20 ท่าเล่นหลัง Dumbbell ที่ดีที่สุด สร้างกล้ามให้ชัด แข็งแรง และปลอดภัย โดยแชมป์ Mr. Thailand 2025
“กล้ามหลังคือจุดที่คุณมองไม่เห็น แต่เป็นสิ่งแรกที่คนอื่นจดจำ และสิ่งสำคัญที่สุดที่กรรมการเวทีประกวดใช้ตัดสิน”
สวัสดีค่ะ ฉันโค้ชปุนิ่ม แชมป์ Mr. Thailand 2025 และ Thailand Open Masters Games 2025 วันนี้จะมาแชร์ 20 ท่าเล่นหลังด้วย Dumbbell ที่ฉันใช้สร้างแผ่นหลังให้คมชัดจนคว้าแชมป์มาได้ ตลอดการประกวดมากกว่า 10 ปี ฉันค้นพบว่ากล้ามหลังคือหัวใจสำคัญของหุ่นที่สมส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ทำไมกล้ามเนื้อหลังจึงสำคัญ และทำไมต้องใช้ Dumbbell?
“หากคุณต้องเลือกฝึกกล้ามเนื้อเพียงส่วนเดียว ฉันจะแนะนำให้เลือกกล้ามหลัง เพราะมันคือรากฐานของทุกการเคลื่อนไหวและหุ่นที่สวยงาม”
จากประสบการณ์การประกวด Mr. Thailand และ Thailand Open Masters Games หลายปีติดต่อกัน ฉันสังเกตเห็นว่านักกีฬาที่ได้อันดับต้นๆ มักจะมีกล้ามหลังที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ แต่เพราะกล้ามหลังมีบทบาทสำคัญในการสร้างรูปร่างที่สมส่วนและแข็งแรง
กล้ามหลัง = รากฐานของหุ่นที่ดูดี (Anatomy Insight)
“กล้ามหลังไม่ใช่แค่กล้ามเนื้อชิ้นเดียว แต่เป็นระบบกล้ามเนื้อที่ซับซ้อนกว่า 12 กลุ่ม ที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างลงตัว”
ในการเตรียมตัวสู่เวที Mr. Thailand 2025 ฉันได้ศึกษากายวิภาคของกล้ามหลังอย่างจริงจัง เพราะเข้าใจว่าการฝึกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจะไม่ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ กล้ามหลังแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักที่แต่ละส่วนมีหน้าที่และลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน
กล้ามหลังส่วนบน (Upper Back)
“หลังส่วนบนคือจุดที่สร้างความประทับใจแรกพอเมื่อคุณหันหลังให้ใครดู”
กล้ามหลังส่วนบนประกอบด้วยกล้าม Rhomboids, Middle Trapezius และ Posterior Deltoids ซึ่งมีหน้าที่ในการดึงไหล่ปีกกลับและรักษาท่าทางที่ตรง ในช่วงเตรียมการประกวด ฉันให้ความสำคัญกับส่วนนี้เป็นพิเศษ เพราะมันช่วยสร้าง V-Shape ที่สวยงามและทำให้เอวดูเล็กลง
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า กล้ามหลังส่วนบนที่แข็งแรงช่วยลดอาการปวดคอและไหล่ได้ถึง 65% โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ การฝึกกล้ามส่วนนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
กล้ามปีก (Latissimus Dorsi)
“กล้ามปีกคือสิ่งที่ทำให้หุ่นของคุณดู ‘กว้าง’ และสร้างเส้นโค้งที่สวยงามจากหลังไปจนถึงเอว”
Latissimus Dorsi หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “Lats” เป็นกล้ามเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในส่วนหลัง มีลักษณะเหมือนปีกค่างคาว เมื่อพัฒนาแล้วจะช่วยสร้างรูปร่าง V-Shape ที่ชัดเจน ในการประกวด Payap Classic 2023 ที่ฉันคว้าแชมป์มาได้ กรรมการให้คำชมว่ากล้ามปีกของฉันมีความกว้างและความหนาที่สมดุลกัน
เคล็ดลับจากประสบการณ์จริงคือ การฝึกกล้ามปีกต้องมีการ “รู้สึกถึงการยืด” ตั้งแต่ตำแหน่งเริ่มต้นจนถึงการหดตัว หลายคนฝึกไปแล้วไม่เห็นผล เพราะใช้แขนมากกว่ากล้ามปีก ฉันจะสอนเทคนิค Mind-Muscle Connection เฉพาะส่วนนี้ในหัวข้อถัดไป
กล้ามหลังล่าง (Lower Back)
“หลังล่างคือโซ่ที่อ่อนแอที่สุด แต่เมื่อแข็งแรงจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
Erector Spinae และกล้ามเนื้อเสริมในบริเวณหลังล่างเป็นส่วนที่คนมักจะมองข้าม แต่จริงๆ แล้วเป็นรากฐานของการเคลื่อนไหวทั้งหมด ตั้งแต่การก้มหยิบของ การยกของหนัก ไปจนถึงการยืนเดินในชีวิตประจำวัน
ช่วงที่ฉันเริ่มเล่นฟิตเนสจริงจังในอายุ 35 ปี ฉันเคยมีปัญหาปวดหลังล่างจากการนั่งทำงานนาน แต่หลังจากที่ฝึกกล้ามหลังล่างอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ ปัญหาเหล่านี้หายไปเกือบสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ชีวิตประจำวันดีขึ้น ยังช่วยให้ฉันสามารถฝึกท่าอื่นๆ ได้หนักขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น
ข้อดีของ Dumbbell ในการฝึกหลัง
“หลังจากลองฝึกหลังด้วยอุปกรณ์หลายแบบมากว่า 15 ปี ฉันยืนยันได้ว่า Dumbbell ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการพัฒนากล้ามหลังแบบรอบด้าน”
ในช่วงที่เตรียมตัวสำหรับการประกวด Mr. Thailand 2025 ฉันได้ทดลองเปลี่ยนจาก Barbell และเครื่องออกกำลังกายมาใช้ Dumbbell เป็นหลักในการฝึกหลัง ผลลัพธ์ที่ได้คือการพัฒนาที่สมดุลและเห็นผลชัดเจนกว่าเดิมมาก
โฟกัสซ้าย-ขวาเท่ากัน เป็นข้อดีแรกที่ฉันสังเกตเห็นอย่างชัดเจน เมื่อใช้ Barbell คุณจะไม่รู้ตัวว่าข้างใดข้างหนึ่งทำงานมากกว่า แต่ Dumbbell บังคับให้แต่ละข้างต้องทำงานเท่าเทียมกัน ในช่วงแรกที่เปลี่ยนมาใช้ ฉันพบว่าข้างซ้ายของฉันอ่อนกว่าข้างขวาถึง 20% หลังจากฝึกด้วย Dumbbell 3 เดือน ความแข็งแรงทั้งสองข้างเท่ากัน และกล้ามหลังดูสมส่วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ลดความเสี่ยงหลังแอ่น เป็นประเด็นที่สำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่มีโครงร่างเล็กกว่า เมื่อใช้ Barbell หนักๆ ร่างกายมักจะชดเชยด้วยการแอ่นหลังเพื่อยกน้ำหนักขึ้น แต่ Dumbbell ช่วยให้คุณควบคุมเส้นทางการเคลื่อนไหวได้ดีกว่า ลดการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึก
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การฝึกด้วย Dumbbell เพิ่มการเปิดใช้งานกล้ามเนื้อเสริม (Stabilizing Muscles) มากกว่า Barbell ถึง 40% ซึ่งหมายความว่าคุณจะได้ประโยชน์จากการฝึกมากกว่าแค่กล้ามหลังเพียงอย่างเดียว
เหมาะกับฝึกที่บ้าน เป็นข้อดีที่โดดเด่นในยุคปัจจุบัน คุณไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มาก แค่มี Dumbbell 2-3 คู่ น้ำหนักต่างกัน ก็สามารถฝึกหลังได้ครบทุกมุมแล้ว ตลอดช่วง Covid-19 ฉันฝึกที่บ้านเกือบทั้งหมด แต่ก็สามารถรักษาฟอร์มและแม้กระทั่งพัฒนาไปอีกขั้นได้
Insight จากโค้ชปูนิ่ม:
“ผู้หญิงหรือมือใหม่ไม่ต้องกลัวกล้ามหลังใหญ่! กล้ามหลังช่วยให้คุณหลังตรง เผาผลาญดี หุ่นมีทรง ไม่ตันเหมือนกล้ามอกใหญ่เกินไปนะคะ”
ในฐานะผู้หญิงที่ผ่านการประกวดมาหลายเวที ฉันเข้าใจดีว่าหลายคนกลัวว่าการฝึกกล้ามหลังจะทำให้ดูเป็นผู้ชาย แต่จริงๆ แล้วกลับกัน กล้ามหลังที่แข็งแรงจะช่วยให้ท่าทางดูดีขึ้น หลังตรง ไหล่กว้าง เอวเด่นชัด และที่สำคัญคือช่วยเผาผลาญพลังงานได้ดีมาก
เมื่อตอนที่ฉันอายุ 40 ฉันเริ่มสังเกตว่าการเผาผลาญช้าลง น้ำหนักขึ้นง่ายขึ้น แต่หลังจากที่เน้นฝึกกล้ามหลังอย่างจริงจัง อัตราการเผาผลาญพื้นฐานเพิ่มขึ้น เพราะกล้ามหลังเป็นกล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ที่ใช้พลังงานในการบำรุงรักษาสูง
อีกเรื่องที่อยากแชร์คือ การฝึกกล้ามหลังช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนของฉันด้วย ก่อนหน้านี้ฉันมักจะปวดหลังตอนนอน ต้องหาท่านอนที่สบาย แต่หลังจากที่กล้ามหลังแข็งแรงขึ้น ฉันนอนหลับสบายขึ้น ตื่นมาไม่ปวดเมื่อย และมีพลังงานในการทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้น
สำหรับคนที่เริ่มต้นใหม่ ฉันแนะนำให้เริ่มด้วยน้ำหนักเบาๆ สักสองสามกิโลก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าเบาเกินไป เพราะการฝึกหลังต้องอาศัยเทคนิคมากกว่าน้ำหนัก เมื่อเทคนิคถูกต้องแล้ว การเพิ่มน้ำหนักจะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าเทคนิคผิดตั้งแต่เริ่มต้น จะเสียเวลาและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
เทคนิคฝึกหลังให้โดนจริง: ไม่ใช่แค่ยกให้ครบ
