แฮมสตริงคืออะไร ? ทำความเข้าใจกล้ามเนื้อสำคัญและวิธีป้องกันการบาดเจ็บ

การเคลื่อนไหวทุกก้าวย่างของเรามีความเชื่อมโยงกับกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ด้านหลังต้นขา นั่นคือแฮมสตริง กล้ามเนื้อที่ทำงานเงียบๆ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬา คนทำงานออฟฟิศ หรือผู้สูงวัย การทำความเข้าใจและดูแลแฮมสตริงอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจและห่างไกลจากการบาดเจ็บ

Table of Contents

แฮมสตริงคืออะไร? ทำความรู้จักกับกล้ามเนื้อสำคัญของร่างกาย

มหัศจรรย์แห่งกลไกการเคลื่อนไหว

ลองจินตนาการถึงเชือกสามเส้นที่ทอดยาวจากใต้สะโพกลงมาถึงหัวเข่าของคุณ นี่คือภาพที่จะช่วยให้เข้าใจแฮมสตริงได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงแล้ว แฮมสตริงคือกลุ่มกล้ามเนื้อที่ซับซ้อนและน่าทึ่ง ทำหน้าที่เชื่อมต่อการทำงานระหว่างสะโพกและเข่า เปรียบเสมือนสะพานที่คอยควบคุมการเคลื่อนไหวของขาทั้งคู่

สามพลังแห่งการเคลื่อนไหว

กล้ามเนื้อแฮมสตริงประกอบด้วยสามส่วนหลัก แต่ละส่วนมีบทบาทเฉพาะตัวที่น่าสนใจ  

  1. Biceps Femoris – นักเต้นรำแห่งการเคลื่อนไหว ตั้งอยู่ด้านนอกสุดของต้นขา ทำหน้าที่พิเศษในการหมุนขาและรักษาสมดุล เปรียบเสมือนนักเต้นที่คอยควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะในการเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว
  2. Semitendinosus – ผู้พิทักษ์แห่งความมั่นคง อยู่ด้านในของต้นขา ทำหน้าที่เหมือนเสาหลักที่คอยรักษาความมั่นคงของขาขณะเคลื่อนไหว ช่วยให้เราสามารถยืน เดิน หรือวิ่งได้อย่างมั่นใจ
  3. Semimembranosus – วิศวกรแห่งการรับแรง อยู่ลึกที่สุดในกลุ่ม ทำหน้าที่ซับซ้อนในการควบคุมการงอเข่าและกระจายแรงกระแทก เปรียบเสมือนระบบช็อคอัพของรถยนต์ที่คอยดูดซับแรงกระแทกขณะเคลื่อนที่

การทำงานที่ซับซ้อนแต่ลงตัว

แฮมสตริงเป็นหนึ่งในกล้ามเนื้อพิเศษที่ทำงานข้ามสองข้อต่อ (Two-Joint Muscle) คือทั้งข้อสะโพกและข้อเข่า การทำงานนี้เปรียบเสมือนการควบคุมสะพานแขวนที่ต้องรักษาสมดุลทั้งสองฝั่ง แฮมสตริงทำงานตลอดเวลาแม้ในขณะยืนนิ่ง คอยปรับสมดุลและรักษาท่าทางของร่างกาย

ศิลปะแห่งการประเมินแฮมสตริง

การทดสอบประสิทธิภาพของแฮมสตริงสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน ผ่านการทดสอบ 3 มิติ  

  1. การทดสอบความยืดหยุ่น (Flexibility Test) นั่งบนพื้นราบ เหยียดขาตรง โน้มตัวไปด้านหน้าอย่างช้าๆ สังเกตระยะที่มือสามารถเอื้อมถึง การทดสอบนี้จะบ่งบอกถึงความยืดหยุ่นของแฮมสตริงได้อย่างดี
  2. การทดสอบความแข็งแรง (Strength Test) นอนคว่ำ งอเข่า 90 องศา ให้คู่ทดสอบออกแรงกดที่ส้นเท้าเบาๆ ขณะที่คุณพยายามต้านไว้ ความสามารถในการต้านแรงจะบ่งบอกถึงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  3. การทดสอบการทำงานแบบเคลื่อนไหว (Dynamic Test) เดินบนส้นเท้า 10 ก้าว สังเกตความมั่นคงและการทรงตัว การทดสอบนี้จะช่วยประเมินการทำงานของแฮมสตริงในสภาวะเคลื่อนไหว

