอบข้าง
  8. พักผ่อนให้เพียงพอและผ่อนคลายความเครียด เนื่องจากการนอนน้อยและความเครียดสูงมักนำไปสู่การกินจุบจิบ การหันไปพึ่งอาหารที่ให้พลังงานแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงการขาดแรงจูงใจในการออกกำลังกายด้วย
  9. ติดตามและบันทึกความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการชั่งน้ำหนัก วัดเส้นรอบเอว สังเกตการเปลี่ยนแปลงของเสื้อผ้า เพื่อเป็นกำลังใจและช่วยปรับแผนการปฏิบัติตัวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
  10. มีความยืดหยุ่นและให้อภัยตัวเอง หากมีอารมณ์อยากกินหรือไม่ได้ออกกำลังกายตามแผนในบางวัน ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรือล้มเลิกความตั้งใจ แต่ให้กลับมาเริ่มต้นใหม่ในมื้อต่อไปหรือวันต่อไป เพราะการควบคุมน้ำหนักเป็นการเดินทางระยะยาวที่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอมากกว่าความสมบูรณ์แบบ

กล่าวโดยสรุป แนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมน้ำหนักและ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) อย่างยั่งยืนนั้น ต้องครอบคลุมทั้งการเลือกและจำกัดอาหาร การเพิ่

บทบาทของฮอร์โมนในการควบคุมน้ำหนักและเผาผลาญไขมัน

นอกจากปัจจัยด้านพฤติกรรมการกินและการใช้พลังงานแล้ว ระบบฮอร์โมนในร่างกายก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมน้ำหนักตัว การสะสมและการสลายไขมัน ตลอดจนความอยากอาหารและความรู้สึกอิ่ม ฮอร์โมนเหล่านี้ทำงานประสานกันอย่างละเอียดอ่อน ผ่านการส่งสัญญาณระหว่างระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ และอวัยวะต่างๆ หากเกิดความผิดปกติหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนเหล่านี้ ก็อาจนำไปสู่ภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน หรือแม้แต่โรคเมตาบอลิกอื่นๆ ได้

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนักและเผาผลาญไขมันที่สำคัญ ได้แก่

1.เลปติน (Leptin)

เลปติน เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากเซลล์ไขมัน มีหน้าที่หลักในการส่งสัญญาณบอกความอิ่มไปยังสมอง เมื่อร่างกายมีไขมันสะสมเพียงพอแล้ว เลปตินจะส่งสัญญาณให้สมองหยุดความอยากอาหาร และเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ในทางกลับกัน เมื่อร่างกายอดอาหารหรือมีไขมันน้อยเกินไป ระดับเลปตินก็จะลดลง ทำให้รู้สึกหิวและกินมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะอ้วนมักมีระดับ เลปติน ในเลือดสูง แต่สมองกลับไม่ตอบสนองต่อสัญญาณของเลปตินอย่างเหมาะสม เรียกว่า “ภาวะดื้อต่อเลปติน” (leptin resistance) ส่งผลให้ยังคงรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะมีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินพอแล้วก็ตาม การไวต่อเลปตินจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว

2.กรีลิน (Ghrelin)

กรีลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น มีผลตรงข้ามกับเลปติน กล่าวคือ กรีลินจะกระตุ้นความอยากอาหารและลดการเผาผลาญพลังงาน โดยส่งสัญญาณไปยังสมองเช่นกัน ระดับกรีลินจะเพิ่มสูงขึ้นก่อนมื้ออาหาร และลดลงหลังกินอาหารแล้ว ซึ่งเป็นกลไกปกติที่ช่วยกระตุ้นให้เริ่มกิน และหยุดกินเมื่ออิ่ม

แต่ในคนที่นอนหลับไม่เพียงพอ เครียดเรื้อรัง หรือกินอาหารไม่เป็นเวลา มักพบว่ามีระดับ กรีลิน สูงผิดปกติ ทำให้รู้สึกหิวตลอดเวลา หรือหิวเร็วกว่าปกติหลังจากกินไปแล้ว ส่งเสริมให้กินจุบจิบมากขึ้น และรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเพื่อตอบสนองความอยากได้เร็วขึ้น การจัดการวิถีชีวิตให้เหมาะสม โดยเฉพาะการนอนหลับที่เพียงพอและการกินอาหารเป็นมื้อ จึงมีส่วนช่วยควบคุมกรีลินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

3.อินซูลิน (Insulin)

อินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่หลั่งจากตับอ่อน ทำหน้าที่สำคัญในการนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เพื่อใช้เป็นพลังงานหรือเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม หลังจากกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาล ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น กระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่ง อินซูลิน ออกมามาก เพื่อเคลื่อนย้ายน้ำตาลส่วนเกินเข้าสู่เซลล์ให้เร็วที่สุด

หากร่างกายได้รับอาหารประเภทนี้บ่อยเกินไป หรือในปริมาณที่มากเกินความต้องการเป็นประจำ เซลล์ต่างๆ ก็จะค่อยๆ สูญเสียความไวต่อการตอบสนองต่ออินซูลิน กลายเป็น “ภาวะดื้ออินซูลิน” (insulin resistance) ทำให้น้ำตาลถูกส่งเข้าสู่เซลล์ได้น้อยลง ตับอ่อนต้องผลิตและหลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อชดเชย ความผิดปกติของอินซูลินนี้นอกจากจะนำไปสู่โรคเบาหวานแล้ว ยังเพิ่มการสะสมของไขมันในช่องท้องและในเนื้อเยื่ออื่นๆ ทำให้เกิดการอักเสบและความเสื่อมของอวัยวะในระยะยาว ดังนั้น การควบคุมอาหาร โดยเฉพาะการจำกัดน้ำตาลและแป้งขัดขาว จึงช่วยปรับภาวะดื้ออินซูลิน ส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนักและภาวะเมตาบอลิกโดยรวม