“ความจริงที่หลายคนไม่รู้คือ การฝึกหลัง 80% อยู่ที่ใจ 20% อยู่ที่น้ำหนัก ถ้าใจไม่เชื่อมต่อกับกล้าม คุณแค่เปลืองเวลาเปล่าๆ”
นี่คือข้อผิดพลาดที่ฉันเห็นบ่อยที่สุดในฟิตเนส คนส่วนใหญ่มาเล่นแล้วคิดว่าการฝึกหลังง่าย แค่ยกดัมเบลขึ้นลง ครบเซต ครบจำนวน แต่กลับไม่เห็นผลหรือเห็นผลช้ามาก หลังจากสอนมาหลายปี ฉันรู้ว่าปัญหาไม่ใช่อยู่ที่โปรแกรม แต่อยู่ที่เทคนิคและการเชื่อมต่อระหว่างจิตใจกับกล้ามเนื้อ
Mind-Muscle Connection สำหรับหลัง
“ในการประกวด Mr. Thailand 2025 กรรมการบอกฉันว่า ‘กล้ามหลังของคุณมีความหนาแน่นที่แตกต่าง’ นั่นเพราะฉันใช้เทคนิค Mind-Muscle Connection ที่พัฒนามากว่า 5 ปี”
Mind-Muscle Connection หรือการเชื่อมต่อระหว่างจิตใจกับกล้ามเนื้อเป็นเทคนิคที่ฉันเรียนรู้จากการทดลองผิดพลาดมามาก ในช่วงแรกๆ ที่เล่นฟิตเนส ฉันเน้นไปที่การยกน้ำหนักให้หนักที่สุด ยกให้ได้จำนวนมากที่สุด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็แค่ความเมื่อยล้าและการพัฒนาที่ช้ามาก
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อฉันได้เรียนรู้จากโค้ชระดับโลก ท่านสอนให้ฉัน “รู้สึก” กับกล้ามเนื้อแต่ละมัด ก่อนทำท่าใดๆ ต้องจินตนาการก่อนว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนกำลังจะทำงาน และในระหว่างที่ทำต้องรู้สึกถึงการหดตัวและการยืดตัวของกล้ามเนื้อนั้นๆ
เทคนิค “กล้ามรู้สึก” ที่โค้ชใช้ในการประกวดจริง เริ่มจากการนั่งหรือยืนในท่าที่สบาย หลับตาแล้วจินตนาการว่าคุณกำลังทำท่า Bent Over Row ช้าๆ รู้สึกถึงกล้ามปีกที่ยืดออกตอนเริ่มต้น รู้สึกถึงการดึงจากกล้ามหลังกลาง และรู้สึกถึงการบีบแน่นของใบไหล่เมื่อดึงดัมเบลขึ้นมา
ฉันใช้เทคนิคนี้ก่อนเริ่มเวิร์กเอาท์ทุกครั้ง ใช้เวลาแค่ 2-3 นาที แต่ช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Thailand Open Masters Games 2025 เทคนิคนี้ช่วยให้ฉันสามารถพัฒนากล้ามหลังได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้
ฝึกหลังแบบไม่รู้สึก = เสียเวลา เป็นสิ่งที่ฉันบอกลูกศิษย์ทุกคน เพราะเคยเจอมามากมายที่ฝึกมาหลายเดือนแล้วไม่เห็นผล เมื่อสังเกตดูจะพบว่าเขาใช้แขนและไหล่เป็นหลัก กล้ามหลังแทบไม่ได้ทำงานเลย ลักษณะที่เห็น คือหลังจากเล่นเสร็จแขนจะเมื่อยมาก แต่หลังไม่ค่อยรู้สึกอะไร
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า นักกีฬาที่ใช้เทคนิค Mind-Muscle Connection มีการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้ที่ไม่ใช้ถึง 12.4% ในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าเทคนิคนี้ใช้ได้จริง
การควบคุมจังหวะ Tempo
“ความลับของกล้ามหลังที่หนาแน่นอยู่ที่การควบคุมจังหวะ ฉันใช้ 3-1-1 Tempo ในช่วงเตรียมตัวประกวดทุกครั้ง”
Tempo Control เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่แยกนักกีฬาระดับสูงออกจากคนทั่วไป หลายคนยังไม่รู้ว่าจังหวะในการออกแรงมีผลต่อการพัฒนากล้ามเนื้ออย่างมาก การควบคุม Tempo ไม่ใช่แค่เรื่องของความช้าหรือเร็ว แต่เป็นเรื่องของการสร้างแรงกดดันที่เหมาะสมต่อกล้ามเนื้อ
3-1-1 Tempo: กุญแจสู่หลังที่ลึกกว่า
3-1-1 Tempo คือเทคนิคที่ฉันค้นพบและปรับปรุงให้เหมาะกับการฝึกหลัง ตัวเลขแต่ละตัวมีความหมายดังนี้ ตัวเลขแรก (3) คือจำนวนวินาทีในการลดน้ำหนักลง หรือในช่วง Eccentric Phase ตัวเลขที่สอง (1) คือการหยุดค้างในจุดที่กล้ามยืดมากที่สุด และตัวเลขสุดท้าย (1) คือการดึงขึ้นมาในช่วง Concentric Phase
เหตุผลที่ฉันเลือกใช้ 3-1-1 แทน Tempo อื่นๆ เพราะกล้ามหลังต้องการเวลาในการ “รู้สึก” มากกว่ากล้ามเนื้อส่วนอื่น การใช้เวลา 3 วินาทีในการลดน้ำหนัก ช่วยให้กล้ามหลังได้ยืดตัวอย่างเต็มที่ การหยุดค้าง 1 วินาที ช่วยสร้างแรงตึงในกล้ามเนื้อ และการดึงขึ้น 1 วินาที ช่วยให้เกิดการระเบิดแรงที่เหมาะสม
ในการเตรียมตัวสำหรับ Payap Classic 2023 ฉันใช้เทคนิคนี้เป็นหลักในการฝึกกล้ามหลัง ผลลัพธ์ที่ได้คือกล้ามหลังมีความหนาแน่นและความชัดเจนมากขึ้น แม้จะใช้น้ำหนักที่เบากว่าเดิม แต่ประสิทธิภาพการฝึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เคล็ดลับที่อยากแชร์คือ ในช่วงแรกของการใช้ 3-1-1 Tempo คุณอาจรู้สึกว่าน้ำหนักหนักขึ้น หรือทำได้น้อยลง นั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะกล้ามเนื้อกำลังได้รับการกระตุ้นในแบบที่ไม่เคยชิน ให้เวลาร่างกายปรับตัวประมาณ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน
ฟอร์มหลังตรงกับการควบคุมเคลื่อนไหว
“ฟอร์มที่ถูกต้องไม่ใช่แค่การดูดี แต่เป็นความแตกต่างระหว่างการได้แชมป์กับการได้อันดับ 4 แบบที่ฉันเคยผ่านมาใน Chiangmai Classic 10.0 2024”
จากประสบการณ์การแข่งขันหลายเวที ฉันเรียนรู้ว่าฟอร์มเป็นสิ่งที่แยกนักกีฬาระดับโลกออกจากนักกีฬาทั่วไป ในการประกวด Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่ฉันได้อันดับ 4 กรรมการให้คำแนะนำว่า “กล้ามของคุณดี แต่ควรปรับการเคลื่อนไหวให้ลื่นไหลมากขึ้น” คำนี้ทำให้ฉันไปศึกษาเรื่องฟอร์มอย่างจริงจัง และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฉันคว้าแชมป์ Mr. Thailand 2025 ได้
มุมหลัง 45 องศา หรือ 90 องศา? เป็นคำถามที่ได้รับบ่อยมาก ความจริงคือไม่มีมุมเดียวที่เหมาะกับทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับสัดส่วนร่างกาย ความยาวของแขน และความยืดหยุ่นของสะโพก สำหรับคนที่แขนยาวและสะโพกยืดหยุ่นดี การก้มตัว 90 องศาจะให้ช่วงการเคลื่อนไหวที่กว้างกว่า แต่สำหรับคนที่แขนสั้นหรือสะโพกแข็ง การก้มตัว 45 องศาจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ในกรณีของฉัน ฉันใช้มุม 60 องศาเป็นหลัก เพราะให้ความสมดุลระหว่างช่วงการเคลื่อนไหวและความปลอดภัย ฉันค้นพบมุมนี้ผ่านการทดลองและฟังร่างกายตัวเอง ในตอนแรกฉันเลียนแบบนักกีฬาอื่นที่ก้มตัว 90 องศา แต่รู้สึกไม่สบายที่หลังล่าง หลังจากปรับเป็น 60 องศา ฉันรู้สึกว่ากล้ามหลังทำงานได้เต็มที่ และไม่มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
ใช้กระจกช่วยเช็กฟอร์มหรือไม่? เป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกัน ฉันเชื่อว่ากระจกมีประโยชน์ในช่วงแรกของการเรียนรู้ แต่อาจเป็นอุปสรรคในระยะยาว เหตุผลคือ เมื่อคุณมองกระจกขณะฝึกหลัง คอจะต้องหันไปมองข้าง ทำให้ท่าทางไม่ธรรมชาติ และอาจส่งผลต่อการทำงานของกล้ามหลัง
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การใช้กระจกขณะฝึกอาจลดการเปิดใช้งานกล้ามเนื้อหลักลงถึง 8% เพราะสมองต้องแบ่งความสนใจไปกับการมอง แทนที่จะโฟกัสที่การรู้สึกกล้ามเนื้อ ฉันจึงแนะนำให้ใช้กระจกในช่วงแรกเพื่อเรียนรู้ท่าทาง หลังจากนั้นให้ปิดตาหรือหันหลังให้กระจกแล้วโฟกัสที่ความรู้สึก
เคล็ดลับการควบคุมเคลื่อนไหวจากประสบการณ์จริง ที่ฉันอยากแชร์คือ การใช้ “จุดอ้างอิง” ในร่างกาย แทนที่จะคิดว่ากำลังยกดัมเบลขึ้น ให้คิดว่ากำลังดึงข้อศอกไปหาซี่โครง การเปลี่ยนมุมมองนี้ช่วยให้กล้ามหลังทำงานมากขึ้น และลดการใช้กล้ามแขน
อีกเทคนิคหนึ่งที่ฉันใช้คือ “การหายใจแบบมีจังหวะ” หายใจเข้าขณะลดน้ำหนัก หายใจออกขณะดึงขึ้น และหายใจเข้าลึกๆ ขณะหยุดค้างในจุดสูงสุด การหายใจแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ได้ออกซิเจนเพียงพอ แต่ยังช่วยให้ core แข็งแรงขึ้น และรักษาความมั่นคงของท่าทาง
ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Thailand Open Masters Games 2025 ฉันใช้เวลาในการปรับปรุงฟอร์มมากกว่าการเพิ่มน้ำหนัก ผลลัพธ์ที่ได้คือกล้ามหลังมีรายละเอียดและความชัดเจนมากขึ้น แม้จะใช้น้ำหนักที่ไม่ได้หนักกว่าเดิมมาก แต่คุณภาพของกล้ามเนื้อดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าเพิ่งคิดถึงน้ำหนักหนัก ให้เวลากับการเรียนรู้ฟอร์มที่ถูกต้องก่อน เพราะฟอร์มที่ดีจะช่วยให้คุณฝึกได้นานและปลอดภัย ในขณะที่ฟอร์มที่ผิดจะนำไปสู่การบาดเจ็บและการพัฒนาที่ไม่สมดุล
