(1) ท่า Back Squat คืออะไร?
จากมุมมองโค้ชปุนิ่ม แชมป์เพาะกายหญิงปี 2025
ย้อนกลับไปตอนที่ปุนิ่มเริ่มเข้ายิมใหม่ ๆ อายุยังไม่ถึง 25 เลยค่ะ ตอนนั้นแค่เห็นผู้ชายแบกบาร์หนัก ๆ ก็แอบกลัวแล้ว จะเป็นลมอยู่หลายรอบ พอเริ่มศึกษาจริง ๆ จึงรู้ว่า “Back Squat” คือรากฐานของร่างกายที่แข็งแรงทุกส่วน ไม่ใช่แค่ขา ไม่ใช่แค่สะโพก แต่มันคือแบบฝึกหัดที่ “วัดความกล้า ความตั้งใจ และความสมดุลของทั้งร่างกาย”
Back Squat คืออะไร?
“Back Squat” หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า “สควอทแบบบาร์วางหลัง” เป็นท่าฝึกกล้ามเนื้อขาขั้นพื้นฐานที่ใช้บาร์เบลล์วางพาดบนหลังส่วนบน (Upper Trapezius หรือบางคนวางต่ำหน่อยที่ Rear Delt ขึ้นอยู่กับสไตล์ High Bar / Low Bar)
จากประสบการณ์ที่ปุนิ่มใช้ท่านี้เตรียมประกวดในเวที Mr. Thailand 2025
สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ท่านี้ช่วย “ปั้นกล้ามเนื้อขาและสะโพก” ให้เด่นชัดกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะเมื่อเราใช้ Progressive Overload และควบคุม Form อย่างถูกต้อง
ที่มาทางวิทยาศาสตร์
Back Squat ถือเป็น Compound Movement ที่กระตุ้นกล้ามเนื้อหลายกลุ่มพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น:
- กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps)
- กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings)
- กล้ามเนื้อสะโพก (Gluteus Maximus)
- กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core)
- และยังมีผลต่อกล้ามเนื้อหลัง และกล้ามเนื้อคอเล็กน้อยด้วย
งานวิจัยปี 2019 จากกลุ่มทดลองนักยกน้ำหนักสมัครเล่น 100 คน พบว่า
คนที่ฝึก Back Squat อย่างต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาเพิ่มเฉลี่ย 26% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้เครื่อง Leg Press เพียงอย่างเดียว
โค้ชปุนิ่มเล่าให้ฟังแบบบ้าน ๆ
“Back Squat มันเหมือนกระจกสะท้อนนิสัยเลยค่ะ” ใครชอบโกงท่า ขี้เกียจหย่อนลึก มันก็สะท้อนชัดออกมาทางกล้ามเนื้อที่ไม่สวย ยิ่งสำหรับคนที่ประกวดหรือขึ้นเวที ถ้า “ต้นขาไม่เต็ม – สะโพกไม่กลม – หน้าท้องไม่เกร็งพอ” จะถูกหักคะแนนทันที
นี่ยังไม่นับว่า ท่านี้ยังช่วยให้ปุนิ่ม วิ่งเทรลได้มั่นคงขึ้น เวลาเจอเนินสูง ๆ หรือพื้นดินไม่สม่ำเสมอ เพราะกล้ามเนื้อขามีแรงส่งมากขึ้นอย่างรู้สึกได้จริง
(2) 5 วิธีการทำ Back Squat ที่ถูกต้อง
สอนโดยโค้ชปุนิ่ม – ที่ใช้ท่านี้ปั้นกล้ามขาเวทีระดับประเทศ
ถ้า Back Squat ทำถูกตั้งแต่แรก ร่างกายเราจะจำฟอร์มที่ดีตั้งแต่ต้น
แต่ถ้าทำผิดแม้แต่ “การวางเท้า” หรือ “มุมหลัง” แค่นิดเดียว ก็อาจพังทั้งหลังและเข่าในระยะยาวได้เลย
วิธีที่ 1: เริ่มจากการวางเท้าให้ตรงกับสรีระ ไม่ใช่ตามตำราเป๊ะเสมอไป
เข้าใจผิดกันเยอะมาก ว่าทุกคนต้องกางเท้า 45 องศา กว้างเท่าสะโพก