 

อาการปวดและตึงในแฮมสตริงที่คุณควรรู้

ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับอาการปวดแฮมสตริง

อาการปวดแฮมสตริงไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะมันสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้อย่างมาก จากการศึกษาพบว่า อาการปวดแฮมสตริงเป็นปัญหาที่พบบ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนักโดยไม่มีการเตรียมความพร้อมที่ดีพอ

อาการทั่วไปของการบาดเจ็บในแฮมสตริง

ความเจ็บปวดในแฮมสตริงมีหลายระดับและหลายรูปแบบ เปรียบเสมือนภาษาที่กล้ามเนื้อใช้สื่อสารกับเรา โดยแต่ละอาการบ่งบอกถึงปัญหาที่แตกต่างกัน  

การปวดแบบเฉียบพลัน   เกิดขึ้นทันทีระหว่างการเคลื่อนไหว มักรู้สึกเหมือนถูกของมีคมบาด หรือมีการฉีกขาดภายในกล้ามเนื้อ อาการนี้มักเกิดจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเกินไป หรือการออกแรงในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง

การปวดแบบเรื้อรัง   เป็นความรู้สึกปวดตื้อๆ ที่คงอยู่เป็นเวลานาน อาจรู้สึกตึงหรือแน่นบริเวณหลังต้นขา โดยเฉพาะในตอนเช้าหรือหลังจากนั่งนานๆ สะท้อนถึงปัญหาการใช้งานที่ไม่เหมาะสมในระยะยาว

ระดับความรุนแรงของอาการแฮมสตริงอักเสบ

การอักเสบของแฮมสตริงแบ่งออกเป็น 3 ระดับหลัก  

ระดับที่ 1 – การบาดเจ็บเล็กน้อย

  • รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยขณะเคลื่อนไหว
  • สามารถเดินได้ปกติ แต่อาจมีอาการตึงบ้าง
  • มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม

ระดับที่ 2 – การบาดเจ็บปานกลาง  

  • มีอาการปวดชัดเจนขณะเคลื่อนไหว
  • อาจมีการบวมเล็กน้อย
  • การเดินอาจไม่คล่องตัว โดยเฉพาะการเดินขึ้นลงบันได
  • ต้องการการรักษาและการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม

ระดับที่ 3 – การบาดเจ็บรุนแรง  

  • ปวดรุนแรงจนอาจเดินไม่ได้
  • มีการบวมชัดเจน อาจมีรอยช้ำ
  • ต้องการการรักษาทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน
  • ระยะเวลาการฟื้นตัวอาจนานหลายเดือน

4 สัญญาณอันตรายที่ต้องพบแพทย์ทันที

  1. ปวดรุนแรงจนไม่สามารถลงน้ำหนักที่ขาข้างนั้นได้
  2. มีอาการบวมรุนแรงหรือมีรอยช้ำขนาดใหญ่
  3. ได้ยินเสียงดังหรือรู้สึกถึงการฉีกขาดในขณะเกิดการบาดเจ็บ
  4. มีอาการชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย

 

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการบาดเจ็บแฮมสตริง

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า “แฮมสตริงฉีก” มาบ้าง แต่รู้ไหมว่าทำไมถึงเกิดขึ้นบ่อยแบบนี้? วันนี้พี่จะมาแชร์เรื่องปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้แฮมสตริงบาดเจ็บ ซึ่งหลายอย่างอาจอยู่ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด

3 กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บของแฮมสตริง

กลุ่มที่ 1   คนทำงานออฟฟิศ ตัวแม่ของความเสี่ยง

  • เชื่อหรือไม่ว่าการนั่งทำงานวันละ 8-10 ชั่วโมง สามารถทำให้แฮมสตริงของคุณอ่อนแอลงได้อย่างมาก เพราะกล้ามเนื้อถูกจำกัดการเคลื่อนไหว อยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน ยิ่งถ้าเรานั่งหลังค่อม ยิ่งเพิ่มแรงกดที่แฮมสตริงมากขึ้นไปอีก