รวม 20 ท่าเล่นหลังด้วย Dumbbell (ทีละท่า + เทคนิคจากโค้ช)
“ทุกท่าที่ฉันจะแชร์นี้ผ่านการทดลองและใช้จริงในการเตรียมตัวสู่เวทีประกวด ไม่มีท่าไหนที่ฉันแนะนำแล้วตัวเองไม่เล่น”
หลังจากการแข่งขันมากว่า 10 ปี ฉันได้คัดสรร 20 ท่าเล่นหลังด้วย Dumbbell ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด แต่ละท่ามีจุดเด่นและวิธีการที่แตกต่างกัน ทั้ง 20 ท่านี้ฉันใช้ในการเตรียมตัวสำหรับการประกวดทุกครั้ง และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉันสามารถคว้าแชมป์ Mr. Thailand 2025 มาได้
ท่าหลักสำหรับสร้างมวลกล้ามหลัง
“สี่ท่านี้คือรากฐาน ถ้าคุณทำได้แค่ 4 ท่า แต่ทำให้ดี คุณจะได้กล้ามหลังที่แข็งแรงกว่าคนที่ทำ 20 ท่าแบบผิดๆ”
1. Bent Over Dumbbell Row
ท่านี้คือ “ราชาแห่งการฝึกหลัง” ที่ฉันใช้เป็นหลักในทุกโปรแกรม กล้ามเนื้อหลักที่ได้คือ Latissimus Dorsi, Rhomboids, และ Middle Trapezius พร้อมกล้ามเนื้อรองคือ Biceps และ Core
วิธีทำ: ยืนกว้างเท่าไหล่ ถือดัมเบลทั้งสองข้าง ก้มตัว 60 องศา (หรือตามความสะดวกของคุณ) ให้หลังตรง ดึงดัมเบลขึ้นไปที่ซี่โครงล่าง โดยคิดว่ากำลังดึงข้อศอกไปหาหลัง
ข้อควรระวัง: อย่าใช้โมเมนตัมในการแกว่ง อย่าให้ไหล่ยกขึ้น และอย่าปล่อยให้หลังโค้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Mr. Thailand 2025 ฉันเปลี่ยนจากการดึงไปที่ท้อง มาเป็นการดึงไปที่ซี่โครงล่าง การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี้ช่วยให้กล้ามหลังกลางทำงานมากขึ้น และสร้างความหนาของกล้ามหลังได้ดีกว่า
2. One Arm Row
ท่านี้ให้ช่วงการเคลื่อนไหวที่กว้างที่สุด และช่วยแก้ปัญหากล้ามหลังไม่สมดุลระหว่างซ้าย-ขวา กล้ามเนื้อหลักเหมือน Bent Over Row แต่เน้นไปที่ข้างละข้าง
วิธีทำ: วางเข่าข้างหนึ่งบนม้านั่ง มือข้างเดียวกันพิงม้านั่ง อีกข้างถือดัมเบล ดึงขึ้นไปที่ซี่โครง โดยให้ร่างกายมั่นคง
ข้อควรระวัง: อย่าหันลำตัวตามการดึง ให้ core แข็งแรงรักษาความมั่นคง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ฉันพบว่าการหยุดค้างในจุดสูงสุด 2 วินาที ช่วยเพิ่มการหดตัวของกล้ามหลังได้มาก ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Thailand Open Masters Games 2025 ฉันใช้เทคนิคนี้และเห็นผลชัดเจนในความหนาของกล้ามหลัง
3. Dumbbell Deadlift
ท่านี้เป็น “ท่าแห่งความแข็งแรงโดยรวม” ที่ช่วยสร้างพลังให้กับกล้ามหลังล่าง กลางหลัง และต้นขา กล้ามเนื้อหลักคือ Erector Spinae, Glutes, และ Hamstrings
วิธีทำ: ยืนกว้างเท่าไหล่ ถือดัมเบลข้างละตัว งอเข่าเล็กน้อย ดันสะโพกไปข้างหลัง ลดดัมเบลลงไปตามขา แล้วดันสะโพกขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น
ข้อควรระวัง: ห้ามโค้งหลัง ให้หลังตรงตลอด อย่าปล่อยให้เข่าเลื่อนไปข้างหน้าเกินปลายเท้า
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ฉันใช้ Deadlift เป็นท่าเปิดในทุกเซสชั่นฝึกหลัง เพราะช่วย “ปลุก” กล้ามเนื้อหลังให้ทำงาน และเป็นการ warm-up ที่ดีมาก จากประสบการณ์การแข่งขัน ฉันพบว่าการทำ Deadlift ในช่วงแรกช่วยให้ท่าอื่นๆ ทำได้ดีขึ้น
4. Romanian Deadlift
ท่านี้เน้นไปที่กล้ามหลังส่วนล่างและ Hamstrings มากกว่า Deadlift ปกติ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของหลังล่าง
วิธีทำ: เหมือน Deadlift แต่เข่าค่อนข้างตรง เน้นการดันสะโพกไปหลัง และรู้สึกถึงการยืดที่ต้นขาหลัง
ข้อควรระวัง: อย่าลดลงมากเกินไป ถ้ารู้สึกหลังเริ่มโค้ง ให้หยุดและกลับขึ้น
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงที่ฉันมีปัญหาปวดหลังล่างจากการนั่งทำงานนาน Romanian Deadlift ช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้ฉันใช้ท่านี้เป็น “ยา” บำรุงหลังล่างเกือบทุกวัน
ท่าจับจุดกลางหลัง และปีกหลังให้กว้าง
“กลุ่มท่าต่อไปนี้คือเคล็ดลับในการสร้าง V-Shape ที่สวยงาม เหมือนที่คุณเห็นในนักกีฬาประกวดระดับโลก”
5. Renegade Row
ท่านี้ผสมผสานการฝึกหลังกับ Core ในท่าเดียว เป็นท่าที่ท้าทายและให้ประโยชน์รอบด้าน
วิธีทำ: เข้าท่า Plank โดยจับดัมเบลแทนการใช้มือ สลับกันดึงดัมเบลขึ้นไปที่ซี่โครง ขณะรักษาสมดุลด้วยอีกข้าง
ข้อควรระวัง: อย่าให้สะโพกแกว่ง รักษาท่า Plank ให้มั่นคง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้ฉันใช้ในช่วงตัดน้ำหนักก่อนการประกวด เพราะเผาผลาญสูงมากและช่วยสร้างความชัดเจนของกล้ามหลัง
6. Incline Dumbbell Row
การฝึกบนม้านั่งเอียงช่วยให้โฟกัสไปที่กล้ามหลังได้มากขึ้น เพราะลดการใช้ขาและ core ในการรักษาสมดุล
วิธีทำ: นั่งบนม้านั่งเอียง 45 องศา อกพิงพนักพิง ดึงดัมเบลขึ้นไปที่ซี่โครงล่าง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ใช้ท่านี้ตอนที่กล้ามหลังล่างเหนื่อย หรือในวันที่ต้องการโฟกัสเฉพาะกล้ามหลังส่วนบน
7. Seal Row
ท่านี้คล้าย Incline Row แต่นอนหน้าลงบนม้านั่งสูง ช่วยแยกกล้ามหลังออกจากกล้ามอื่นๆ ได้อย่างสมบูรณ์
วิธีทำ: นอนหน้าลงบนม้านั่งสูง แขนห้อยลง ดึงดัมเบลขึ้นไปที่ซี่โครง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: เป็นท่าโปรดของฉันในช่วงฟื้นฟูหลังการฝึกหนัก เพราะไม่ให้ภาระกับหลังล่าง
8. Chest Supported Row
ท่านี้คล้ายกับ Seal Row แต่ใช้ม้านั่งปรับได้ ช่วยให้หาองศาที่เหมาะสมกับสัดส่วนร่างกายของแต่ละคน
วิธีทำ: ปรับม้านั่งเอียง 30-45 องศา นั่งหันหลังให้พนักพิง อกพิงแน่น ดึงดัมเบลขึ้นไปที่ซี่โครงล่าง
ข้อควรระวัง: อย่าให้ศีรษะโผล่ขึ้นจากพนักพิง รักษาอกพิงแน่นตลอด
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Payap Classic 2023 ฉันใช้ท่านี้เป็นหลักในการสร้างความหนาของกล้ามหลังกลาง การที่อกพิงแน่นทำให้ไม่สามารถโกงได้ กล้ามหลังต้องทำงาน 100%
9. Kroc Row
ท่านี้เป็นการพัฒนาจาก One Arm Row โดยใช้น้ำหนักหนักมากและอนุญาตให้มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของลำตัว เหมาะสำหรับการสร้างมวลกล้ามและความแข็งแรง
วิธีทำ: คล้าย One Arm Row แต่ใช้น้ำหนักที่หนักกว่าปกติ อนุญาตให้ลำตัวมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อช่วยในการยกน้ำหนัก
ข้อควรระวัง: แม้จะอนุญาตให้มีการเคลื่อนไหว แต่ยังคงต้องควบคุมไม่ให้มากเกินไป
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ฉันใช้ท่านี้ในช่วงสร้างมวลกล้าม (Bulking Phase) ก่อนการประกวด เป็นท่าที่ช่วยทำลายกำแพงการพัฒนาเมื่อกล้ามหลังเริ่มชินกับน้ำหนักปกติ
ท่าหลังบนและไหล่หลัง (Upper Back + Rear Delt)
“กลุ่มท่าต่อไปนี้คือสิ่งที่ทำให้หุ่นของคุณดู ‘เสร็จสมบูรณ์’ และช่วยแก้ปัญหาหลังค่อมจากการนั่งทำงาน”
10. Reverse Fly
ท่านี้เน้นไปที่กล้ามไหล่หลัง (Posterior Deltoids) และกล้ามหลังส่วนบน ช่วยสร้างความกว้างของไหล่และแก้ปัญหาไหล่ล้อไปข้างหน้า
วิธีทำ: ยืนหรือนั่ง ถือดัมเบลเบาๆ แขนยืดออกไปข้างหน้าเล็กน้อย เปิดแขนออกไปข้างๆ เหมือนการกอดต้นไม้ใหญ่
ข้อควรระวัง: ใช้น้ำหนักเบา เน้นที่การรู้สึกกล้ามไหล่หลัง อย่าให้กล้ามคอเครียด
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้ฉันทำทุกวัน ไม่ใช่แค่วันฝึกหลัง เพราะช่วยแก้ปัญหาท่าทางจากการนั่งทำงาน ตอนที่ยังทำงานออฟฟิศ ท่านี้ช่วยให้ฉันไม่ปวดหลังและไหล่
11. Rear Delt Row
การผสมผสานระหว่าง Row และ Reverse Fly ให้ทั้งความกว้างและความหนาของกล้ามไหล่หลัง
วิธีทำ: ก้มตัวเหมือน Bent Over Row แต่ดึงดัมเบลขึ้นไปที่ไหล่ แทนที่จะดึงไปที่ซี่โครง ข้อศอกกางออกจากลำตัว
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ใช้ท่านี้เป็น “ท่าปิด” ในวันฝึกหลัง ช่วยให้กล้ามไหล่หลังได้ทำงานครบถ้วน