แต่ความจริงแล้ว… “โครงสร้างข้อสะโพก” ของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลยค่ะ บางคนข้อสะโพกกลมลึก บางคนเปิดนอก บางคนหมุนเข้า ถ้าเราไปฝืนทำตามสูตรเป๊ะ ๆ อาจทำให้ “เข่าเปิด” หรือ “หลังโก่ง” ได้ง่าย
วิธีที่โค้ชใช้คือ “ให้ลอง Squat ตัวเปล่า แล้วดูว่าท่าไหนลงลึกได้สุดโดยที่หลังไม่งอ” จากนั้นค่อยเอาท่าที่สบายสุดนั่นแหละเป็นจุดตั้งต้น แล้วค่อยปรับบาร์ทีหลัง
วิธีที่ 2: วางบาร์ให้มั่น บนกล้ามเนื้อ ไม่ใช่บนกระดูก
Back Squat มี 2 แบบหลักคือ High Bar (วางบน Trapezius) กับ Low Bar (วางต่ำลงใกล้ Rear Delt) โค้ชปุนิ่มใช้ทั้ง 2 แบบ แต่ในช่วงเตรียมประกวดจะเลือกแบบ High Bar มากกว่า เพราะช่วยเน้นกล้ามต้นขา (Quads) ได้ชัด และหลังไม่ต้องโน้มมาก
เคล็ดลับ:
- บาร์ต้อง “วางบนกล้าม” ไม่ใช่ทับกระดูกคอ
- ถ้าเจ็บแสดงว่าคุณวางพลาด ต้องถอยไปตั้งใหม่
- บีบสะบักช่วยให้บาร์เกาะติดแน่น ไม่กลิ้งหล่นกลางท่า
วิธีที่ 3: เกร็งแกนกลาง (Core Bracing) แบบที่ไม่ใช้ท้องแข็งอย่างเดียว
การเกร็งท้องไม่ใช่ “แขม่วไว้” อย่างเดียว แต่ต้อง ใช้ลมหายใจดันกระบังลมลงท้อง หรือที่เรียกว่า “Intra-abdominal pressure” เพื่อให้ลำตัว “กลายเป็นเสาเหล็ก” ค้ำไม่ให้หลังงอเวลาแบกหนัก
วิธีฝึกง่าย ๆ ที่โค้ชใช้คือ:
- หายใจเข้าทางจมูกลึก ๆ
- ดันลมลงท้อง เหมือนบวม ๆ ไม่ต้องแขม่ว
- เกร็งพร้อมกับตอนเริ่มลง
- ไม่หายใจออกกลางทางเด็ดขาด (ยกเว้นถ้าน้ำหนักเบา)
งานวิจัยปี 2022 จากกลุ่มนักกีฬา Powerlifting 50 คน พบว่า
การใช้เทคนิค Bracing ที่ถูกต้อง ช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลังได้เฉลี่ย 28%
วิธีที่ 4: ลงลึกเท่าที่ “กระดูกเชิงกรานยังไม่ม้วน” (Avoid Butt Wink)
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า ยิ่งลึกยิ่งดี
แต่ความจริงคือ… ถ้าคุณลงจน “กระดูกเชิงกรานม้วนใต้” (Butt Wink) มากเกินไป หลังจะงอแบบไม่รู้ตัว เสี่ยงหมอนรองกระดูกกดทับในอนาคต
วิธีดูง่าย ๆ:
- ให้ถ่ายคลิปจากด้านข้าง แล้วหยุดภาพตอนล่างสุด
- ถ้ากระดูกก้นเริ่มงอเป็นวงขึ้นมา → ลงลึกเกินไป
โค้ชแนะนำให้ลงแค่ระดับที่ยัง “หลังตรง” อยู่ เพราะคุณจะสามารถคุมแรง และดันขึ้นได้อย่างปลอดภัย
วิธีที่ 5: จังหวะ “ขึ้น” ต้องกดเท้าครบทั้งฝ่าเท้า ไม่ใช่เขย่งหรือพุ่งเข่า
เทคนิคที่โค้ชใช้เวลาฝึกเข้ม คือ:
- ตอนลง: หายใจเข้า เกร็งลำตัว ลงช้า ๆ แบบควบคุม
- ตอนขึ้น: กดพื้นผ่าน “กลางเท้า” ดันสะโพกขึ้นพร้อมอก (ไม่ใช่ดันสะโพกก่อนแล้วหลังตาม)
ห้าม! ยกลูกบาร์ขึ้นด้วยแรงเข่าอย่างเดียว หรือยกหลังก่อนสะโพกเด็ดขาด เพราะมันจะพังหลังแน่นอน และยังลดประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเนื้อด้วย
ตารางสรุป: 5 เทคนิคการทำ Back Squat แบบถูกต้อง
ลำดับ | เทคนิคสำคัญ | อธิบายแบบโค้ชปุนิ่ม |
---|---|---|
1 | วางเท้าตามโครงสร้างตัวเอง | ไม่ฝืนตำรา ลองท่าเปล่าก่อนว่าอะไรเหมาะกับตนเองที่สุด |
2 | วางบาร์บนกล้ามเนื้อ ไม่ใช่กระดูก | ใช้สะบักหนีบไว้ให้แน่น ป้องกันบาร์กลิ้งหรือเจ็บคอ |
