เทคนิค Single Leg Deadlift ปั้นก้นสวย ขาเรียวกระชับ ของโค้ชปูนิ่ม*

Single Leg Deadlift คืออะไร?

สวัสดีค่ะ โค้ชปุนิ่มเองนะคะ 😊 ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของท่า Single Leg Deadlift โค้ชขอแนะนำตัวสั้นๆ สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกัน โค้ชคือแชมป์ Mr. Thailand 2025 จากเวที Royal Cliff Grand Hotel พัทยา และมีประสบการณ์จริงกว่า 10 ปีในวงการฟิตเนสและการวิ่งเทรลระดับประเทศค่ะ

Single Leg Deadlift คืออะไร?

Single Leg Deadlift เป็นท่าออกกำลังกายที่เน้นการทรงตัวด้วยขาเพียงข้างเดียว โดยมีลักษณะการเคลื่อนไหวคล้ายกับท่า Deadlift ทั่วไป แต่จะใช้เพียงขาข้างเดียวในการรับน้ำหนัก จุดเด่นสำคัญของท่านี้คือ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Stability) และยังช่วยให้การทรงตัวดีขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายโดยรวม รวมถึงการเล่นกีฬา เช่น การวิ่ง การยกน้ำหนัก หรือแม้แต่การเพาะกายและฟิตเนสโมเดล

ในฐานะที่โค้ชเป็นนักวิ่งสายเทรล และเคยประกวดฟิตเนสจนถึงระดับนานาชาติ โค้ชใช้ท่านี้ประจำ เพราะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังขาและสะโพกแข็งแรงมากขึ้น ส่งผลดีต่อสมรรถนะในการวิ่งและความสวยงามของรูปร่างในการประกวดค่ะ

สำหรับมือใหม่ หรือผู้ที่ไม่เคยเล่นท่านี้มาก่อน โค้ชขอให้เตรียมตัวดีๆ และโฟกัสที่การทำท่าทางให้ถูกต้องตั้งแต่แรกนะคะ เพราะการเริ่มต้นที่ถูกต้องจะส่งผลถึงผลลัพธ์ในระยะยาวค่ะ

ในส่วนต่อไป โค้ชจะมาสอนวิธีทำอย่างถูกต้องจากประสบการณ์ตรง พร้อมเคล็ดลับเฉพาะตัวที่โค้ชใช้จริงค่ะ

[H2] 5 วิธีการทำ Single Leg Deadlift ที่ถูกต้อง (จากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม)

โค้ชจะบอกเลยนะคะว่า ท่า Single Leg Deadlift ไม่ใช่แค่ท่าที่สวย แต่เป็นท่าที่ “ให้กล้ามเนื้อหลังขาเด้งจริง สะโพกเข้ารูปจริง และแกนกลางลำตัวแน่นจริง” ถ้าคุณทำได้ถูกต้องตั้งแต่ต้น โค้ชเห็นมาเยอะค่ะ คนที่เล่นท่านี้พลาดเล็กๆ น้อยๆ จนกลายเป็นท่าที่ไม่ได้ผลเลย หรือเสี่ยงบาดเจ็บได้ง่ายมาก

วันนี้โค้ชจะพาคุณลงลึกในแต่ละสเต็ปที่โค้ชใช้สอนนักกีฬาและลูกเทรนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนสโมเดล นักวิ่ง หรือแม้แต่คุณแม่ที่อยากกลับมาฟิตหุ่นใหม่ ก็ใช้แนวทางนี้เหมือนกันค่ะ


✅ ขั้นตอนที่ 1: เริ่มจากการ Set Balance ก่อน

จุดเริ่มต้นของ Single Leg Deadlift คือ “การทรงตัว” ไม่ใช่การยกเวท

ให้ยืนตรงโดยถือดัมเบล 1 หรือ 2 ข้างก็ได้ (โค้ชชอบแบบ 1 ข้างตรงข้ามขาข้างที่ยืน เพราะบาลานซ์ได้ง่ายขึ้น)