12. Y Raise
ท่านี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อใน Rotator Cuff และส่วนบนของ Trapezius
วิธีทำ: ยืนหรือก้มตัวเล็กน้อย ยกดัมเบลขึ้นเหนือศีรษะในลักษณะตัว Y แขนทั้งสองกางออกเป็นมุม 45 องศา
ข้อควรระวัง: ใช้น้ำหนักเบามาก เน้นที่การควบคุมและความรู้สึก
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้ฉันเรียนรู้จากนักกายภาพบำบัด ช่วยป้องกันการบาดเจ็บไหล่ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของนักกีฬาเพาะกาย
13. T Raise
คล้ายกับ Y Raise แต่ยกแขนออกข้างๆ ในลักษณะตัว T เน้นที่กล้ามไหล่ข้างและหลัง
วิธีทำ: ยืนตรง ยกดัมเบลออกข้างๆ จนแขนขนานกับพื้น สร้างรูปตัว T
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ใช้ท่านี้ร่วมกับ Y Raise เป็นคู่ ช่วยให้ไหล่แข็งแรงรอบด้าน
14. I Row
ท่าที่เน้นการดึงในแนวตั้ง ช่วยพัฒนาส่วนบนของ Trapezius และกล้ามคอ
วิธีทำ: ยืนตรง ถือดัมเบลข้างละตัว ดึงขึ้นไปตามลำตัว จนข้อศอกสูงกว่าไหล่
ข้อควรระวัง: อย่าดึงสูงเกินไป หยุดเมื่อข้อศอกอยู่ในระดับไหล่
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้ช่วยสร้างเส้นจากคอไปไหล่ที่สวยงาม ทำให้ดูมีความมั่นใจและท่าทางที่ดี
15. Shrug
ท่าคลาสสิกสำหรับการฝึก Trapezius ส่วนบน ช่วยสร้างความหนาและความสูงของไหล่
วิธีทำ: ยืนตรง ถือดัมเบลข้างละตัว ยักไหล่ขึ้น พยายามให้ไหล่ไปชิดหู
ข้อควรระวัง: อย่าหมุนไหล่ ให้ยักขึ้น-ลงในแนวตรงเท่านั้น
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ฉันชอบทำ Shrug พร้อมกับการหยุดค้าง 3 วินาทีในจุดสูงสุด ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกล้าม Trap ได้มาก
16. Upright Row
ท่าที่ผสมผสานการทำงานของไหล่และ Trap ในท่าเดียว แต่ต้องระวังเรื่องความปลอดภัย
วิธีทำ: ยืนตรง ถือดัมเบลหน้าตัว ดึงขึ้นไปตามลำตัว โดยให้ข้อศอกสูงกว่ามือ
ข้อควรระวัง: อย่าดึงสูงเกินระดับหน้าอก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บไหล่
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ฉันใช้ท่านี้ด้วยความระมัดระวัง และมักจะทำร่วมกับการ warm-up ไหล่ให้ดีก่อน
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การฝึกกล้ามหลังส่วนบนและไหล่หลังอย่างสม่ำเสมอช่วยลดอาการปวดคอและไหล่ได้ถึง 70% ในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฉันมักจะแนะนำให้ลูกศิษย์ทุกคนใส่กลุ่มท่าเหล่านี้ในโปรแกรมการฝึก
ท่าฝึกแบบ Isometric และเสริมสร้างการควบคุม
“กลุ่มท่าสุดท้ายนี้คือ ‘เคล็ดลับลับ’ ที่แยกนักกีฬาระดับแชมป์ออกจากคนทั่วไป การฝึกแบบ Isometric ช่วยสร้างความหนาแน่นและการควบคุมที่ไม่สามารถได้จากการฝึกแบบปกติ”
17. Shrug Hold
การพัฒนาจาก Shrug ปกติ โดยเพิ่มการหยุดค้างเพื่อเสริมสร้างความอดทนและความหนาแน่นของกล้าม Trapezius
วิธีทำ: ทำ Shrug ปกติ แต่หยุดค้างในจุดสูงสุด 10-30 วินาที พยายามรักษาไหล่ให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดตลอดเวลา
ข้อควรระวัง: เริ่มด้วยการค้าง 10 วินาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลา อย่าลืมหายใจระหว่างการค้าง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้ฉันค้นพบโดยบังเอิญระหว่างการฝึกเตรียมตัวสำหรับ Mr. Thailand 2024 ตอนนั้นฉันกำลังเหนื่อยและหยุดค้างดัมเบลไว้ แล้วรู้สึกว่ากล้าม Trap ทำงานหนักมาก หลังจากใช้เทคนิคนี้สม่ำเสมอ 6 สัปดาห์ กรรมการในการประกวด Mr. Thailand 2025 แสดงความประทับใจในความหนาแน่นของกล้ามคอและไหล่ของฉัน
18. Dumbbell Pullover
ท่าคลาสสิกที่ช่วยยืดและขยายกรงซี่โครง พร้อมกับฝึกกล้าม Latissimus Dorsi ในมุมที่แตกต่างจากท่าอื่นๆ
วิธีทำ: นอนหงายบนม้านั่ง ถือดัมเบลตัวเดียวด้วยมือทั้งสอง ยกขึ้นเหนือหน้าอก แล้วลดลงไปข้างหลังศีรษะ รู้สึกถึงการยืดที่กล้ามปีกและกรงซี่โครง
ข้อควรระวัง: ใช้น้ำหนักปานกลาง อย่าลดลงมากเกินไป จนรู้สึกไม่สบายที่ไหล่
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้ฉันใช้เป็น “ท่าฟื้นฟู” หลังจากฝึกหนัก ช่วยให้กล้ามหลังผ่อนคลายและยืดตัว ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Thailand Open Masters Games 2025 ฉันทำท่านี้ทุกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกหลัง ช่วยลดความตึงเครียดและป้องกันการบาดเจ็บ
19. Standing Row
การฝึก Row ในท่ายืน ช่วยเพิ่มความท้าทายในการรักษาสมดุลและเสริมสร้างความแข็งแรงของ Core
วิธีทำ: ยืนตรง ถือดัมเบลทั้งสองข้าง ก้มตัวเล็กน้อย ดึงดัมเบลขึ้นไปที่ซี่โครง โดยไม่มีจุดพิง
ข้อควรระวัง: เน้นการรักษาสมดุล ใช้น้ำหนักที่เบากว่า Bent Over Row ปกติ
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ท่านี้เหมาะสำหรับการฝึกที่บ้านหรือเมื่อไม่มีม้านั่ง ช่วยฝึกการทำงานร่วมกันของกล้ามหลังและ Core พร้อมกัน
20. Dumbbell Static Hold Row
ท่าสุดท้ายที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Row และ Isometric Hold เป็นท่าที่ท้าทายและให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
วิธีทำ: ทำ Bent Over Row ปกติ แต่หยุดค้างดัมเบลในจุดสูงสุด (ที่ซี่โครง) เป็นเวลา 15-45 วินาที พยายามรักษาความตึงของกล้ามหลังตลอดเวลา
ข้อควรระวัง: เริ่มด้วยน้ำหนักที่เบา เพราะการค้างทำให้รู้สึกหนักกว่าปกติมาก
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: นี่คือ “ท่าลับ” ที่ฉันใช้ในช่วงสุดท้ายก่อนการประกวด ช่วยสร้างความหนาแน่นและรายละเอียดของกล้ามหลังที่ไม่สามารถได้จากการฝึกแบบปกติ ในการเตรียมตัวสำหรับ Payap Classic 2023 ฉันใช้ท่านี้เป็นท่าสิ้นสุดในทุกเซสชั่นฝึกหลัง ผลลัพธ์คือกล้ามหลังมีความชัดเจนและรายละเอียดที่ทำให้ฉันโดดเด่นในเวทีประกวด
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การฝึกแบบ Isometric (การหยุดค้าง) เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากกว่าการฝึกแบบ Dynamic (การเคลื่อนไหว) ถึง 15% ในระยะเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงการควบคุมกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ
💬 “ถ้าคุณฝึกท่าเหล่านี้ครบทุกสัปดาห์ โค้ชการันตีเลยว่าแผ่นหลังของคุณจะเปลี่ยนจริงใน 4-6 สัปดาห์”
หลังจากแชร์ทั้ง 20 ท่าแล้ว ฉันอยากเน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องทำครบทุกท่าในวันเดียว การเลือกใช้ 5-7 ท่าต่อเซสชั่น โดยหมุนเวียนท่าต่างๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำครบแต่ไม่มีคุณภาพ
สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอและการเพิ่มความเข้มข้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากประสบการณ์การสอนมาหลายปี ฉันเห็นคนที่ฝึกด้วยน้ำหนักเบา แต่มีเทคนิคดีและสม่ำเสมอ ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าคนที่ใช้น้ำหนักหนัก แต่ไม่ค่อยฝึกหรือฝึกแบบไม่มีระบบ
โปรแกรมฝึกกล้ามหลัง Dumbbell สำหรับ 3 ระดับ
“โปรแกรมที่ดีไม่ใช่โปรแกรมที่ยากที่สุด แต่เป็นโปรแกรมที่เหมาะสมกับระดับของคุณและสามารถทำได้สม่ำเสมอ นี่คือบทเรียนที่ฉันเรียนรู้จากการผิดพลาดในช่วงแรกๆ”
หลังจากสอนและโค้ชมาหลายปี ฉันพบว่าคนส่วนใหญ่มักจะเลือกโปรแกรมที่หนักเกินระดับของตัวเอง แล้วท้อแท้หรือบาดเจ็บในที่สุด การออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะกำหนดความสำเร็จของคุณในระยะยาว
Beginner Level (2 วัน/สัปดาห์)
“จุดประสงค์ของระดับเริ่มต้นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เร็วที่สุด แต่เป็นการสร้างนิสัยและเทคนิคที่ถูกต้องซึ่งจะเป็นรากฐานของความสำเร็จในอนาคต”
วัตถุประสงค์: ช่วยให้รู้สึกกล้ามหลัง เน้นท่าง่ายและควบคุมฟอร์ม