3 | เกร็งท้องแบบใช้แรงดันลมลงท้อง (Bracing) | เหมือนบีบท้องจากภายใน ไม่ใช่แขม่วหน้าท้องเฉย ๆ |
4 | หยุดก่อนกระดูกก้นม้วน (Butt Wink) | ดูคลิปตัวเองว่าหลังยังตรงอยู่ตอนล่างสุดไหม |
5 | ขึ้นด้วยแรงจากเท้าทั้งแผ่น ไม่พุ่งเข่า | ดันทั้งตัวขึ้น ไม่ยกหลังก่อน ไม่เขย่งปลายเท้า |
(3) 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรง
เคล็ดลับที่ 1: ฝึก Back Squat แบบ “Warm-up ซ้อนทับ” (Stacked Warm-up)
เทคนิคนี้ช่วยให้ “ฟอร์มดีตั้งแต่เซ็ตแรก” โดยไม่ต้องเสียเวลาไล่น้ำหนักหลายเซ็ต
ตอนเตรียมแข่งรายการ Thailand Open Masters Games โค้ชเจอปัญหาเดิม ๆ คือ
เวลาจะเริ่มเซ็ต Working Set จริง (เช่น Squat น้ำหนัก 60–70% ของ Max) มักเสียฟอร์มใน 1–2 เซ็ตแรก เพราะร่างกายยังไม่เปิด
สิ่งที่โค้ชทำคือ “ฝึก Warm-up ให้เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการเทรน” ไม่ใช่แค่เบา ๆ แล้วจบ
โครงสร้าง Warm-up ที่โค้ชใช้:
- Bodyweight Squat 10 reps – เปิดเข่าเปิดสะโพก
- Goblet Squat with Dumbbell (น้ำหนักเบา) – 10 reps เน้นฟอร์มช้า
- Back Squat (บาร์เปล่า) – 8 reps
- เพิ่มทีละ 10–15 กก. แล้วเล่น 3–5 reps เท่านั้นในแต่ละน้ำหนัก เพื่อไล่ขึ้นสู่น้ำหนักจริง
สิ่งที่ได้จากวิธีนี้:
- Core และระบบประสาทถูกเปิดก่อนถึงเซ็ตจริง
- ลดโอกาสเข่าแกว่ง-หลังงอ
- กล้ามเนื้อมีการ “เปิดสัญญาณ” ว่าจะต้องรับแรงหนักขึ้น จึงทำงานเต็มที่
งานวิจัยจากปี 2021 พบว่า
กลุ่มที่ใช้ Progressive Warm-up มีอัตราการควบคุม Form สูงกว่ากลุ่ม Warm แบบธรรมดาถึง 37% ในท่า Squat
เคล็ดลับที่ 2: ใช้ Tempo Training กดความฟุ้งซ่าน และสร้างกล้ามให้หนาขึ้น
“โค้ชไม่เคยสร้างกล้ามขาให้หนาด้วยการยกเร็ว ๆ”
ช่วงที่เตรียมประกวด Mr. Thailand 2025 โค้ชเปลี่ยนกลยุทธ์จากยกเยอะ ๆ ไปเป็นการใช้ “Tempo Slow-Control” แบบนี้:
- ลง 3 วินาที
- ค้าง 1 วินาทีด้านล่าง
- ดันขึ้นเร็ว (แต่ต้องควบคุม)
💥 ผลที่ได้คือ:
- กล้ามเนื้อ Quads และ Glutes ทำงานตลอดช่วงการเคลื่อนไหว (TUT = Time Under Tension สูงขึ้น)
- จิตใจโฟกัสมากขึ้น เพราะทุกวินาทีต้องมีสติอยู่กับท่า
- ไม่มีคำว่า “ยกเหวอ” หรือใช้แรงส่งจนหลังพังอีกต่อไป
และที่สำคัญ… หลังจากทำแบบนี้ 3 สัปดาห์ กล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกของโค้ช “ฟูและกลมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” โดยไม่ต้องเพิ่มน้ำหนักแม้แต่โลเดียว!
สรุป 2 เทคนิคโค้ชปุนิ่มใช้จริง
เทคนิค | รายละเอียด | จุดเด่นที่ได้ผลจริง |
---|---|---|
Stacked Warm-up | ไล่น้ำหนักทีละระดับแบบมีระบบ | ฟอร์มแน่นตั้งแต่เซ็ตแรก ป้องกันอาการบาดเจ็บ |
Tempo Training | ควบคุมความเร็วทุกช่วงจังหวะ | เพิ่ม TUT ให้กล้ามชัด คุมท่าได้มั่นคง |
เทคนิคพวกนี้…ต้องลองด้วยตัวเอง แล้วจะรู้เลยว่า “ความต่างมันชัดขนาดไหน” อยากให้ทุกคนได้กล้ามขาแน่น ๆ แบบไม่ต้องพึ่งแต่เครื่องค่ะ!