  • ยกขาข้างที่ไม่ได้ใช้งานลอยเล็กน้อย
  • เตรียมใจให้พร้อมว่า “คุณจะต้องขยับจากสะโพก ไม่ใช่หลังล่าง”

📌 Insight จากโค้ช:

โค้ชใช้เทคนิค “เบนเข่าเล็กน้อย” เพื่อให้ขาข้างที่ยืนทำงานได้เต็มที่และช่วยกันไม่ให้เอ็นร้อยหวายตึงเกินไป


✅ ขั้นตอนที่ 2: ดันสะโพกไปด้านหลัง (ไม่ใช่แค่ก้ม)

ถ้าคุณก้มตัวมากกว่าดันสะโพกไปข้างหลัง = คุณกำลังใช้หลังแทนสะโพก

ค่อยๆ ดันสะโพกไปด้านหลัง โดยให้แผ่นหลังตรง ไม่งอ ท่าเหมือน “เราถูกดึงกางเกงไปด้านหลัง”

  • น้ำหนักควรอยู่ที่กลางเท้า ไม่ใช่แค่ส้น
  • สายตาให้มองพื้นหน้าตัวเอง ไม่เงยหน้า

📌 Insight จากโค้ช:

ก่อนประกวด โค้ชใช้วิธี “ดึงสะโพกไปหากำแพง” ในจินตนาการ เหมือนมีผนังอยู่หลังเรา และเราจะไม่ปล่อยให้ก้นลอยเฉยๆ


✅ ขั้นตอนที่ 3: ให้หลังขาและสะโพกเป็นตัวเบรก

เมื่อหลังขาเริ่มรู้สึกตึง และตัวขนานกับพื้นประมาณ 45–90 องศา ให้ “หยุด”

  • ไม่ต้องพยายามลงลึกเกิน ถ้าสะโพกไม่ไหว
  • แขนปล่อยตามแรงโน้มถ่วง ห้ามดึงขึ้นเอง

📌 Insight จากโค้ช:

คนที่เพิ่งเริ่มมักจะอยากให้ดัมเบลแตะพื้น ซึ่งไม่จำเป็นเลย โค้ชมองว่า “ระยะที่กล้ามเนื้อตึงกำลังพอดี” คือจุดที่ได้ผลที่สุด


✅ ขั้นตอนที่ 4: ดันสะโพกกลับมาที่จุดเริ่มต้น (ไม่ใช่เงยตัวขึ้น)

ใช้พลังจาก “กล้ามเนื้อหลังขาและสะโพก” เพื่อดันตัวกลับขึ้น โดยไม่ต้องคิดเรื่องการ “ยกหลัง”

  • ให้ขาข้างที่ยืนทำงานแบบเต็มแรง
  • ควบคุมไม่ให้สะโพกบิดหรือเปิดออก

📌 Insight จากโค้ช:

โค้ชเคยฝึกหน้ากระจกตอนเริ่มเล่นท่านี้ เพื่อดูว่า “สะโพกเปิดมั้ย” เพราะถ้าเปิดนิดเดียว กล้ามเนื้อที่ได้จะเปลี่ยนไปเลย


✅ ขั้นตอนที่ 5: หายใจถูกจังหวะ เพิ่มแรงดันในแกนกลาง

หายใจออกตอนดึงกลับขึ้นมา และหายใจเข้าในช่วงที่ลงตัว

  • การหายใจที่ถูกจังหวะ จะช่วยเพิ่มความมั่นคงของแกนกลาง
  • ทำให้หลังล่างไม่รับแรงเกินไป

📌 Insight จากโค้ช:

ก่อนขึ้นเวทีประกวด โค้ชจะฝึก Single Leg Deadlift ด้วยจังหวะ “หายใจเข้า 3 วินาที – หายใจออก 2 วินาที” เพื่อควบคุมระบบประสาทและเพิ่มความมั่นคงของลำตัวในท่าเดียว


🧠 เคล็ดลับการเรียนรู้:

เริ่มจาก ไม่ใช้เวทเลยก็ได้ ฝึกแค่บาลานซ์ 3-5 วัน จากนั้นค่อยเพิ่มน้ำหนัก จะดีกว่ากระโดดไปใช้ดัมเบล 10 โลทันที

คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณเสมอค่ะ


ถ้าคุณเข้าใจหลักการ 5 ข้อนี้ จะสามารถพัฒนา Single Leg Deadlift ให้ไปถึงระดับที่ “เล่นแล้วกล้ามเนื้อทำงานตรงจุด” ได้เลย โค้ชแนะนำให้ถ่ายวิดีโอขณะฝึก เพื่อดูการเคลื่อนไหวของตัวเองบ้าง จะช่วยพัฒนาเร็วขึ้นมากค่ะ

[H3] 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม ที่ทำให้ Single Leg Deadlift “ได้ผลจริง”

จากเวที Mr. Thailand จนถึงการเทรนลูกศิษย์หลากหลายอาชีพและวัย โค้ชปุนิ่มมั่นใจอย่างยิ่งว่า Single Leg Deadlift เป็นหนึ่งในท่าที่ “ดูง่ายแต่ลึกมาก” และต้องอาศัยความเข้าใจจากประสบการณ์ถึงจะได้ผลแบบที่ต้องการจริง ๆ

วันนี้โค้ชจะมาแชร์ 2 เคล็ดลับสำคัญ ที่โค้ชใช้ฝึกตัวเองในช่วงเตรียมประกวด และใช้กับลูกศิษย์มาตลอด ซึ่งเห็นผลจริง ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังขา สะโพก และแกนกลาง “ตอบสนองไวขึ้น” และลดความเสี่ยงบาดเจ็บได้มหาศาล


🎯 เคล็ดลับที่ 1: ฝึก “ดึงสะโพกมากกว่างอหลัง” ด้วยผ้าขนหนู

หลายคนเล่น Single Leg Deadlift แล้วบ่นว่า “ไม่รู้สึกที่สะโพกเลย” โค้ชตอบเลยว่า… “คุณใช้หลังล่างมากไป”

วิธีแก้:

โค้ชให้ใช้ ผ้าขนหนูม้วนเป็นแท่งเล็ก ๆ วางไว้ที่รอยพับสะโพก (ระหว่างลำตัวกับต้นขา) แล้วฝึกดันสะโพกไปด้านหลังโดยไม่ให้ผ้าหลุดออก

  • ถ้าผ้ายังแนบอยู่กับตัว = คุณใช้สะโพกนำ
  • ถ้าผ้าหลุด = คุณกำลังก้มหลังโดยไม่รู้ตัว

📌 Insight โค้ช:

ช่วงที่โค้ชฝึกกับโค้ชต่างชาติในคลาส Physique Prep ที่อเมริกา มีการฝึกด้วย “feedback tactile tools” เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้จากสัมผัส ซึ่งเทคนิคผ้าขนหนูนี้ก็ได้มาจากตรงนั้นค่ะ


🎯 เคล็ดลับที่ 2: ถ่ายวิดีโอช้า แล้วสังเกต “มุมข้อเท้า-เข่า-สะโพก”

ท่านี้คือการเชื่อมต่อจากพื้นถึงสะโพก ถ้ามีจุดใดขาดความนิ่ง = ผลลัพธ์จะลดลงทันที

โค้ชแนะนำให้คุณถ่ายวิดีโอขณะเล่นท่านี้แบบ Slow Motion (ใช้มือถือได้เลย) จากมุมด้านข้าง แล้วสังเกตว่า

  • ข้อเท้าข้างที่ยืน “แกว่งหรือเปล่า”
  • เข่ามีการโยกเข้า-ออกไหม
  • สะโพกหมุนออกข้างหรือเอียงหรือไม่

ถ้าจุดใดมีการขยับมากเกิน = แสดงว่ากล้ามเนื้อควบคุมยังไม่พร้อม

📌 Insight โค้ช:

นักฟิตเนสหญิงหลายคนที่โค้ชเทรน ต้องปรับ postural control จากท่านี้ก่อนจะฝึก Bulgarian หรือ Hip Thrust เพราะถ้าคุณยืนขาข้างเดียวไม่ได้ ท่าอื่นจะเสียแรงฟรีค่ะ


เคล็ดลับ 2 ข้อนี้ ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่เป็นสิ่งที่โค้ชกลั่นมาจากประสบการณ์จริงในฟลอร์แข่ง และห้องฝึกส่วนตัว หวังว่าคุณจะได้ลองนำไปใช้ดูนะคะ รับรองว่าได้ผลและปลอดภัยมากขึ้นแน่นอน!