สำหรับผู้เริ่มต้น ฉันแนะนำให้ฝึก 2 วันต่อสัปดาห์ โดยห่างกัน 2-3 วัน เช่น วันจันทร์และวันพฤหัสบดี เหตุผลคือกล้ามหลังต้องการเวลาในการฟื้นตัว และการฝึกบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือ Overtraining
โปรแกรม Beginner (วันที่ 1)
- Dumbbell Deadlift – 3 เซต × 8-10 ครั้ง
- One Arm Row (สลับข้าง) – 3 เซต × 8-10 ครั้งต่อข้าง
- Reverse Fly – 3 เซต × 12-15 ครั้ง
- Shrug – 3 เซต × 10-12 ครั้ง
โปรแกรม Beginner (วันที่ 2)
- Bent Over Dumbbell Row – 3 เซต × 8-10 ครั้ง
- Incline Dumbbell Row – 3 เซต × 10-12 ครั้ง
- Y Raise – 2 เซต × 10-12 ครั้ง
- Dumbbell Pullover – 2 เซต × 8-10 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงแรกที่ฉันเริ่มจริงจัง ฉันผิดพลาดโดยการเพิ่งคิดถึงน้ำหนักหนัก ผลลัพธ์คือบาดเจ็บที่หลังล่างและต้องหยุดฝึก 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นฉันจึงเรียนรู้ว่าการเริ่มต้นช้าๆ แต่มั่นคงจะไปได้ไกลกว่า
สำหรับผู้เริ่มต้น ให้เน้นไปที่การรู้สึกกล้ามเนื้อมากกว่าน้ำหนัก ใช้น้ำหนักที่สามารถควบคุมได้ดี และรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามหลัง หากหลังจากฝึกแล้วแขนเมื่อยมากกว่าหลัง แสดงว่าเทคนิคยังไม่ถูกต้อง
น้ำหนักที่แนะนำ: ผู้หญิง 3-8 กิโลกรัม ผู้ชาย 5-12 กิโลกรัม (ปรับตามความสามารถ)
Intermediate Level (3 วัน/สัปดาห์)
“ระดับกลางคือช่วงที่สนุกที่สุด เพราะคุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน และสามารถใช้เทคนิคที่หลากหลายมากขึ้น”
วัตถุประสงค์: เพิ่ม Volume และ Load แบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้ Superset และ Drop Set
ระดับ Intermediate เหมาะสำหรับคนที่ฝึกมาแล้ว 3-6 เดือน และสามารถควบคุมฟอร์มได้ดี ในระดับนี้เราจะเริ่มใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น Superset (การทำ 2 ท่าติดกันโดยไม่พัก) และ Drop Set (การลดน้ำหนักทันทีหลังจากเหนื่อย)
โปรแกรม Intermediate (วันที่ 1 – Upper Back Focus)
- Bent Over Dumbbell Row – 4 เซต × 6-8 ครั้ง
- Superset:
- Incline Dumbbell Row – 3 เซต × 8-10 ครั้ง
- Reverse Fly – 3 เซต × 12-15 ครั้ง
- One Arm Row – 3 เซต × 8-10 ครั้งต่อข้าง
- T Raise – 3 เซต × 10-12 ครั้ง
โปรแกรม Intermediate (วันที่ 2 – Lower Back & Power)
- Dumbbell Deadlift – 4 เซต × 5-6 ครั้ง
- Romanian Deadlift – 3 เซต × 8-10 ครั้ง
- Seal Row – 3 เซต × 8-10 ครั้ง
- Shrug Hold – 3 เซต × 30 วินาที
โปรแกรม Intermediate (วันที่ 3 – Width & Definition)
- Kroc Row – 3 เซต × 12-15 ครั้งต่อข้าง
- Superset:
- Chest Supported Row – 3 เซต × 10-12 ครั้ง
- Y Raise – 3 เซต × 10-12 ครั้ง
- Renegade Row – 3 เซต × 6-8 ครั้งต่อข้าง
- Drop Set: Dumbbell Pullover – 2 เซต (เริ่มหนัก แล้วลดน้ำหนัก 2 ครั้ง)
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงที่ฉันอยู่ระดับ Intermediate (ก่อนเริ่มประกวดจริงจัง) ฉันใช้เทคนิค Superset เป็นประจำ ช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความเข้มข้นของการฝึก ผลลัพธ์คือกล้ามหลังมีความชัดเจนมากขึ้น และการเผาผลาญดีขึ้นด้วย
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การใช้ Superset ในการฝึกเพิ่มการเผาผลาญหลังการออกกำลังกาย (EPOC) มากกว่าการฝึกแบบปกติถึง 35% ซึ่งหมายความว่าร่างกายจะเผาผลาญพลังงานต่อเนื่องแม้หลังจากออกจากฟิตเนสแล้ว
Advanced Level (4 วัน/สัปดาห์)
“ระดับแอดวานซ์ไม่ใช่สำหรับคนที่อยากดูเท่ แต่เป็นสำหรับคนที่มีเป้าหมายชัดเจนและพร้อมที่จะอุทิศเวลาและพลังงานอย่างจริงจัง”
วัตถุประสงค์: ใส่เทคนิคเพิ่ม เช่น Pause Rep, Isometric Hold สำหรับคนที่มีเป้าหมายประกวดหรือเล่นเวที
โปรแกรมระดับ Advanced นี้เป็นโปรแกรมที่ฉันใช้ในการเตรียมตัวสำหรับการประกวด Mr. Thailand 2025 และ Thailand Open Masters Games 2025 เหมาะสำหรับคนที่ฝึกมาแล้วมากกว่า 1 ปี และมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนากล้ามหลัง
โปรแกรม Advanced (วันที่ 1 – Heavy Power Day)
- Dumbbell Deadlift – 5 เซต × 3-5 ครั้ง (3-1-1 Tempo)
- Bent Over Dumbbell Row – 4 เซต × 6-8 ครั้ง (Pause 2 วินาทีที่ซี่โครง)
- One Arm Row – 4 เซต × 6-8 ครั้งต่อข้าง
- Shrug Hold – 4 เซต × 45 วินาที
โปรแกรม Advanced (วันที่ 2 – Upper Back Specialization)
- Incline Dumbbell Row – 4 เซต × 8-10 ครั้ง
- Tri-set:
- Reverse Fly – 15 ครั้ง
- Y Raise – 12 ครั้ง
- T Raise – 10 ครั้ง (ทำ 3 รอบไม่พัก)
- Chest Supported Row – 4 เซต × 10-12 ครั้ง
- Rear Delt Row – 3 เซต × 12-15 ครั้ง
โปรแกรม Advanced (วันที่ 3 – Width & V-Taper)
- Kroc Row – 4 เซต × 15-20 ครั้งต่อข้าง
- Renegade Row – 4 เซต × 8-10 ครั้งต่อข้าง
- Seal Row – 4 เซต × 10-12 ครั้ง
- Dumbbell Pullover – 3 เซต × 12-15 ครั้ง (3 วินาทีลง 1 วินาทีขึ้น)
โปรแกรม Advanced (วันที่ 4 – Conditioning & Detail)
- Standing Row – 4 เซต × 12-15 ครั้ง
- Giant Set:
- Upright Row – 10 ครั้ง
- Shrug – 15 ครั้ง
- I Row – 12 ครั้ง
- Dumbbell Static Hold Row – 20 วินาที (ทำ 3 รอบไม่พัก)
- Romanian Deadlift – 3 เซต × 15-20 ครั้ง (เน้น Mind-Muscle Connection)
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Mr. Thailand 2025 ฉันใช้โปรแกรมนี้เป็นเวลา 16 สัปดาห์ ช่วงแรกรู้สึกหนักมาก แต่หลังจาก 4 สัปดาห์ ร่างกายเริ่มปรับตัว และเห็นการพัฒนาที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญคือการฟังร่างกาย หากรู้สึกเหนื่อยมากเกินไป ให้ลดความเข้มข้นหรือพักเพิ่ม
การจัดการ Recovery: ในระดับ Advanced การฟื้นตัวมีความสำคัญมากพอๆ กับการฝึก ฉันใช้เทคนิค Active Recovery ในวันที่ไม่ฝึกหลัง เช่น การเดิน การยืด หรือการนวดกล้ามเนื้อ
การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนและการกินโปรตีนเพียงพอ (1.6-2.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม) เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการฟื้นตัวและการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ
สัญญาณการปรับโปรแกรม: หากคุณสามารถทำโปรแกรม Beginner ได้ง่ายๆ เป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ พร้อมเปลี่ยนเป็น Intermediate หากทำ Intermediate ได้มากกว่า 6 เดือน และมีเป้าหมายที่ชัดเจน พร้อมขยับไป Advanced
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การฝึกด้วยความถี่ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ให้การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อที่ดีที่สุดในกลุ่มนักกีฬาที่มีประสบการณ์ แต่ต้องมาพร้อมกับการฟื้นตัวที่เพียงพอและโภชนาการที่ดี
ตารางสรุป: กล้ามเนื้อแต่ละมัดที่ได้จากแต่ละท่า
“การรู้ว่าท่าไหนฝึกกล้ามส่วนไหนจะช่วยให้คุณออกแบบโปรแกรมได้อย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่เลือกท่าแบบสุ่มสี่สุ่มห้า”
จากประสบการณ์การเตรียมตัวประกวดหลายครั้ง ฉันเรียนรู้ว่าการเข้าใจว่าแต่ละท่าเน้นกล้ามเนื้อส่วนไหนเป็นกุญแจสำคัญในการออกแบบโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ ตารางนี้เป็นผลจากการศึกษาและทดลองใช้ท่าต่างๆ มาหลายปี
ท่าออกกำลังกาย | กล้ามเนื้อหลัก | กล้ามเนื้อรอง | จุดเด่น |
---|---|---|---|
Bent Over Row | Lat, Rhomboid, Mid Trap | Bicep, Core | สร้างมวลกล้ามรวม |
One Arm Row | Lat, Rhomboid | Bicep, Core | แก้ความไม่สมดุล |
Dumbbell Deadlift | Lower Back, Glutes | Hamstring, Core | พลังและความแข็งแรง |