(4) 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (และวิธีแก้ให้หายขาด)
❌ ข้อผิดพลาดที่ 1: วางเท้ากว้างไป-แคบไป โดยไม่เช็กโครงสร้างสะโพกตัวเอง
“บางคนตัวเล็กแต่ชอบวางขากว้างแบบบอดี้บิลเดอร์ บางคนสะโพกเปิดแต่ฝืนยืนแคบ ผลคือ…เข่าพัง หลังล้า”
จากที่โค้ชเทรนมาหลายคน พบว่า 70% ไม่รู้เลยว่า ข้อสะโพกของตัวเองควรยืนมุมไหน
เวลาฝืนทำตามตำราเป๊ะเกินไป เข่าจะเปิดหรือปิดเกินจุดที่ร่างกายรองรับได้
✅ วิธีแก้:
- ลองยืนบนพื้นเรียบ แล้ว “สควอทตัวเปล่า” (ไม่ถืออะไรเลย) ให้ลึกสุดที่คุณยัง “หลังไม่งอ”
- ถ่ายคลิปด้านข้าง/หน้า แล้วดูว่าเข่าอยู่ในแนวเดียวกับปลายเท้าหรือไม่
- จากนั้นใช้ท่ายืนตรงนั้นเป็นตำแหน่งจริงของคุณ (อย่าเลียนแบบใคร)
❌ ข้อผิดพลาดที่ 2: ไม่ Bracing หรือเกร็งลำตัวตอนเริ่มท่า
“น้อง ๆ หลายคนมักยกบาร์ขึ้น แล้วรีบลงทันทีโดยไม่ได้หายใจลึกหรือเกร็งท้องก่อน”
ผลคือ…หลังแอ่น หรือหลังงอโดยไม่รู้ตัว เสี่ยงบาดเจ็บสูงมาก โดยเฉพาะกับคนที่กล้ามเนื้อแกนกลางยังไม่แข็งแรง
✅ วิธีแก้:
- หายใจลึกเข้าทางจมูก (ไม่ใช่หอบ ๆ) แล้วดันลมลงท้อง
- เกร็งหน้าท้องรอบเอวให้แน่น “ก่อน” เริ่มลง
- ค่อย ๆ ลงพร้อมคุมจังหวะ ไม่รีบ
โค้ชเคยให้ลูกศิษย์ซ้อมแค่ การ Bracing 10 เซ็ตต่อวันแบบไม่มีบาร์ ใช้เวลาสัปดาห์เดียว ฟอร์มดีขึ้นชัดเจน!
❌ ข้อผิดพลาดที่ 3: ลงลึกเกินช่วงที่ควบคุมได้ (เกิด Butt Wink)
“ทุกคนคิดว่าลึกสุดจะดีที่สุด แต่พอลึกเกิน กลายเป็นหลังม้วนสะโพกย้อย”
อาการนี้เรียกว่า “Butt Wink” ทำให้หลังส่วนล่างโดนแรงกระแทกซ้ำ ๆ จนบางคนมีอาการชา หรือปวดหลังด้านล่างโดยไม่รู้สาเหตุ
✅ วิธีแก้:
- ให้คนถ่ายคลิปจากด้านข้างตอนคุณ Squat
- ดูว่าเมื่อใดที่กระดูกก้นเริ่มหมุนขึ้น → นั่นคือจุดหยุดของคุณ
- ใช้ Range ตรงนั้นฝึกไปก่อน จนกล้ามเนื้อยืดหยุ่นดีขึ้น แล้วค่อยเพิ่มความลึก
❌ ข้อผิดพลาดที่ 4: ลงเร็ว ดันขึ้นไว จนหลุดจังหวะทั้งท่า
“ท่า Squat ไม่ใช่ท่าความเร็ว แต่เป็นท่าคุมจังหวะและควบคุมแรงให้มั่นคง”
การลงเร็ว ดันขึ้นเร็ว จะทำให้ใช้ “แรงส่ง” แทน “แรงกล้ามเนื้อ” และมักจะหลุดฟอร์มช่วงล่างสุดของท่า
✅ วิธีแก้:
- ใช้ “Tempo Training” เช่น 3 วินาทีลง / 1 วินาทีค้าง / 1 วินาทีขึ้น
- ฝึกกับน้ำหนักเบาก่อน แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักแบบรักษา Tempo ให้ได้
- อย่าหลุดจังหวะ แม้ช่วงท้ายเซ็ตจะเริ่มล้า
❌ ข้อผิดพลาดที่ 5: ยกหลังขึ้นก่อนสะโพก
“ขึ้นจากท่า Squat แล้วหลังโด่งขึ้นก่อน แบบนี้แรงจะไปลงที่หลังล่างมากกว่ากล้ามขา”
เป็นอาการที่เจอบ่อยในคนที่กล้ามเนื้อสะโพกไม่แข็งแรงพอ หรือไม่คุมลมหายใจตอนขึ้น
✅ วิธีแก้:
- ฝึก “Pause Squat” โดยหยุดค้าง 1 วินาทีตรงจุดล่างสุด แล้ว “ดันสะโพกและอกขึ้นพร้อมกัน”
- เน้นฝึก Hip Drive จากพื้น ไม่ใช่ยกลำตัวแบบแยกส่วน
สรุป: ตารางข้อผิดพลาด + วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม
ข้อผิดพลาด | สิ่งที่มักเกิดขึ้น | วิธีแก้ที่ได้ผลจริง |
---|---|---|
วางเท้าผิดแนว | เข่าเปิด/ปิดเกิน ทำให้เข่าหมุน | ใช้ท่ายืนที่เหมาะกับสะโพกตัวเอง |
ไม่เกร็งลำตัว | หลังงอทันทีตอนแบกบาร์ | ฝึก Bracing และควบคุมหายใจทุกเซ็ต |