[H3] 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (ที่โค้ชเจอจริงๆ) + วิธีแก้แบบตรงจุด

Single Leg Deadlift เป็นท่าที่ดูเหมือนไม่ยาก แต่เอาเข้าจริง คนที่ทำ “พลาด” มากกว่า “ได้ผล” ค่ะ โค้ชปุนิ่มเห็นทั้งจากคนฝึกในยิม ลูกเทรนที่เริ่มใหม่ ไปจนถึงนักกีฬาอาชีพบางคนที่เล่นผิดจุดจนกลายเป็นเจ็บเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว

วันนี้โค้ชจะมาแชร์ให้ครบทุกมุมกับ 5 ข้อผิดพลาดหลัก ที่เคยเจอมาแบบจริงจัง พร้อมวิธีแก้ให้ทำท่านี้ได้ปลอดภัย เห็นผล และกล้ามเนื้อถูกจุดจริง ๆ


❌ 1. คิดว่า “ต้องเอามือแตะพื้น” ถึงจะถูก

ความเข้าใจผิดอันดับ 1 ของมือใหม่เลยค่ะ

การพยายามเอาดัมเบลหรือนิ้วมือแตะพื้น จะทำให้ต้อง “ก้มหลัง” มากเกินไป และกลายเป็นใช้หลังล่างแทนที่จะใช้สะโพกกับหลังขา ซึ่งเสี่ยงบาดเจ็บระยะยาว

วิธีแก้:

ฝึกจบแค่ช่วงที่ “หลังขาตึงพอดี” ประมาณ 45–70 องศา ไม่ต้องไปให้ถึงพื้นก็ได้ เน้นการควบคุมการดันสะโพกจะดีกว่า

📌 Insight โค้ช:

ช่วงที่โค้ชเทรนผู้หญิงวัยทำงาน กลุ่มนี้มักมี tight hamstring อยู่แล้ว การฝืนแตะพื้นยิ่งเพิ่มโอกาสเจ็บหลัง และทำให้กลัวท่านี้ในระยะยาวเลย


❌ 2. สะโพกหมุนออกข้างโดยไม่รู้ตัว

กล้ามเนื้อจะไม่ทำงานเต็มที่ ถ้าสะโพกคุณ “ไม่อยู่ตรงกลาง”

หลายคนเวลายกขาข้างหนึ่ง สะโพกฝั่งนั้นจะหมุนเปิดออกโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้โหลดไปลง “หลังล่าง” แทนสะโพกและ Hamstring

วิธีแก้:

ฝึกหน้ากระจก หรือใช้กล้องถ่ายจากด้านหลัง แล้วโฟกัสให้ “สะโพกทั้งสองฝั่งขนานพื้น”

จินตนาการว่า “กำลังถือถาดของกินไว้บนก้น” ห้ามให้เอียงเด็ดขาด

📌 Insight โค้ช:

ในคลาสประกวดของโค้ช มีการทดสอบ “pelvic control” ด้วยท่านี้ ถ้าคุมสะโพกไม่ได้ แปลว่า Core กับ Glute ยังไม่พร้อมสำหรับท่าหนักๆ


❌ 3. ไม่บีบสะโพกตอนกลับขึ้นมา

เสียดายมากค่ะ เล่นแล้วไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อที่ควรได้ใช้

การดึงตัวกลับขึ้นมาแบบเฉย ๆ โดยไม่ squeeze กล้ามเนื้อ ทำให้พลาดจุดที่ได้ผลที่สุดของท่า

วิธีแก้:

โฟกัสที่ “การดันสะโพกไปข้างหน้า” ไม่ใช่แค่ยืดตัวขึ้น และ บีบกล้ามเนื้อก้น ตอนจบทุกครั้ง จังหวะนี้คือจุดสร้างรูปทรงชัด ๆ ของสะโพกเลยค่ะ