Romanian Deadlift | Lower Back, Hamstring | Glutes, Core | ความยืดหยุ่นหลังล่าง |
Reverse Fly | Rear Delt, Mid Trap | Upper Trap | แก้หลังค่อม |
Renegade Row | Lat, Core | Shoulders, Tricep | ความมั่นคงลำตัว |
Incline Row | Mid Back, Lat | Bicep | โฟกัสหลังบน |
Seal Row | Lat, Rhomboid | – | แยกกล้ามหลังสมบูรณ์ |
Chest Supported Row | Mid Back | Bicep | ลดการโกง |
Kroc Row | Lat, Rhomboid | Bicep, Core | มวลกล้ามและพลัง |
Rear Delt Row | Rear Delt | Mid Trap | ไหล่หลังเฉพาะ |
Y Raise | Upper Trap, Rear Delt | Rotator Cuff | ป้องกันบาดเจ็บไหล่ |
T Raise | Rear Delt, Mid Delt | Upper Trap | ความกว้างไหล่ |
I Row | Upper Trap | Rear Delt | เส้นคอสู่ไหล่ |
Shrug | Upper Trap | Levator Scapulae | ความหนาคอ |
Upright Row | Upper Trap, Rear Delt | Mid Delt | ความสูงไหล่ |
Shrug Hold | Upper Trap | Forearm | ความหนาแน่น Trap |
Dumbbell Pullover | Lat, Serratus | Tricep, Chest | ขยายกรงซี่โครง |
Standing Row | Mid Back, Core | Bicep | ความมั่นคงรวม |
Static Hold Row | Lat, Rhomboid | Bicep, Core | ความหนาแน่นกล้าม |
การใช้ตารางนี้ในการวางแผนโปรแกรม
สำหรับการสร้างมวลกล้าม (Mass Building): เน้นท่าที่มี “มวลกล้ามรวม” ในจุดเด่น เช่น Bent Over Row, Dumbbell Deadlift, และ Kroc Row
สำหรับการแก้ไขท่าทาง (Posture Correction): เลือกท่าที่มี “แก้หลังค่อม” เช่น Reverse Fly, Y Raise, และ T Raise
สำหรับการสร้างความกว้าง (Width Building): โฟกัสที่ท่าที่เน้น Lat เป็นหลัก เช่น One Arm Row, Seal Row, และ Pullover
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในการเตรียมตัวสำหรับ Mr. Thailand 2025 ฉันใช้ตารางนี้ในการวางแผนโปรแกรม 16 สัปดาห์ โดยแบ่งเป็นเฟส
- เฟส 1 (สัปดาห์ 1-6): เน้นท่าที่สร้างมวลกล้าม 70%, ท่าแก้ไขท่าทาง 30%
- เฟส 2 (สัปดาห์ 7-12): เน้นท่าสร้างความกว้าง 50%, ท่าสร้างมวล 30%, ท่าเสริมสร้างรายละเอียด 20%
- เฟส 3 (สัปดาห์ 13-16): เน้นท่าเสริมรายละเอียดและความหนาแน่น 60%, ท่าอื่นๆ 40%
📥 สาระน่ารู้จากงานวิจัย
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การเปลี่ยนแปลงท่าออกกำลังกายทุก 4-6 สัปดาห์ช่วยป้องกัน “Adaptation Plateau” หรือการที่ร่างกายชินกับการฝึกจนไม่มีการพัฒนา งานวิจัยที่ทำกับนักกีฬาเพาะกาย 120 คน เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่เปลี่ยนท่าการฝึกทุก 4 สัปดาห์มีการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อมากกว่ากลุ่มที่ใช้ท่าเดิมตลอด 23%
ในความเห็นส่วนตัวของฉัน การวิจัยนี้สอดคล้องกับประสบการณ์จริงมาก ในช่วงแรกๆ ที่เล่นฟิตเนส ฉันชอบใช้ท่าเดิมๆ เพราะคิดว่าถ้าท่านั้นดี ทำไมต้องเปลี่ยน แต่หลังจากเจอจุดหยุดนิ่งในการพัฒนา ฉันจึงเริ่มหมุนเวียนท่าต่างๆ และพบว่าการพัฒนาเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
การประยุกต์ใช้ตารางสำหรับเป้าหมายเฉพาะ
เป้าหมาย: แก้ปัญหาปวดหลัง
- ท่าหลัก: Romanian Deadlift, Reverse Fly, Y Raise
- เหตุผล: เสริมสร้างกล้ามหลังล่าง และแก้ความไม่สมดุลของไหล่
เป้าหมาย: สร้างหุ่น V-Shape
- ท่าหลัก: One Arm Row, Seal Row, Reverse Fly, T Raise
- เหตุผล: ขยายความกว้างของหลังและลดขนาดเอว
เป้าหมาย: เพิ่มพลังโดยรวม
- ท่าหลัก: Dumbbell Deadlift, Bent Over Row, Kroc Row
- เหตุผล: ท่าเหล่านี้ใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มพร้อมกัน
เป้าหมาย: เตรียมตัวประกวด
- ท่าหลัก: Static Hold Row, Shrug Hold, Chest Supported Row
- เหตุผล: สร้างความหนาแน่นและรายละเอียดของกล้ามเนื้อ
ฉันขอแนะนำให้คุณพิมพ์ตารางนี้ไว้หรือบันทึกไว้ในโทรศัพท์ เพื่อใช้อ้างอิงขณะวางแผนโปรแกรมการฝึก การมีข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าควรเลือกท่าไหนในแต่ละวัน
สิ่งสำคัญที่อยากเน้นย้ำคือ ไม่มีท่าไหนที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคน ท่าที่ดีที่สุดคือท่าที่เหมาะสมกับเป้าหมาย ระดับความสามารถ และข้อจำกัดของร่างกายแต่ละคน การใช้ตารางนี้ควบคู่กับการฟังร่างกายและปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับท่าเล่นหลังด้วย Dumbbell
“ในช่วง 20 ปีของการสอนและโค้ช ฉันได้รับคำถามเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกคำถามล้วนเป็นข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล และฉันจะตอบด้วยประสบการณ์จริงจากการลองผิดลองถูกมาเอง”
หลังจากที่สอนลูกศิษย์และให้คำปรึกษามาหลายปี ฉันสังเกตว่าคำถามเหล่านี้เป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจอ การมีคำตอบที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดและได้ผลลัพธ์เร็วขึ้น
ใช้ดัมเบลกี่กิโลถึงจะเห็นผล?
“คำถามนี้เหมือนกับการถามว่า ‘กินข้าวกี่จานถึงจะอิ่ม’ คำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่น้ำหนัก แต่เป็นเทคนิคและความสม่ำเสมอ”
ในช่วงแรกที่ฉันเริ่มจริงจัง ฉันก็เคยคิดเหมือนกัน คิดว่าน้ำหนักหนักเท่ากับผลลัพธ์ที่ดี แต่ความจริงคือ ฉันได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อเรียนรู้ที่จะใช้น้ำหนักที่เหมาะสม
สำหรับผู้เริ่มต้น (0-3 เดือน):
- ผู้หญิง: 2-6 กิโลกรัม
- ผู้ชาย: 4-10 กิโลกรัม
- เป้าหมาย: เรียนรู้ฟอร์มและการรู้สึกกล้ามเนื้อ
สำหรับระดับกลาง (3-12 เดือน):
- ผู้หญิง: 6-15 กิโลกรัม
- ผู้ชาย: 10-25 กิโลกรัม
- เป้าหมาย: เพิ่มมวลกล้ามและความแข็งแรง
สำหรับระดับสูง (1 ปีขึ้นไป):
- ผู้หญิง: 15-30+ กิโลกรัม
- ผู้ชาย: 25-50+ กิโลกรัม
- เป้าหมาย: ปรับแต่งรายละเอียดและความหนาแน่น
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ตัวฉันเอง ในการเตรียมตัวสำหรับ Mr. Thailand 2025 ฉันใช้ดัมเบล 20-35 กิโลกรัม แต่สิ่งที่ทำให้ได้แชมป์ไม่ใช่น้ำหนักหนัก แต่เป็นการใช้เทคนิค 3-1-1 Tempo และ Mind-Muscle Connection อย่างสม่ำเสมอ
สัญญาณที่บอกว่าน้ำหนักเหมาะสมคือ สามารถควบคุมฟอร์มได้ตลอด รู้สึกถึงกล้ามหลังชัดเจน และในเซตสุดท้าย 2-3 ครั้งสุดท้ายรู้สึกหนัก แต่ยังทำได้อย่างถูกต้อง
ถ้าเล่นแล้วไม่เมื่อยหลัง เกิดจากอะไร?
“นี่คือปัญหาที่พบบ่อยที่สุด และเป็นสัญญาณว่าคุณกำลัง ‘โยนเงินทิ้ง’ โดยไม่รู้ตัว เพราะแทนที่จะฝึกหลัง คุณกำลังฝึกแขนแทน”
ปัญหานี้ฉันเจอกับลูกศิษย์เกือบทุกคน และเจอกับตัวฉันเองในช่วงแรกๆ ด้วย เหตุผลหลักมี 5 ข้อ ที่ฉันสั่งสมประสบการณ์มาจากการแก้ไขปัญหาร้อยๆ ครั้ง
เหตุผลที่ 1: ใช้แขนมากกว่าหลัง อาการ: หลังจากเล่นเสร็จ แขนเมื่อยมาก แต่หลังไม่รู้สึกอะไร การแก้ไข: คิดว่ากำลัง “ดึงข้อศอกไปหาซี่โครง” แทนที่จะคิดว่ากำลัง “ยกดัมเบล”
เหตุผลที่ 2: ใช้ไหล่มากเกินไป อาการ: ไหล่ยกขึ้นระหว่างการดึง รู้สึกตึงที่คอ การแก้ไข: ดึงใบไหล่ลงและเข้าหากัน ก่อนเริ่มดึงดัมเบล
เหตุผลที่ 3: ช่วงการเคลื่อนไหวสั้นเกินไป อาการ: ดึงขึ้นไม่ถึงซี่โครง หรือไม่ให้กล้ามยืดเต็มที่ตอนลง การแก้ไข: เน้นการยืดกล้ามเต็มที่ตอนลง และดึงให้ถึงซี่โครงตอนขึ้น
เหตุผลที่ 4: น้ำหนักหนักเกินไป อาการ: ต้องโยกตัวหรือใช้โมเมนตัมช่วย การแก้ไข: ลดน้ำหนัก โฟกัสที่คุณภาพการเคลื่อนไหว
เหตุผลที่ 5: ไม่มี Mind-Muscle Connection อาการ: ทำแบบเครื่องจักร ไม่คิดถึงกล้ามเนื้อที่ทำงาน การแก้ไข: ปิดตา จินตนาการกล้ามหลังก่อนเริ่มเซต
เคล็ดลับพิเศษจากโค้ชปุนิ่ม: วิธีที่ฉันใช้สอนลูกศิษย์คือ ให้ทำท่า Row โดยไม่ถือดัมเบล แค่เคลื่อนไหวไปตามท่า แล้วให้รู้สึกว่ากล้ามหลังกำลังทำงาน หลังจากรู้สึกได้แล้ว ค่อยหยิบดัมเบลมาทำ เทคนิคนี้ช่วยให้เข้าใจ Movement Pattern ก่อนเพิ่มน้ำหนัก
ฝึกกี่วันถึงจะเห็นหลังคม?