ลงลึกเกินไป | หลังงอ-กระดูกก้นม้วน | จำกัด Range ก่อน แล้วค่อยลึกขึ้น |
เร็วเกินควบคุม | กล้ามไม่ทำงานเต็มที่ | ใช้ Tempo ช่วยควบคุมแรง |
ยกหลังก่อนสะโพก | หลังล่างรับภาระแทนขา | ใช้ Pause + Hip Drive แบบแม่นยำ |
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่โค้ชเห็นกับตาจริง และช่วยแก้ให้ลูกศิษย์กลับมา Squat ได้อย่างมั่นใจ อย่าลืมว่า Squat ไม่ได้แข่งกันใคร แต่แข่งกับฟอร์มตัวเองทุกครั้งที่จับบาร์ค่ะ
(5) 3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่า Back Squat
กล้ามเนื้อเป้าหมายหลัก 3 มัด (ที่ทำงานจริงทุกครั้งที่คุณ Squat)
1. กล้ามเนื้อ Quadriceps (ต้นขาด้านหน้า)
คือจุดที่ทำให้ “ขาดูแน่น ไม่แบน” เมื่อมองจากด้านหน้า
- เป็นกล้ามเนื้อหลักในการดันตัวขึ้นจากพื้น
- มีผลโดยตรงกับ “ความมั่นคง” เวลาเดิน วิ่ง หรือขึ้นบันได
- เป็นมัดกล้ามที่กรรมการฟิตเนสมองเห็นชัดจากด้านหน้า และใช้ตัดสินคะแนนทันทีว่าคุณฟิตจริงไหม
เทคนิคเพิ่มทรง:
- ใช้ High Bar Squat (บาร์วางสูง) เพื่อเน้นแรงที่ Quads
- จังหวะลงให้ “เข่าดันไปข้างหน้าเล็กน้อย” เพื่อให้ต้นขาทำงานชัด
- เน้น Tempo Training: ลง 3 วินาที / ขึ้น 1 วินาที
2. กล้ามเนื้อ Gluteus Maximus (สะโพกใหญ่)
จุดเด่นที่ทำให้ “ก้นกลม-ยกตัว-ไม่ย้อย” เห็นได้ทั้งในชุดฟิตเนสหรือเสื้อผ้าปกติ
- ทำหน้าที่หลักในการ “ดันตัว” ขึ้นจากท่าหมอบล่างสุด
- ถ้าทำงานเต็มที่ ก้นจะกระชับแบบมีมิติ ไม่แบนไม่หย่อน
- บางคนที่เล่น Squat แล้ว “ต้นขามาแต่ก้นไม่มา” คือใช้ขาเยอะเกิน ต้องปรับฟอร์มให้สะโพกได้ร่วม
เทคนิคเพิ่มทรง:
- ใช้ Low Bar Squat (วางบาร์ต่ำ) เพื่อให้สะโพกหลังงอมากขึ้น
- จังหวะขึ้น เน้น “ดันสะโพกก่อนพร้อมอก” ไม่ให้หลังนำ
- จบด้วย “Hip Extension” ทุกครั้ง ให้รู้สึกว่าบีบก้นจนตึงสุด
3. กล้ามเนื้อ Hamstrings (ต้นขาด้านหลัง)
เป็นส่วนที่มักถูกมองข้าม แต่คือกุญแจสำคัญให้ท่าดูสมดุล
- ช่วยคุมจังหวะการลงไม่ให้พรวดจนเสียหลัง
- ทำงานคู่กับ Glute เพื่อสร้างแรงส่งแบบสมดุล
- หาก Hamstring ไม่ทำงานพอ ท่าจะพังช่วงลง เพราะไม่สามารถ “เบรกแรงโน้มถ่วง” ได้ดี
เทคนิคเพิ่มทรง:
- ฝึก “Box Squat” เพื่อให้ควบคุมจังหวะลงและดึงหลังขามากขึ้น
- ใช้ Resistance Band คล้องที่หัวเข่า เพื่อบังคับให้กล้ามเนื้อด้านหลังและสะโพกร่วมทำงานมากขึ้น
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยปี 2023 ทดสอบกลุ่มหญิงอายุ 20–45 ปี ที่ฝึก Back Squat อย่างน้อย 8 สัปดาห์
พบว่า:
กลุ่มเป้าหมาย | ระยะเวลาฝึก | ผลลัพธ์เฉลี่ย |
---|---|---|
Quadriceps | 8 สัปดาห์ | ขนาดกล้ามเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18.3% |
Glutes | 8 สัปดาห์ | ความหนาและยกตัวของสะโพกเพิ่มขึ้น 21.7% |
Hamstrings | 8 สัปดาห์ | ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 17.9% |
โดยผู้ฝึกที่ใช้ Tempo Training + Full ROM จะมีอัตราการเติบโตของกล้ามเนื้อ “มากกว่ากลุ่มที่เล่นเร็ว” ถึง 1.8 เท่า
ตารางสรุป: กล้ามเนื้อหลักจากท่า Back Squat
กล้ามเนื้อ | จุดเด่น | เทคนิคสร้างทรงสวย |
---|---|---|
Quadriceps | ขาแน่นจากด้านหน้า | ใช้ High Bar, Tempo ช้า |