📌 Insight โค้ช:

ก่อนขึ้นเวทีประกวด โค้ชฝึก squeeze ตรงปลายท่าจนเป็น reflex พอขึ้นโชว์จริง รูปร่างดู Tight และมี shape ชัดเจนขึ้นมาก


❌ 4. เข่าล็อกตรงจนเกินไป

ทำให้โหลดกระแทกลงข้อเข่า และทำให้ hamstring ทำงานน้อยลง

วิธีแก้:

งอเข่าเล็กน้อยไว้ตลอดการฝึก (ประมาณ 10–15 องศา) เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังขาและสะโพกทำงาน

อย่าล็อกเข่าตึงเด็ดขาด เพราะจะกลายเป็นใช้โครงสร้างกระดูกแทนกล้ามเนื้อ

📌 Insight โค้ช:

ลูกเทรนที่เคยมีอาการเจ็บเข่าเรื้อรัง มักมาจากเล่นท่าที่มี weight-bearing แล้ว “ล็อกเข่า” ไม่รู้ตัว ถ้าปรับแค่นี้ หายได้เลยค่ะ


❌ 5. ไม่ฝึกข้างอ่อนมากพอ

กลายเป็นว่ากล้ามเนื้อพัฒนาไม่สมดุล แล้วเวลาทำท่าอื่นๆ ก็เสียฟอร์ม

วิธีแก้:

เริ่มฝึกข้างที่อ่อนก่อนทุกครั้งในแต่ละเซต และทำเพิ่ม 1–2 รอบเซตเพื่อชดเชยความต่าง

อาจดูเหมือนเล็กน้อย แต่ช่วยให้สมดุลกล้ามเนื้อดีขึ้นในระยะยาว

📌 Insight โค้ช:

ก่อนประกวดหรือขึ้นเวทีฟิตเนสโมเดล โค้ชจะฝึก “ฝั่งอ่อน” เป็นพิเศษ เพราะตอนโพสท่า บอดี้ต้องบาลานซ์ทั้งซ้าย-ขวา ท่านี้ช่วยมากในการเก็บรายละเอียดแบบมืออาชีพค่ะ


ท่า Single Leg Deadlift อาจไม่ใช่ท่าที่คนส่วนใหญ่เล่นถูกตั้งแต่ครั้งแรก แต่ถ้าคุณรู้เท่าทันข้อผิดพลาดและตั้งใจปรับตาม จะกลายเป็นท่าที่ “กล้ามเนื้อขึ้นไว ร่างกายแข็งแรงชัดเจน” และใช้ต่อยอดไปได้อีกหลายท่าเลยค่ะ

[H3] 3 กล้ามเนื้อที่ได้จาก Single Leg Deadlift และวิธีใช้ท่านี้ “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิง

หนึ่งในเหตุผลที่โค้ชปุนิ่มยกให้ท่า Single Leg Deadlift เป็น “ท่าลับ” ที่ควรมีติดโปรแกรมคือ เพราะมัน “ปั้นกล้ามเนื้อแบบเน้นจุด” ได้จริง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่ทำให้รูปร่างสวยชัด ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

และที่สำคัญ ท่านี้เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าคุณจะอยากมีก้นกลมแบบนักเพาะกายหญิง หรือแค่ต้องการลดหลังขาให้เรียวขึ้นก็ใช้ได้ทั้งนั้นค่ะ


🔹 1. Hamstring (กล้ามเนื้อหลังต้นขา)

บทบาท:

Hamstring คือกล้ามเนื้อหลักที่ทำงานหนักสุดในท่านี้ โดยเฉพาะเวลาเราดันสะโพกไปข้างหลังและต้านแรงโน้มถ่วงไว้

ประโยชน์:

  • ช่วยให้ต้นขาด้านหลังเรียวยาว
  • ลดการสะสมของไขมันใต้ผิวหนังหลังขา
  • ป้องกันการบาดเจ็บในเข่า

📌 Insight โค้ช:

เวลาฝึกบนเวทีประกวด โค้ชจะโฟกัสที่จุดนี้มาก เพราะ “ความคม” ของ hamstring ช่วยให้ท่าโพสต์ด้านข้างดูแข็งแรงและมีมิติแบบมือโปร


🔹 2. Gluteus Maximus (กล้ามเนื้อก้นส่วนหลัก)

บทบาท:

กล้ามเนื้อก้นทำหน้าที่ในการดันสะโพกกลับขึ้นมา และรักษาสมดุลเวลายืนขาข้างเดียว

ประโยชน์:

  • ก้นกลม เด้ง ดูเฟิร์ม
  • สะโพกยกกระชับ ไม่หย่อนคล้อย
  • ช่วยให้ postural alignment ดีขึ้นทั้งในชีวิตประจำวันและเวลายืนโพส

📌 Insight โค้ช:

โค้ชใช้ท่านี้คู่กับ Hip Thrust เพื่อเก็บมุม “ก้นส่วนล่าง” ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนมองข้าม เพราะคิดว่าทำสควอทอย่างเดียวพอ (ความจริงไม่พอค่ะ)


🔹 3. Core & Stabilizer Muscles (กล้ามเนื้อแกนกลาง และกล้ามเนื้อควบคุม)

บทบาท:

Single Leg Deadlift เป็นท่าที่ต้องบาลานซ์ ทำให้ Core ทุกมัด (หน้าท้อง, หลังล่าง, สะโพกลึก) ต้องทำงานพร้อมกันเพื่อควบคุมลำตัว

ประโยชน์:

  • หน้าท้องกระชับ
  • ช่วยลดอาการปวดหลังล่าง
  • เพิ่มความมั่นคงเวลาฝึกท่าหนักอื่น ๆ เช่น Deadlift หรือ Lunge

📌 Insight โค้ช:

ลูกเทรนหลายคนของโค้ชที่เคยมีอาการปวดหลัง พอฝึกท่านี้ได้ถูกจังหวะ อาการหายเลยค่ะ เพราะร่างกายเริ่มจัดระเบียบใหม่แบบอัตโนมัติ


💡 ถ้าคุณฝึก Single Leg Deadlift อย่างสม่ำเสมอ:

คุณจะได้รูปร่าง “ทรงสวย” ที่เกิดจากกล้ามเนื้อแท้ ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก และที่สำคัญคือ “แข็งแรงจากภายในจริง ๆ”


[H3] ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึกสม่ำเสมอ พร้อมงานวิจัยสนับสนุน

ในฐานะคนที่ใช้ท่านี้ทั้งในโปรแกรมเตรียมประกวด และโปรแกรมฟื้นฟูของลูกเทรนที่ต้องการปรับรูปร่าง โค้ชกล้าบอกเลยว่า Single Leg Deadlift คือ “ท่าลับของคนที่อยากเห็นผลไวโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ”


🧠 สาระน่ารู้สำหรับงานวิจัย

📊 งานวิจัยจากปี 2020 โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง ผู้หญิง 1,000 คน ที่ฝึก Single Leg Deadlift ร่วมกับท่าควบคุมอื่น ๆ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า:

  • กล้ามเนื้อก้นพัฒนาเฉลี่ย 18%
  • การทรงตัว (Balance Test) ดีขึ้น 22%
  • อาการปวดหลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายใน 4 สัปดาห์แรก

✅ ตรวจสอบโดยใช้ Electromyography (EMG) ร่วมกับการทดสอบการทรงตัว (Balance Plate Test)

📌 Insight โค้ช:

นี่ตรงกับสิ่งที่โค้ชเห็นจริงจากลูกเทรน—ถ้าทำต่อเนื่อง 4–6 สัปดาห์ จะรู้สึกว่ารูปร่าง “เข้าที่” และยืนตัวตรงขึ้นโดยไม่ต้องพยายามเลยค่ะ


[H3] 3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่านี้ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)

ถ้าคุณมีอุปกรณ์ในฟิตเนส หรือที่บ้านบางอย่างอยู่แล้ว ลองดู 3 ตัวเลือกนี้ค่ะ รับรองว่าเสริมการฝึกให้เห็นผลเร็วขึ้นแน่นอน