กลุ่มที่ 2   นักกีฬาสมัครเล่น ความกระตือรือร้นที่อาจเป็นดาบสองคม

  • สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ความกระตือรือร้นเป็นสิ่งดี แต่บางครั้งก็อาจกลายเป็นความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มออกกำลังกายหนักเกินไปโดยไม่มีการเตรียมร่างกายที่ดีพอ

กลุ่มที่ 3   ผู้สูงวัย วัยที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ

  • เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อของเราก็เริ่มเสื่อมถอยลงตามธรรมชาติ แฮมสตริงก็เช่นกัน ถ้าไม่มีการดูแลที่ดี อาจนำไปสู่ปัญหาการทรงตัวและการเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคง

 

5 พฤติกรรมที่ทำร้ายแฮมสตริงโดยไม่รู้ตัว

พฤติกรรมที่ 1   การละเลยการวอร์มอัพ

  • การละเลยการวอร์มอัพก่อนออกกำลังกายเป็นสิ่งที่อันตรายมาก นึกภาพง่ายๆ เหมือนการสตาร์ทรถในตอนเช้าที่อากาศหนาว ถ้าไม่อุ่นเครื่องให้ดี เครื่องยนต์ก็อาจเสียหายได้

พฤติกรรมที่ 2   การเพิ่มความหนักเร็วเกินไป

  • การเพิ่มความหนักของการฝึกเร็วเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง หลายคนอยากเห็นผลเร็วๆ เลยเร่งหักโหม แต่นี่กลับกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับแฮมสตริงโดยไม่จำเป็น

พฤติกรรมที่ 3   การพักฟื้นไม่เพียงพอ

  • การพักฟื้นไม่เพียงพอก็สำคัญไม่แพ้กัน ร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายติดต่อกันโดยไม่มีวันพัก อาจนำไปสู่การบาดเจ็บสะสมได้

พฤติกรรมที่ 4   ท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง

  • ท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน เช่น การก้มเก็บของผิดท่า หรือการยืนทรงตัวไม่ดี ล้วนส่งผลต่อแฮมสตริงทั้งสิ้น

พฤติกรรมที่ 5   การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม

  • การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูง สามารถเพิ่มแรงกดที่แฮมสตริงได้มาก

 

ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับแฮมสตริง

เคยสังเกตไหมว่าทำไมหลายคนถึงมีปัญหาแฮมสตริงแบบเรื้อรัง? วันนี้พี่จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจถึงปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับแฮมสตริงกันแบบละเอียด เพราะการเข้าใจต้นตอของปัญหาจะช่วยให้เราป้องกันและรักษาได้ตรงจุด

ทำความรู้จักโรคข้ออักเสบที่ส่งผลต่อแฮมสตริง

โรคข้ออักเสบไม่ได้ส่งผลแค่ตรงข้อเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงกล้ามเนื้อแฮมสตริงด้วย เวลาที่เรามีปัญหาข้อเข่าหรือข้อสะโพกอักเสบ ร่างกายจะพยายามปรับตัวเพื่อลดการกดทับบริเวณที่อักเสบ ทำให้แฮมสตริงต้องทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ

4 อาการข้ออักเสบที่ส่งผลต่อแฮมสตริง

  • อาการที่ 1   ข้อเข่าเสื่อม เมื่อข้อเข่าเริ่มเสื่อม การเคลื่อนไหวจะเปลี่ยนไป ทำให้แฮมสตริงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อประคองและพยุงข้อเข่า เหมือนกับการที่เราต้องเกร็งขาตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เข่าพับ
  • อาการที่ 2   ข้อสะโพกอักเสบ ข้อสะโพกอักเสบเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เมื่อสะโพกมีปัญหา แฮมสตริงจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อช่วยในการทรงตัวและการเคลื่อนไหว
  • อาการที่ 3   หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทสามารถทำให้เกิดอาการปวดร้าวลงขา ส่งผลให้แฮมสตริงทำงานผิดปกติ บางครั้งอาจมีอาการเกร็งหรืออ่อนแรง
  • อาการที่ 4   ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคนี้ส่งผลกระทบต่อข้อต่อทั่วร่างกาย รวมถึงข้อเข่าและสะโพก ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการทำงานของแฮมสตริง

เส้นเอ็นอักเสบ   ปัญหาที่มักถูกมองข้าม

เส้นเอ็นอักเสบเป็นปัญหาที่พบบ่อยในคนที่ออกกำลังกายหนัก หรือทำงานที่ต้องใช้แรงมากๆ ลองนึกภาพว่าเส้นเอ็นเหมือนเชือกที่ยึดกล้ามเนื้อกับกระดูก เมื่อมีการใช้งานมากเกินไป ก็อาจเกิดการอักเสบได้

3 สาเหตุหลักของเส้นเอ็นอักเสบ

  • สาเหตุที่ 1   การใช้งานซ้ำๆ การทำกิจกรรมเดิมๆ ซ้ำๆ โดยไม่มีการพักที่เพียงพอ เป็นสาเหตุหลักของการอักเสบ เหมือนการดึงเชือกซ้ำๆ จนเกิดการระคายเคือง
  • สาเหตุที่ 2   การบาดเจ็บเฉียบพลัน อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บแบบทันทีทันใด เช่น การออกแรงยกของหนักผิดท่า สามารถทำให้เส้นเอ็นอักเสบได้ทันที
  • สาเหตุที่ 3   ความเสื่อมตามวัย เมื่ออายุมากขึ้น เส้นเอ็นจะเริ่มเสื่อมสภาพและมีความยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น

 

วิธีรักษาและฟื้นฟูอาการปวดแฮมสตริงให้ได้ผล

สวัสดีครับทุกคน หลังจากที่เราเข้าใจปัญหาของแฮมสตริงกันไปแล้ว วันนี้พี่จะพาทุกคนมาเรียนรู้วิธีการรักษาและฟื้นฟูแบบเจาะลึก ที่นอกเหนือจากการรักษาทั่วไปที่หลายคนรู้จัก

ทำความเข้าใจกระบวนการฟื้นฟูแฮมสตริงอย่างเป็นระบบ

การฟื้นฟูแฮมสตริงไม่ใช่แค่การนวดหรือยืดกล้ามเนื้อธรรมดา แต่ต้องเข้าใจว่ากล้ามเนื้อแต่ละส่วนต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น ต้องรู้จังหวะและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฟื้นฟูแต่ละขั้นตอน

6 ขั้นตอนฟื้นฟูแฮมสตริงแบบมืออาชีพ

  • ขั้นตอนที่ 1   การประเมินอาการเชิงลึก ก่อนเริ่มการรักษา เราต้องประเมินสภาพกล้ามเนื้อแฮมสตริงอย่างละเอียด ทั้งระดับความเจ็บปวด การบวม และความสามารถในการเคลื่อนไหว เพราะการรักษาที่ถูกต้องต้องเริ่มจากการประเมินที่แม่นยำ
  • ขั้นตอนที่ 2   การจัดการกับความปวดและการอักเสบเฉียบพลัน ในระยะแรกของการบาดเจ็บ การลดการอักเสบคือกุญแจสำคัญ นอกจากการประคบเย็นแล้ว ยังมีเทคนิคการพันผ้ายืดแบบพิเศษที่ช่วยลดการบวมและสนับสนุนการไหลเวียนเลือด
  • ขั้นตอนที่ 3   การฟื้นฟูความยืดหยุ่นด้วยเทคนิคพิเศษ เมื่อผ่านช่วงการอักเสบแล้ว เราจะเริ่มฟื้นฟูความยืดหยุ่นด้วยเทคนิค Dynamic Stretching ที่ปลอดภัยและได้ผล โดยเน้นการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและควบคุมได้
  • ขั้นตอนที่ 4   การฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวแบบเฉพาะเจาะจง หลังจากที่กล้ามเนื้อเริ่มมีความยืดหยุ่นที่ดีขึ้น เราจะเริ่มฝึกควบคุมการเคลื่อนไหวแบบ Neuromuscular Control ซึ่งเป็นการฝึกให้สมองและกล้ามเนื้อทำงานประสานกันได้ดีขึ้น เช่น การฝึกยืนขาเดียว การเดินแบบควบคุมจังหวะ หรือการทำท่า Single-leg Deadlift แบบช้าๆ
  • ขั้นตอนที่ 5   การเสริมสร้างความแข็งแรงด้วยหลักการ Progressive Loading ขั้นตอนนี้เป็นการเพิ่มความแข็งแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้หลักการเพิ่มแรงต้านทานอย่างเป็นระบบ เริ่มจากการใช้น้ำหนักตัวเอง ไปจนถึงการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ
  • ขั้นตอนที่ 6   การฝึกฟื้นฟูแบบเฉพาะกิจกรรม ขั้นตอนสุดท้ายคือการฝึกที่เน้นเฉพาะกิจกรรมที่เราต้องการกลับไปทำ เช่น นักวิ่งก็จะมีโปรแกรมฝึกที่เน้นการวิ่ง นักฟุตบอลก็จะเน้นการเปลี่ยนทิศทางและการเร่งความเร็ว