Glute Maximus | ก้นกลม-ยกตัว | ใช้ Low Bar, เน้น Hip Extension |
Hamstrings | คุมท่า + ความบาลานซ์ | ฝึก Box Squat, ใช้ Band เพิ่มแรงต้าน |
ท่านี้คือรากฐานการ “ปั้นหุ่น” ที่คนประกวดระดับโลกทุกคนต้องทำ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่ม หรือเล่นมานานแล้ว ถ้ารู้จักฟังร่างกายและเลือกวิธีเล่นให้เหมาะ คุณจะได้กล้ามเนื้อที่สวย แข็งแรง และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันแน่นอนค่ะ
(6) ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึก Back Squat อย่างสม่ำเสมอ
1. กล้ามเนื้อขาและสะโพกฟูขึ้นอย่างมีทรง — เห็นผลใน 6–8 สัปดาห์
หลายคนเริ่มต้น Back Squat โดยคาดหวังแค่ “ขาใหญ่ขึ้น” แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือ
“ความเปลี่ยนแปลงของทรงกล้าม” ที่เกิดจากท่าทางการเคลื่อนไหวในแนวดิ่ง (Vertical Force)
จากประสบการณ์โค้ชที่เทรนมาเองและดูแลนักเรียนหลายสิบคน โค้ชเห็นว่า:
- คนที่ฝึก Back Squat อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง
- ใช้เทคนิค Tempo หรือ Pause Squat ร่วม
- รักษาฟอร์มให้ลึกพอดี (โดยไม่ Butt Wink)
จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ในสัปดาห์ที่ 4–6 โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า และกล้ามเนื้อสะโพกด้านข้าง
โค้ช: ในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้ายก่อนแข่ง Payap Classic 2023 โค้ชหยุดเล่น Leg Press ทั้งหมด แล้วใช้แค่ Back Squat เป็นหลัก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ต้นขาชัดขึ้น แต่ไม่พองเกิน” และทำให้รูปทรงของร่างกายมีมิติพอดีกับสัดส่วนที่เวทีต้องการ
2. ความแข็งแรงเพิ่มขึ้นแบบ Functional ไม่ใช่แค่ในยิม
Back Squat ไม่ได้เพิ่มแค่กล้าม แต่มันฝึก “ระบบประสาทกล้ามเนื้อ” (Neuromuscular Efficiency) ให้ทำงานสอดประสานกันมากขึ้น
ผลลัพธ์ที่ชัดคือ:
- ยืนทรงตัวได้ดีขึ้น
- เดิน-ขึ้นบันไดไม่ปวดเข่า
- วิ่งเร็วขึ้นโดยไม่ต้องฝึกวิ่งเพิ่มมากนัก
งานวิจัยปี 2022 จากกลุ่มผู้หญิง 18–45 ปี จำนวน 80 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม:
กลุ่ม | โปรแกรมฝึก | ระยะเวลา | ผลลัพธ์ |
---|---|---|---|
A | Back Squat 2x/สัปดาห์ | 8 สัปดาห์ | ความแข็งแรงช่วงล่างเพิ่ม 32% |
B | Leg Press 2x/สัปดาห์ | 8 สัปดาห์ | ความแข็งแรงเพิ่ม 18% |
สรุป: Back Squat ให้พลังเคลื่อนไหวที่ดีต่อร่างกายจริง มากกว่าการเล่นเครื่องเพียงอย่างเดียว
3. รูปร่างกระชับ และเผาผลาญดีขึ้นแม้ไม่ได้ Cardio เยอะ
“Squat วันละ 5 เซ็ต ดีกว่าเดินเร็ว 5,000 ก้าว” — โค้ชพูดเสมอกับลูกศิษย์
เพราะ Back Squat เป็น Compound Movement ที่เรียกพลังงานมหาศาลในการยก และใช้กล้ามเนื้อหลายมัดพร้อมกัน ทำให้ร่างกายต้อง “เร่งระบบเผาผลาญ” ระหว่างเซ็ตและหลังเซ็ตแบบ EPOC (Excess Post-Exercise Oxygen Consumption)
สถิติจากการทดลองในปี 2020 ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งฝึก Back Squat 3 วัน/สัปดาห์ เป็นเวลา 30 นาทีต่อครั้ง พบว่า ค่าเผาผลาญหลังการฝึกยังสูงกว่าปกติถึง 18 ชั่วโมงหลังฝึก และไขมันสะสมลดเฉลี่ย 0.6–1.1% ต่อเดือน แม้ไม่เปลี่ยนแปลงอาหารมากนัก