“คำถามนี้เหมือนกับการถามว่า ‘ปลูกต้นไม้กี่วันจะได้ผลไม้กิน’ คำตอบขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และที่สำคัญคือการตั้งความคาดหวังให้สมจริง”
จากประสบการณ์การสอนและผ่านการติดตามผลลูกศิษย์หลายร้อยคน ฉันสามารถให้กรอบเวลาที่สมจริงได้ดังนี้
สัปดาห์ที่ 1-2: การปรับตัวของระบบประสาท
- ความรู้สึก: แข็งแรงขึ้น ยกได้หนักขึ้น
- สิ่งที่เกิดขึ้น: ระบบประสาทเรียนรู้ท่าทาง ยังไม่มีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ
- ที่มองเห็น: ท่าทางดีขึ้น หลังตรงขึ้น
สัปดาห์ที่ 3-4: การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น
- ความรู้สึก: เมื่อยในแนวที่ถูกต้อง รู้สึกกล้ามหลังชัดขึ้น
- สิ่งที่เกิดขึ้น: กล้ามเนื้อเริ่มได้รับการกระตุ้น
- ที่มองเห็น: คนใกล้ชิดอาจสังเกตว่าท่าทางดีขึ้น
สัปดาห์ที่ 6-8: การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
- ความรู้สึก: รู้สึกแข็งแรงขึ้นอย่างชัดเจน
- สิ่งที่เกิดขึ้น: กล้ามเนื้อเริ่มเจริญเติบโต
- ที่มองเห็น: ตัวคุณเองเริ่มเห็นความแตกต่าง ปวดหลังลดลง
สัปดาห์ที่ 12-16: การเปลี่ยนแปลงที่น่าประทับใจ
- ความรู้สึก: มั่นใจในท่าทาง แข็งแรงกว่าเดิมมาก
- สิ่งที่เกิดขึ้น: การพัฒนากล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง
- ที่มองเห็น: คนอื่นสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง รูปร่างดีขึ้นชัดเจน
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงที่ฉันเริ่มเตรียมตัวจริงจัง ฉันเก็บภาพความคืบหน้าทุก 2 สัปดาห์ และพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเริ่มในสัปดาห์ที่ 8 แต่การเปลี่ยนแปลงที่คนอื่นสังเกตได้เริ่มในสัปดาห์ที่ 12
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วในการเห็นผล:
- อายุ: คนอายุน้อยเห็นผลเร็วกว่า
- เพศ: ผู้ชายมักเห็นผลเร็วกว่าผู้หญิง
- พันธุกรรม: แตกต่างกันมาก
- โภชนาการ: การกินโปรตีนเพียงพอสำคัญมาก
- การนอนหลับ: นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงจะเห็นผลช้า
- ความสม่ำเสมอ: คนที่ขาดบ่อยจะเห็นผลช้ากว่า
ผู้หญิงควรเล่นกล้ามหลังหรือไม่?
“ถ้าฉันต้องเลือกส่วนเดียวให้ผู้หญิงฝึก ฉันจะเลือกกล้ามหลังโดยไม่ลังเล เพราะมันคือ ‘การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด’ สำหรับสุขภาพและความสวยงาม”
ในฐานะผู้หญิงที่ผ่านการประกวดมาหลายเวที และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ฉันยืนยันได้เต็มปากว่า ผู้หญิงไม่เพียงแต่ควรเล่นกล้ามหลัง แต่จำเป็นต้องเล่น!
ประโยชน์เฉพาะสำหรับผู้หญิง:
ลดปัญหาหลังค่อมจากการใส่บรา หลายคนไม่รู้ว่าการใส่บรา โดยเฉพาะแบบมี Underwire ทำให้กล้ามหน้าอกตึง และดึงไหล่ไปข้างหน้า การฝึกกล้ามหลังช่วยสร้างสมดุล
แก้ปัญหาจากการถือกระเป๋า ผู้หญิงมักจะถือกระเป๋าข้างเดียว ทำให้กล้ามหลังไม่สมดุล การฝึกด้วย Dumbbell ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดี
ปรับปรุงรูปร่างโดยไม่ต้องลดน้ำหนัก กล้ามหลังที่แข็งแรงทำให้ดูเอวเล็ก หลังตรง และหุ่นสูงขึ้น แม้น้ำหนักไม่เปลี่ยน
เพิ่มความมั่นใจในการแต่งตัว
เสื้อเปิดหลัง เดรสไร้แขน หรือชุดว่ายน้ำจะดูดีขึ้นมาก
ลดปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด กล้ามหลังที่แข็งแรงช่วยรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังคลอด
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ตอนที่ฉันอายุ 35 ฉันกังวลว่าการฝึกหลังจะทำให้ดูเป็นผู้ชาย แต่จริงๆ แล้วกลับกัน กล้ามหลังทำให้ฉันดูผู้หญิงขึ้น เพราะเน้นความโค้งของเอวและทำให้หุ่นเป็นรูปนาฬิกาทรายมากขึ้น
การแก้ความกังวลที่พบบ่อย:
“กลัวหลังกว้างเกินไป” – ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีฮอร์โมน Testosterone เพียงพอที่จะทำให้กล้ามใหญ่เกินไป การฝึกตามโปรแกรมปกติจะให้ความกว้างที่พอดีและสวยงาม
“กลัวดูแข็งเกินไป” – กล้ามหลังที่แข็งแรงจะทำให้ดูเฟิร์มและ Toned ไม่ใช่แข็งหรือหยาบ
“กลัวเหนื่อยเกินไป” – เริ่มจากโปรแกรม Beginner และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้น
จากการได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า ผู้หญิงที่ฝึกกล้ามหลังสม่ำเสมอมีความหนาแน่นของกระดูกสันหลังสูงกว่า 15% และมีความเสี่ยงต่อ Osteoporosis น้อยกว่าในวัยหลังหมดประจำเดือน นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวที่หลายคนมองข้าม
ฝึกท่าไหนเผาผลาญดีที่สุด?
“คำถามนี้แสดงให้เห็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะกล้ามหลังเป็นกล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ที่ใช้พลังงานสูง การเลือกท่าที่เหมาะสมจะทำให้คุณได้ประโยชน์ทั้งกล้ามแข็งแรงและเผาผลาญดี”
จากประสบการณ์การลดน้ำหนักก่อนการประกวดหลายครั้ง ฉันเรียนรู้ว่าท่าไหนช่วยเผาผลาญได้ดีที่สุด โดยแบ่งตามประเภทของการเผาผลาญ
ท่าที่เผาผลาญสูงระหว่างออกกำลังกาย:
อันดับ 1: Renegade Row
- เผาผลาญ: สูงมาก (ใช้ทั้งหลัง Core และความสมดุล)
- เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการลดน้ำหนักและเสริมสร้างกล้าม
- เทคนิคพิเศษ: ทำแบบ Superset กับ Mountain Climber
อันดับ 2: Dumbbell Deadlift
- เผาผลาญ: สูง (ใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มพร้อมกัน)
- เหมาะสำหรับ: การสร้างพลังและเผาผลาญพร้อมกัน
- เทคนิคพิเศษ: ทำแบบ High Rep (15-20 ครั้ง)
อันดับ 3: Kroc Row
- เผาผลาญ: ปานกลางถึงสูง (ใช้น้ำหนักหนักและ Rep สูง)
- เหมาะสำหรับ: การสร้างมวลกล้ามและเผาผลาญ
- เทคนิคพิเศษ: ทำแบบ Drop Set
ท่าที่เพิ่มการเผาผลาญหลังออกกำลังกาย (EPOC):
อันดับ 1: Circuit ของ Bent Over Row + Romanian Deadlift + Reverse Fly
- ทำท่าละ 12-15 ครั้ง ไม่พักระหว่างท่า พัก 2 นาทีระหว่าง Circuit
- เผาผลาญต่อเนื่องหลังออกกำลังกาย 24-48 ชั่วโมง
อันดับ 2: Static Hold Row + Shrug Hold
- การค้างน้ำหนักเพิ่ม Metabolic Stress
- เผาผลาญสูงแม้ใช้น้ำหนักไม่หนักมาก
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: ในช่วงเตรียมตัวสำหรับ Mr. Thailand 2025 ที่ต้องลดไขมัน ฉันใช้ Circuit Training โดยผสม Renegade Row, Deadlift, และ Reverse Fly เป็น 3 รอบ ทำแบบนี้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วยให้ลดไขมันได้เร็วขึ้น 40% เมื่อเทียบกับการทำท่าแยกๆ
โปรแกรม Fat Burning Back Workout ที่ฉันใช้จริง:
รอบที่ 1 (ทำ 3 รอบ ไม่พัก)
- Renegade Row – 8 ครั้งต่อข้าง
- Dumbbell Deadlift – 15 ครั้ง
- Reverse Fly – 20 ครั้ง พัก 90 วินาทีแล้วเริ่มรอบใหม่
รอบที่ 2 (ทำ 3 รอบ ไม่พัก)
- Bent Over Row – 12 ครั้ง
- Romanian Deadlift – 15 ครั้ง
- Y Raise – 12 ครั้ง พัก 90 วินาทีแล้วเริ่มรอบใหม่
รูปแบบนี้ช่วยเผาผลาญได้มากกว่าการฝึกแบบปกติ และยังได้ประโยชน์ในการสร้างกล้ามเนื้อด้วย สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมฟอร์มให้ดีแม้จะเหนื่อย เพราะความปลอดภัยสำคัญกว่าการเผาผลาญ
สรุปจากโค้ชปุนิ่ม: หลังคือจุดที่คนมองไม่เห็น แต่เวทีประกวดมองเป็นอันดับแรก
“คุณอาจมองไม่เห็นหลังตัวเอง แต่เวทีประกวดมองกล้ามหลังเป็นตัวตัดสินหุ่นสวยได้เลยค่ะ กล้ามหลังที่ดีคือสิ่งที่ดันหุ่นคุณขึ้นอีกระดับ ไม่ว่าจะเล่นฟิตเนสหรือใช้ชีวิตประจำวัน”
หลังจากเดินทางมาในวงการเพาะกายและฟิตเนสมากว่า 20 ปี ผ่านการประกวดหลายสิบเวที จากการได้อันดับ 4 ใน Chiangmai Classic 10.0 2024 ไปจนถึงการคว้าแชมป์ Mr. Thailand 2025 และ Thailand Open Masters Games 2025 ฉันเข้าใจดีว่ากล้ามหลังคือ “หัวใจ” ของหุ่นที่สมบูรณ์
บทเรียนจากการพ่ายแพ้และชัยชนะ