 

5 เทคนิคการนวดง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน

  • เทคนิคที่ 1   การนวดแบบกลิ้งลูกเทนนิส วางลูกเทนนิสไว้ใต้ต้นขาด้านหลัง นั่งลงบนพื้น ใช้มือยันพื้นไว้ แล้วค่อยๆ ยกสะโพกขึ้น กลิ้งลูกเทนนิสไปมาช้าๆ เหมือนกำลังรีดกล้ามเนื้อ ถ้าเจอจุดที่เจ็บหรือตึง ให้ค้างไว้สักพัก แล้วค่อยๆ กลิ้งต่อ
  • เทคนิคที่ 2   การนวดด้วยนิ้วหัวแม่มือแบบง่ายๆ นั่งเหยียดขาตรง ใช้นิ้วหัวแม่มือค่อยๆ กดนวดตามแนวกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง เริ่มจากใต้ก้นลงมาถึงหัวเข่า กดเบาๆ ก่อน ถ้าไม่เจ็บมากให้กดแรงขึ้นได้ ทำซ้ำๆ 2-3 รอบ
  • เทคนิคที่ 3   การนวดแบบขยำเบาๆ ใช้มือทั้งสองข้างจับต้นขาด้านหลัง ทำท่าเหมือนกำลังขยำแป้ง นวดเบาๆ จากบนลงล่าง ถ้าเจอจุดที่ตึงให้ค่อยๆ บีบนวดนานขึ้น
  • เทคนิคที่ 4   การกดจุดแบบง่ายๆ นั่งสบายๆ ค่อยๆ ใช้นิ้วคลำหาจุดที่รู้สึกเจ็บหรือตึงบนต้นขาด้านหลัง เมื่อเจอแล้วใช้นิ้วกดเบาๆ ค้างไว้ 15-20 วินาที แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำแบบนี้ 3-4 จุดที่รู้สึกตึงมากที่สุด
  • เทคนิคที่ 5   การนวดด้วยผ้าขนหนู ม้วนผ้าขนหนูเป็นแท่งยาว นั่งบนพื้น สอดผ้าขนหนูไว้ใต้ต้นขา แล้วจับปลายทั้งสองข้างดึงสลับซ้ายขวา เหมือนกำลังเลื่อยไม้ เป็นการนวดแบบนุ่มนวลที่ทำได้ง่ายๆ

 