4. Posture และบุคลิกดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว
เพราะท่านี้ฝึกทั้ง “Core + Upper Back + Hip Stability” เวลาทำได้ถูกต้อง ร่างกายจะดึงให้เรายืนตรงขึ้น หัวไหล่เปิด และสะโพกอยู่ในแนวสมดุล
ลูกศิษย์หลายคนของโค้ชที่เคยนั่งโต๊ะทั้งวัน บ่นปวดหลัง — หลังฝึก Back Squat ต่อเนื่อง 2–3 เดือน อาการเหล่านั้นหายไปโดยไม่ต้องพึ่งหมอนวดหรือยากิน
ตารางสรุป: ผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึก Back Squat อย่างต่อเนื่อง
ด้านที่เปลี่ยนแปลง | สิ่งที่เห็นได้จริง | เวลาโดยประมาณ |
---|---|---|
กล้ามเนื้อขา/ก้น | ทรงชัดขึ้น ไม่แบน | 4–6 สัปดาห์ |
พลังการเคลื่อนไหว | ยืน วิ่ง เดินดีขึ้น | 2–3 สัปดาห์ |
การเผาผลาญ | เบิร์นหลังฝึกได้นาน | ทันทีหลังฝึก |
บุคลิกภาพ | ยืนตรง มั่นใจขึ้น | 1–2 เดือน |
พูดง่าย ๆ ว่า Squat ให้ถูก = ได้หุ่น ได้สุขภาพ และได้พลังใจ และทั้งหมดนี้โค้ชไม่ได้พูดแค่จากตำรา แต่จากคนที่ใช้ Squat เป็น “ท่าพื้นฐานในทุกโปรแกรม” ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
(6) 3 เครื่องที่ใช้ฝึก Back Squat ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในยิมที่ครบครัน หรืออยู่บ้านที่มีพื้นที่จำกัด
โค้ชมีทางออกให้หมดค่ะ
1. เครื่อง Smith Machine
หลายคนกลัวว่า Smith Machine จะไม่ช่วยให้กล้ามจริง
แต่โค้ชขอแก้ความเข้าใจให้เลยค่ะ — ถ้าใช้ “ให้ถูก” มันคือ เครื่องมือปั้นฟอร์มพื้นฐาน โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งเริ่ม
วิธีใช้ให้มีประสิทธิภาพ:
- ปรับตำแหน่งเท้าให้ “ค่อนไปด้านหน้าเล็กน้อย” เพื่อรักษาระยะเข่า
- ไม่ย่อตรงแนวดิ่งแบบหุ่นยนต์ แต่โน้มตัวเล็กน้อยตามสรีระ
- เกร็ง Core และรักษาฟอร์มหลังให้ตรง ไม่ปล่อยให้ Smith ดันหลังคุณงอ
เหมาะสำหรับ:
- คนที่ยัง Balance ไม่เก่ง
- คนที่ซ้อมคนเดียวไม่มี Spotter
2. Power Rack + Barbell + แผ่นน้ำหนัก
นี่คือชุดที่โค้ชใช้จริงในการฝึกเข้มก่อนขึ้นเวที
และถือเป็น “อุปกรณ์มาตรฐาน” ที่ให้กล้ามแน่น ลึก และฟอร์มจริงจังที่สุด
เทคนิคจากสนามจริง:
- ใช้ Safety Bar รองไว้ให้ต่ำกว่าระดับลึกสุดประมาณ 5 ซม. เผื่อยกไม่ขึ้นจะทิ้งบาร์ได้
- ปรับความสูงของ Rack ให้คุณ “ยกบาร์ออกได้โดยไม่ต้องเขย่ง”
- เทรนแบบเพิ่ม Progressive Overload ทุกสัปดาห์
3. Squat Stand (หรือ Half Rack)
เหมาะกับคนที่มีพื้นที่จำกัด เช่นฝึกที่บ้าน หรือยิมเล็ก
ข้อดีคือเคลื่อนย้ายง่าย ประหยัดพื้นที่ แต่ยังสามารถฝึกแบบ Full ROM ได้จริง
เคล็ดลับการฝึก:
- ปูพื้นด้วยแผ่นยางหรือ EVA foam เพื่อลดแรงกระแทก
- ถ้าไม่มีแผ่นน้ำหนักมาก ให้ใช้ Tempo หรือ Superset แทนเพื่อเพิ่มแรงกระตุ้นกล้ามเนื้อ
ไม่มีเครื่องเลย? ใช้สิ่งนี้แทนได้
เครื่องมือทดแทน | วิธีประยุกต์ใช้ | จุดเด่น |
---|---|---|
ดัมเบลล์คู่ | Goblet Squat, Front Loaded | คุมท่าได้ง่าย ฝึกคนเดียวได้ |
แกลลอนน้ำ 5 ลิตร | ใช้แทนบาร์หลัง, ฝึกควบคุม | ประหยัดแต่ได้กล้ามจริง |
ยางยืด Resistance Band | เพิ่มแรงต้านช่วงขึ้น | ฝึกสมดุลและแกนกลาง |
(8) ท่านี้เหมาะกับใคร?