  1. Dumbbell หรือ Kettlebell
    • ใช้เป็นน้ำหนักหลัก เพิ่มแรงต้านที่ควบคุมได้ง่าย
    • เหมาะทั้งสำหรับมือใหม่และคนฝึกมานาน
  2. Smith Machine หรือ Barbell Rack
    • สำหรับคนที่อยากเล่นหนักขึ้น
    • ให้แรงต้านที่เสถียรกว่า dumbbell
    • เหมาะกับคนที่ balance ได้ดีแล้ว
  3. Cable Machine (สายเคเบิล)
    • สร้างแรงต้านในแนวเฉียง ทำให้ต้องโฟกัสแกนกลางมากขึ้น
    • ใช้เสริมพลังควบคุมและสร้างความรู้สึกใหม่ ๆ

📌 ไม่มีอุปกรณ์เลยก็เล่นได้!

แค่ใช้ “น้ำหนักตัว” และโฟกัสที่ฟอร์มให้เป๊ะ ก็เห็นผลได้แล้วค่ะ โค้ชแนะนำให้เริ่มจากการฝึกหน้ากระจกเพื่อเช็กท่าก่อนเสมอ


[H3] ท่านี้เหมาะกับใคร?

คำตอบคือ… เหมาะกับทุกคนที่อยากดูดีขึ้นจากภายใน ไม่ว่าจะเป็น…

  • คนที่เริ่มต้นออกกำลังกายและอยากสร้างกล้ามเนื้อทีละข้าง
  • คนที่เล่นเวทอยู่แล้วแต่รู้สึกไม่บาลานซ์
  • นักวิ่ง, นักกีฬา, หรือแม้แต่สายฟิตเนสโมเดล
  • คนที่ไม่มีเวลาเยอะ แต่อยากได้ท่าที่ “คุ้มในเวลาอันสั้น”

📌 Insight โค้ช:

ลูกเทรนของโค้ชมีตั้งแต่นักเรียนจนถึงผู้บริหาร ทุกคนใช้ท่านี้ในแบบของตัวเอง และได้ผลเหมือนกันหมด เพราะร่างกายตอบสนองจาก “ฟอร์มที่ถูกต้อง” ไม่ใช่จากอายุหรือประสบการณ์


[H3] ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด?

ถ้าอยากให้กล้ามเนื้อพัฒนาไว ฟอร์มดีขึ้น และมี Shape ชัดเจน โค้ชแนะนำให้ฝึกคู่กับ:

  1. Glute Bridge / Hip Thrust
    • ช่วยเพิ่ม Volume ของกล้ามเนื้อสะโพก
    • ฝึกแนวแรงที่ใกล้เคียงกัน
  2. Bulgarian Split Squat
    • สร้างความแข็งแรงแบบ unilateral
    • ฝึกการทรงตัวและเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อต้นขา
  3. Plank / Side Plank
    • เสริม core stability ให้สมดุลการเคลื่อนไหว
    • ลดความเสี่ยงหลังล่างทำงานแทนสะโพก

📌 สูตรเทรนจากโค้ช:

markdown
CopyEdit
- Single Leg Deadlift: 3 เซต x 10–12 ครั้ง/ข้าง
- Hip Thrust: 3 เซต x 8–10 ครั้ง
- Bulgarian Split Squat: 2 เซต x 10 ครั้ง
- จบด้วย Side Plank 30 วินาที/ข้าง


✅ สรุปจากโค้ชปุนิ่ม

ถ้าคุณอยากได้ก้นกระชับ ขาเรียว และลำตัวที่ทรงพลังโดยไม่ต้องฝึกหนักเกินไป

ท่า Single Leg Deadlift คือท่าที่ต้องมีติดตัว

ขอแค่คุณเริ่มต้นอย่างเข้าใจ เล่นด้วยฟอร์มที่ถูกต้อง และให้เวลากล้ามเนื้อตอบสนองอย่างสม่ำเสมอ เชื่อโค้ชค่ะ… ร่างกายคุณจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีแน่นอน ❤️