6 เคล็ดลับการดูแลแฮมสตริงในชีวิตประจำวัน

  • เคล็ดลับที่ 1   การปรับท่านั่งทำงาน ปัญหาแฮมสตริงส่วนใหญ่เริ่มจากการนั่งทำงานไม่ถูกวิธี การนั่งที่ถูกต้องควรมีเบาะรองหลังส่วนล่าง ปรับความสูงเก้าอี้ให้เท้าวางราบกับพื้น และที่สำคัญต้องลุกขึ้นยืดเหยียดทุก 1-2 ชั่วโมง
  • เคล็ดลับที่ 2   การเลือกรองเท้าที่ใช่ รองเท้าที่เหมาะสมต้องมีการรองรับอุ้งเท้าที่ดี ส้นรองเท้าไม่ควรสูงเกิน 2 นิ้ว และที่สำคัญต้องกระจายน้ำหนักได้ดี เพราะรองเท้าที่ไม่เหมาะสมจะส่งผลต่อการทำงานของแฮมสตริงโดยตรง
  • เคล็ดลับที่ 3   การจัดการกับกิจวัตรประจำวัน กิจกรรมง่ายๆ อย่างการก้มเก็บของหรือการแบกของหนัก ล้วนส่งผลต่อแฮมสตริง ควรย่อเข่าแทนการก้มหลัง และหลีกเลี่ยงการหิ้วของหนักข้างเดียว
  • เคล็ดลับที่ 4   รูทีนก่อนนอน ก่อนนอนควรทำการยืดเหยียดแฮมสตริงเบาๆ 5-10 นาที เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดจากการทำงานทั้งวัน และช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น
  • เคล็ดลับที่ 5   การเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย อย่าลืมวอร์มอัพอย่างน้อย 10-15 นาที เน้นการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก เช่น การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะๆ ก่อนเริ่มออกกำลังกายจริง
  • เคล็ดลับที่ 6   การกินเพื่อแฮมสตริงแข็งแรง เน้นอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพดี วิตามินซี และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เช่น ปลา ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่างๆ

 

7 ท่าออกกำลังกายง่ายๆ เริ่มต้นดูแลแฮมสตริง

  1. ท่าที่ 1   ท่านั่งเหยียดขา (Seated Forward Bend) นั่งเหยียดขาตรง ค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะปลายเท้า ทำแบบนุ่มนวลไม่ต้องฝืน ถ้าแตะไม่ถึงให้เอื้อมแค่ที่ทำได้ ค้างไว้ 15-20 วินาที ทำ 3 รอบ
  2. ท่าที่ 2   ท่านอนยกขา (Lying Leg Raise) นอนหงาย ยกขาข้างหนึ่งขึ้นตรงๆ อีกขาวางราบกับพื้น ใช้ผ้าขนหนูหรือสายยางคล้องที่เท้าช่วยดึงขาเข้าหาตัว ทำข้างละ 10 ครั้ง
  3. ท่าที่ 3   ท่าสะพานง่ายๆ (Basic Bridge) นอนหงาย งอเข่า วางเท้าราบกับพื้น ยกสะโพกขึ้นช้าๆ แค่พ้นพื้นเล็กน้อย ค้างไว้ 5 วินาที ทำ 10 ครั้ง
  4. ท่าที่ 4   ท่ายืนก้มตัว (Standing Forward Bend) ยืนตรง ค่อยๆ ก้มตัวลง ปล่อยแขนห้อยสบายๆ งอเข่าเล็กน้อยได้ ไม่ต้องแตะพื้น แค่ให้รู้สึกยืดที่ต้นขาด้านหลัง ค้างไว้ 15-20 วินาที
  5. ท่าที่ 5   ท่าเตะขาหลัง (Standing Leg Curl) ยืนตรง จับพนักเก้าอี้ไว้ ค่อยๆ งอเข่าเตะส้นเท้าเข้าหาก้น ทำช้าๆ ข้างละ 10 ครั้ง
  6. ท่าที่ 6   ท่าเดินส้นเท้า (Heel Walking) เดินด้วยส้นเท้า โดยยกปลายเท้าขึ้น เดินไปมาประมาณ 10 ก้าว ทำ 3 รอบ
  7. ท่าที่ 7   ท่าขยับเข่า (Knee Hug) นอนหงาย ค่อยๆ ดึงเข่าข้างหนึ่งเข้าหาอก อีกขาเหยียดตรง สลับข้าง ทำข้างละ 10 ครั้ง

เคล็ดลับการทำท่าออกกำลังกาย

  1. เริ่มจากท่าที่ง่ายที่สุดก่อน
  2. ทำช้าๆ ไม่ต้องรีบ
  3. หากรู้สึกเจ็บให้หยุดทันที
  4. ทำติดต่อกัน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  5. เพิ่มจำนวนครั้งเมื่อรู้สึกว่าท่านั้นง่ายแล้ว

 