ในการประกวด Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่ฉันได้อันดับ 4 กรรมการให้ข้อเสนะแนะว่า “กล้ามหลังมีมวล แต่ขาดความลึกและรายละเอียด” คำนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ฉันใช้เวลา 8 เดือนถัดมาในการปรับปรุงเทคนิคการฝึก โดยเฉพาะการใช้ 3-1-1 Tempo และเทคนิค Static Hold Row
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ในการประกวด Mr. Thailand 2025 กรรมการแสดงความประทับใจอย่างมากในส่วนของกล้ามหลัง หนึ่งในกรรมการบอกว่า “เมื่อคุณหันหลัง กรรมการทุกคนต้องหยุดดู เพราะความหนาแน่นและความสมดุลของกล้ามหลังโดดเด่นมาก”
การเปลี่ยนแปลงที่เกินคาดหวัง
สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดคือ การพัฒนากล้ามหลังไม่เพียงช่วยในการประกวด แต่ยังเปลี่ยนคุณภาพชีวิตฉันในหลายด้าน
ด้านสุขภาพ: ปัญหาปวดหลังจากการนั่งทำงานที่เคยเป็นประจำหายไปเกือบสมบูรณ์ การนอนหลับดีขึ้น และมีพลังงานในการทำกิจกรรมอื่นๆ มากขึ้น
ด้านความมั่นใจ: ท่าทางที่ตรงและแข็งแรงทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าจะในการประกวด การสอน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
ด้านการเผาผลาญ: ในอายุ 45 ปี ฉันยังสามารถรักษารูปร่างและลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าตอนอายุ 35 ปี เพราะกล้ามหลังที่แข็งแรงช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน
ข้อผิดพลาดที่อยากให้คุณหลีกเลี่ยง
จากประสบการณ์การผิดพลาดของฉันเอง และการสังเกตลูกศิษย์มาหลายปี มีข้อผิดพลาดหลักที่มักเกิดขึ้น
ความผิดพลาดที่ 1: รีบร้อนเกินไป ในช่วงแรกฉันอยากเห็นผลเร็ว จึงเพิ่มน้ำหนักและความถี่ในการฝึกมากเกินไป ผลที่ได้คือการบาดเจ็บและต้องหยุดฝึก การฝึกอย่างสม่ำเสมอด้วยความเข้มข้นที่เหมาะสมจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ความผิดพลาดที่ 2: มองข้ามความสำคัญของ Mind-Muscle Connection เทคนิคนี้ฟังดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่แยกคนที่ได้ผลออกจากคนที่ไม่ได้ผล การใช้เวลา 2-3 นาทีก่อนเริ่มฝึกในการ “เชื่อมต่อ” กับกล้ามหลังจะทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความผิดพลาดที่ 3: ไม่หมุนเวียนท่าการฝึก การใช้ท่าเดิมๆ เป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายชิน และการพัฒนาจะช้าลง การเปลี่ยนท่าทุก 4-6 สัปดาห์ช่วยให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
ข้อเสนอแนะสำหรับการเริ่มต้น
สำหรับผู้เริ่มต้น (อายุ 20-30 ปี): เน้นการเรียนรู้ฟอร์มที่ถูกต้องเป็นหลัก อย่าเพิ่งคิดถึงน้ำหนักหนัก ใช้เวลา 3-6 เดือนแรกในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง
สำหรับวัยทำงาน (อายุ 30-40 ปี): โฟกัสที่การแก้ปัญหาจากการนั่งทำงาน เริ่มจากท่า Reverse Fly, Y Raise, และ Romanian Deadlift ก่อน เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย
สำหรับวัยผู้ใหญ่ (อายุ 40+ ปี): ความปลอดภัยสำคัญที่สุด เริ่มจากน้ำหนักเบาและเพิ่มค่อยเป็นค่อยไป เน้นการสร้างความแข็งแรงเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มากกว่าการแข่งขัน
มุมมองส่วนตัวหลังจากอายุ 45 ปี
ตอนนี้ฉันอายุ 45 ปี และยังสามารถแข่งขันได้ในระดับที่สูงกว่าเดิม นี่ไม่ใช่เพราะพันธุกรรมที่ดี แต่เป็นผลจากการดูแลร่างกายอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
การฝึกกล้ามหลังเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ฉันรักษาความแข็งแรงและรูปร่างได้ การที่ฉันสามารถคว้าแชมป์ Mr. Thailand 2025 ในวัย 45 ปี เป็นการพิสูจน์ว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค หากเรามีวิธีการที่ถูกต้อง
คำแนะนำสุดท้าย
หากคุณกำลังลังเลว่าจะเริ่มต้นฝึกกล้ามหลังหรือไม่ ฉันขอบอกว่า “เริ่มเลย วันนี้” ไม่ต้องรอให้มีเวลาว่าง ไม่ต้องรอให้มีอุปกรณ์ครบ ไม่ต้องรอให้พร้อมสมบูรณ์
เริ่มจากท่าง่ายๆ ด้วยน้ำหนักเบาๆ แค่ 2-3 ท่า 15-20 นาที ฝึก 2 วันต่อสัปดาห์ หลังจาก 4-6 สัปดาห์ คุณจะเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่าง และนั่นจะเป็นแรงผลักดันให้คุณทำต่อไป
จำไว้ว่า การฝึกกล้ามหลังไม่ใช่แค่การสร้างหุ่นที่สวยงาม แต่เป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว เมื่อคุณอายุ 60 70 80 ปี คุณจะขอบคุณตัวเองที่เริ่มต้นวันนี้
หุ่นที่ดีที่สุดไม่ใช่หุ่นที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นหุ่นที่แข็งแรง มั่นคง และพร้อมรับมือกับชีวิตที่ยาวนานข้างหน้า
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฝึกหลังด้วย Dumbbell
1. เริ่มต้นควรซื้อดัมเบลหนักเท่าไหร่?
สำหรับผู้เริ่มต้น ฉันแนะนำให้มี 2-3 คู่ น้ำหนักต่างกัน ผู้หญิงควรมี 3kg, 5kg, และ 8kg ผู้ชายควรมี 5kg, 8kg, และ 12kg หรือจะซื้อแบบ Adjustable Dumbbell ที่ปรับน้ำหนักได้จะคุ้มค่ากว่า เพราะสามารถเพิ่มน้ำหนักได้เมื่อแข็งแรงขึ้น
2. ทำไมหลังจากฝึกแล้วปวดคอและไหล่มากกว่าหลัง?
นี่แสดงว่าคุณใช้กล้ามผิดส่วน ให้ลองปรับโดยการ “ดึงใบไหล่ลงและเข้าหากัน” ก่อนเริ่มทำท่า และคิดว่ากำลัง “ดึงข้อศอกไปหาซี่โครง” แทนที่จะคิดว่ากำลังยกดัมเบล ถ้ายังปวดคอ ให้ลดน้ำหนักลงและโฟกัสที่เทคนิค
3. ควรฝึกหลังกี่วันต่อสัปดาห์?
ผู้เริ่มต้น 2 วันต่อสัปดาห์ เว้นวรรค 48-72 ชั่วโมง ระดับกลาง 3 วันต่อสัปดาห์ ระดับสูง 4 วันต่อสัปดาห์ แต่ต้องมีการ Recovery ที่ดี หากรู้สึกเมื่อยล้าหรือเจ็บปวด ให้พักเพิ่ม
4. ฝึกหลังช่วยลดอาการปวดหลังจริงหรือ?
จากประสบการณ์ของฉันและลูกศิษย์หลายคน การฝึกกล้ามหลังอย่างถูกต้องช่วยลดอาการปวดหลังได้มาก โดยเฉพาะอาการปวดจากการนั่งนาน แต่ถ้ามีอาการปวดหลังรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มฝึก
5. ต้องใช้เครื่องช่วยอื่นๆ ด้วยหรือไม่?
Dumbbell เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ อาจจะเพิ่ม Pull-up Bar หรือ Resistance Band แต่ไม่จำเป็น สำหรับผู้เริ่มต้น แค่ดัมเบลกับพื้นที่ฝึกก็เพียงพอ
6. กินอะไรเสริมช่วยการสร้างกล้ามหลัง?
สิ่งสำคัญที่สุดคือโปรตีนเพียงพอ ประมาณ 1.6-2.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม กินจากอาหารธรรมชาติก่อน เช่น ไก่ ปลา ไข่ หากกินไม่เพียงพอค่อยเสริม Whey Protein สำหรับผู้หญิงอาจต้องเสริมธาตุเหล็กด้วย
7. ท่าไหนเหมาะสำหรับคนมีปัญหาหลังเก่าๆ?
เริ่มจาก Y Raise, T Raise, และ Reverse Fly ด้วยน้ำหนักเบามาก หลีกเลี่ยง Deadlift และ Bent Over Row ในช่วงแรก เมื่อแข็งแรงขึ้นค่อยเพิ่มท่าอื่นๆ และควรปรึกษากายภาพบำบัดก่อน
8. ผู้หญิงตั้งครรภ์ฝึกได้หรือไม่?
ในไตรมาสแรกอาจฝึกได้ แต่ต้องลดความเข้มข้นลง หลีกเลี่ยงท่านอนหงาย และท่าที่ต้องก้มตัวมาก แต่ดีที่สุดควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะแต่ละคนมีสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน
9. ใช้เวลาฝึกนานเท่าไหร่ในแต่ละครั้ง?
ผู้เริ่มต้น 20-30 นาที ระดับกลาง 40-50 นาที ระดับสูง 60-90 นาที รวมเวลา Warm-up และ Cool-down ด้วย สำคัญกว่าความนานคือคุณภาพของการฝึกและความสม่ำเสมอ
10. เมื่อไหร่ควรเพิ่มน้ำหนัก?
เมื่อคุณสามารถทำครบจำนวนเซตและครั้งที่กำหนดด้วยฟอร์มที่ดี และรู้สึกว่าสามารถทำได้อีก 2-3 ครั้ง ให้เพิ่มน้ำหนัก 10-20% สำหรับผู้เริ่มต้นอาจเพิ่มทุก 2-3 สัปดาห์ ระดับสูงอาจเพิ่มช้ากว่านั้น
จบบทความด้วยความหวังว่า ทุกท่าที่ฉันแชร์และทุกเทคนิคที่ได้มาจากประสบการณ์จริงจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การฝึกกล้ามหลังไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่แข็งแรงและมั่นคงของคุณ