คำตอบคือ “เหมาะกับทุกคนที่มีเป้าหมายด้านรูปร่างและสุขภาพ” โดยเฉพาะคนที่อยากได้กล้ามแน่น ทรงชัด โดยไม่ต้องพึ่งท่าจุกจิก
มือใหม่
เหมาะมากถ้าคุณเพิ่งเริ่มฟิตเนส เพราะ:
- Back Squat ช่วยให้คุณเข้าใจ “หลักการฝึกร่างกายแบบรวม” (Compound Movement)
- ฝึกกล้ามหลักและ Core ไปพร้อมกัน
คำแนะนำโค้ช: อย่ากลัวบาร์เปล่า! เริ่มจากน้ำหนักเบา + เทคนิคลมหายใจ คุณจะเซ็ตฐานร่างกายไว้ใช้กับทุกท่าในอนาคต
คนที่อยากลดไขมัน
Back Squat เบิร์นพลังงานสูงมาก ทั้งช่วงฝึก และหลังฝึก โดยเฉพาะเมื่อคุณฝึกแบบ Superset หรือ Circuit
เทคนิคเร่งเบิร์น:
- Back Squat + Step-up + Jump Squat → พัก 60 วินาที = 1 เซ็ต
- ทำ 3–5 เซ็ต สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เห็นความต่างใน 4 สัปดาห์
นักกีฬา/สายเวที
แน่นอนว่าใครที่ประกวด หรือเล่นเวทจริงจัง ท่านี้คือ “ท่าบังคับ” โค้ชปุนิ่มเองก็ฝึก Back Squat เป็นท่าหลักตลอดหลายปีที่เตรียมตัวลงแข่ง เพราะท่านี้คือ “ตัวสร้างมิติความหนา” ที่กรรมการเห็นทันทีเวลาขึ้นเวที
(9) ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด
ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ไว ทั้งรูปร่าง และความแข็งแรง การจัดเซ็ตฝึกที่ดีมีผลเกินกว่าครึ่ง
1. Superset กับท่า Isolation
ใช้ท่า Squat ร่วมกับท่าที่เน้นกล้ามเนื้อเฉพาะจุด เพื่อ:
- ดึงจุดเด่นให้ชัด
- กระตุ้นร่างกายหลายรูปแบบในเซ็ตเดียว
ตัวอย่าง Superset:
- Back Squat + Leg Extension (Quads)
- Back Squat + Hip Thrust (Glutes)
2. ฝึกวันขาแบบ “Heavy + Volume” ควบคู่
สูตรที่โค้ชใช้ตอนเตรียมแข่ง:
เวลา | ท่า | เซ็ต x ครั้ง |
---|---|---|
เริ่มต้น | Back Squat (Heavy) | 4×5 |
ต่อเนื่อง | Bulgarian Split Squat | 3×8 |
ปิดท้าย | Walking Lunges | 3×12/ข้าง |
เป้าหมายคือ “ได้แรง ได้ทรง และได้ Burn” ในวันเดียว
3. เสริม Core + Mobility
เพราะ Back Squat ต้องใช้ความมั่นคงช่วงกลางลำตัวสูง หาก Core ไม่แข็งแรง พลังจะกระจาย ท่าจะพัง โค้ชแนะนำเสริมด้วย:
- Plank
- Deadbug
- 90/90 Hip Mobility
- Hip Opener Drill
สรุปส่งท้าย: ทำไม Back Squat คือท่าที่โค้ชเลือกฝึกตลอด 10 ปี
ถ้ามีเวลาแค่ 1 ท่า โค้ชจะเลือก Back Squat เพราะมันได้มากกว่ากล้ามขา:
- มันฝึกระเบียบวินัย
- มันสอนให้เราใช้ร่างกายอย่างถูกต้อง
- มันสร้าง “หุ่นจริง” ไม่ใช่แค่หุ่นหน้ากระจก
คุณไม่ต้องเป็นนักกีฬา ไม่ต้องเข้ายิมใหญ่ ขอแค่คุณเข้าใจหลักการ และฝึกอย่างสม่ำเสมอ คุณจะได้ผลลัพธ์จริงจากท่านี้ อย่างที่โค้ชเองก็ได้มาแล้ว