6 เคล็ดลับป้องกันแฮมสตริงบาดเจ็บซ้ำ จากประสบการณ์จริง

  • เคล็ดลับที่ 1   การกลับมาเล่นอย่างฉลาด น้องๆ หลายคนมักจะรีบร้อนอยากกลับไปเล่นเหมือนเดิม แต่เชื่อพี่เถอะ การค่อยๆ เริ่มทีละนิด จะปลอดภัยกว่าเยอะ เริ่มแค่ครึ่งเดียวของที่เคยทำได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ถ้ารู้สึกไม่ดี ก็ถอยกลับมาเบาๆ ก่อน
  • เคล็ดลับที่ 2   ฝึกการทรงตัวง่ายๆ ลองฝึกยืนขาเดียวตอนแปรงฟัน หรือตอนรอน้ำร้อน ทำแค่นี้ก็ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นได้แล้ว ไม่ต้องไปหาท่ายากๆ ทำ
  • เคล็ดลับที่ 3   ยืดเหยียดแบบสบายๆ ยืดตอนดูทีวี ตอนเล่นโทรศัพท์ หรือก่อนนอนก็ได้ ไม่ต้องฝืน ยืดแค่พอรู้สึกตึงๆ นิดหน่อย วันละ 5-10 นาที ทำทุกวันดีกว่าทำครั้งเดียวนานๆ
  • เคล็ดลับที่ 4   เลือกออกกำลังกายให้เหมาะกับตัวเอง ถ้าวิ่งแล้วยังกลัวๆ อยู่ ลองเปลี่ยนมาว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเดินเร็วๆ ก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ กลับไปวิ่งเมื่อพร้อม
  • เคล็ดลับที่ 5   สร้างความแข็งแรงแบบครบวงจร น้องๆ อย่าเน้นแค่ฝึกแฮมสตริงอย่างเดียวนะ เหมือนเราสร้างบ้าน ต้องแข็งแรงทั้งหลัง ทั้งผนัง ทั้งฐานราก ร่างกายเราก็เช่นกัน ลองทำท่าง่ายๆ แบบนี้  
    • สควอทแบบเบาๆ ตอนแปรงฟัน
    • เดินเขย่งปลายเท้าตอนเดินในบ้าน
    • ยืนบนปลายเท้าตอนล้างจาน แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว
  • เคล็ดลับที่ 6   ฟังสัญญาณจากร่างกาย พี่อยากให้น้องๆ เชื่อความรู้สึกตัวเองนะ ถ้ารู้สึกว่า  
    • เมื่อย ตึง ผิดปกติ
    • เจ็บแปลบๆ ตอนออกกำลังกาย
    • รู้สึกขาสองข้างไม่เท่ากัน ให้หยุดพักทันที อย่าฝืน เพราะการฝืนอาจทำให้กลับมาเจ็บซ้ำได้

 

3 สัญญาณดีที่บอกว่าคุณพร้อมกลับมาเล่นกีฬา

  • สัญญาณที่ 1   เดินได้ปกติไม่มีอาการ ต้องเดินได้สบายๆ ขึ้นลงบันไดได้ ไม่มีอาการตึงหรือปวด แบบนี้ถือว่าเริ่มดีแล้ว
  • สัญญาณที่ 2   ทำท่าพื้นฐานได้ไม่เจ็บ ลองทำท่าสควอทเบาๆ ย่อเข่า หรือก้มตัวช้าๆ ถ้าทำได้โดยไม่รู้สึกเจ็บหรือตึงผิดปกติ แสดงว่าฟื้นตัวดี
  • สัญญาณที่ 3   กล้ามเนื้อทำงานสมดุล ลองยืนขาเดียว หรือทำท่างอเข่าทีละข้าง ถ้ารู้สึกว่าทำได้ทั้งสองข้างพอๆ กัน ไม่มีข้างไหนอ่อนแอกว่ากัน แสดงว่าพร้อมแล้ว

 

สรุปการดูแลแฮมสตริงเพื่อสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ

การดูแลแฮมสตริงไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แค่เข้าใจและใส่ใจในการดูแลอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยให้คุณมีแฮมสตริงที่แข็งแรง พร้อมใช้งานในชีวิตประจำวัน และช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บได้