4.ไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid Hormones)

ไทรอยด์ฮอร์โมน สร้างจากต่อมไทรอยด์ที่ลำคอ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอัตราเมตาบอลิซึมของร่างกาย กล่าวคือ เมื่อระดับ ฮอร์โมนไทรอยด์สูง อัตราการเผาผลาญพลังงานก็จะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ การเผาผลาญก็จะช้าลง ผู้ที่มีภาวะ hypothyroidism หรือภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนมักมีอัตราเมตาบอลิซึมต่ำ ทำให้เผาผลาญได้น้อย น้ำหนักตัวจึงขึ้นได้ง่าย แม้จะกินอาหารเท่าเดิมหรือแม้แต่น้อยลงกว่าเดิม

นอกจากนี้ ไทรอยด์ฮอร์โมนยังมีผลโดยอ้อมต่อฮอร์โมนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหารและการใช้พลังงานด้วย เช่น เมื่อไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ร่างกายจะสร้างเลปตินได้น้อยลง ในขณะที่กรีลินจะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นแต่เผาผลาญได้น้อยลง ดังนั้น ในผู้ที่มีปัญหาควบคุมน้ำหนักโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงควรได้รับการตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน เพื่อวินิจฉัยภาวะพร่องไทรอยด์ที่อาจซ่อนเร้นอยู่ด้วย

โดยสรุป ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกาย ทั้ง เลปติน กรีลิน อินซูลิน และ ไทรอยด์ฮอร์โมน ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการควบคุมความอยากอาหาร การเผาผลาญพลังงาน การสะสมและสลายไขมัน ความสมดุลและการทำงานประสานกันอย่างราบรื่นของฮอร์โมนเหล่านี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ และส่งเสริมภาวะเมตาบอลิกที่แข็งแรง ในขณะที่ความผิดปกติของฮอร์โมนดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการลดน้ำหนักหรือควบคุมระดับ ดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน การทำความเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยให้ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและแสวงหาวิธีการจัดการที่เฉพาะเจาะจงและเหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ BMI

Q: วิธีคำนวณ BMI ทำอย่างไร? 

A: คำนวณได้โดยนำน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง เช่น น้ำหนัก 60 กิโลกรัม สูง 1.65 เมตร คำนวณได้เป็น 60 ÷ (1.65 × 1.65) = 22.0

Q: ค่า BMI ปกติของคนไทยอยู่ที่เท่าไร? 

A: ค่า BMI ปกติสำหรับคนไทยอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์สากลที่กำหนดไว้ที่ 18.5-24.9

Q: BMI 23 ถือว่าอ้วนไหม? 

A: BMI 23-24.9 ถือว่าเริ่มท้วมหรืออ้วนระดับ 1 สำหรับคนเอเชีย ควรเริ่มควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกาย

Q: BMI ต่ำกว่า 18.5 อันตรายไหม? 

A: BMI ต่ำกว่า 18.5 ถือว่าผอมเกินไป เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร ภูมิคุ้มกันต่ำ และกระดูกบาง

Q: BMI 25 ต้องลดน้ำหนักกี่กิโล? 

A: ควรลดน้ำหนักประมาณ 5-10% ของน้ำหนักตัวในระยะเวลา 3-6 เดือน หรือประมาณ 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์

Q: BMI วัดไขมันในร่างกายได้แม่นยำแค่ไหน? 

A: BMI ไม่สามารถวัดปริมาณไขมันได้โดยตรง และอาจคลาดเคลื่อนในนักกีฬาหรือผู้ที่มีกล้ามเนื้อมาก

Q: นักกีฬามี BMI สูงทำไม? 

A: เพราะกล้ามเนื้อมีน้ำหนักมากกว่าไขมัน 3 เท่า ทำให้นักกีฬาที่มีมวลกล้ามเนื้อมากมี BMI สูงแม้จะไม่อ้วน

Q: BMI กับ BMR ต่างกันอย่างไร? 

A: BMI วัดความสมดุลระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง ส่วน BMR คืออัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพัก

Q: อายุมีผลต่อค่า BMI ไหม? 

A: อายุมีผลต่อการแปลผล BMI เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีมวลกล้ามเนื้อน้อยลงแต่ไขมันเพิ่มขึ้น

Q: ลดน้ำหนักเท่าไรถึงจะเห็นค่า BMI ลดลง? 

A: น้ำหนักที่ลดลง 1 กิโลกรัมจะทำให้ค่า BMI ลดลงประมาณ 0.3-0.4 หน่วย ขึ้นอยู่กับส่วนสูง

สรุป

ดัชนีมวลกาย หรือ BMI เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยประเมินสัดส่วนร่างกายและความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ แม้จะมีข้อจำกัด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลสุขภาพ สำหรับคนไทย ค่า BMI ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 18.5-22.9 หากอยู่นอกเกณฑ์นี้ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย โดยตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป การวัดค่าดัชนีมวลกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราติดตามผลและปรับแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