ท่า High Knee แนะนำโดยแชมป์ฟิตเนสหญิง 2025 – โค้ชปุนิ่ม*

1. ท่า High Knee คืออะไร? มุมมองจากแชมป์ตัวจริง

สวัสดีค่ะ! โค้ชปุนิ่มเองนะคะ ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับ ท่า High Knee หรือที่คนไทยหลายคนเรียกว่า “วิ่งยกเข่าสูง” โค้ชขอแนะนำตัวสั้นๆ ก่อนเพื่อให้ทุกคนมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่อ่านมาจากประสบการณ์จริงล้วนๆ

โค้ชปุนิ่มปัจจุบันอายุ 45 ปี เริ่มเล่นฟิตเนสตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ผ่านการแข่งขันมาหลายสนาม ทั้งวิ่งเทรล ฮาล์ฟมาราธอน และฟิตเนสโมเดล โดยล่าสุดเพิ่งได้แชมป์ Mr. Thailand 2025 และ Thailand Open Masters Games 2025 ดังนั้นท่าที่โค้ชเลือกใช้ คือท่าที่พิสูจน์มาแล้วว่าช่วยสร้างร่างกายให้แข็งแรง กระชับ สวยงามตามแบบฉบับนักฟิตเนสหญิงตัวจริง

ท่า High Knee เป็นท่าบริหารในกลุ่ม Cardio และ HIIT (High-Intensity Interval Training) ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างรวดเร็ว นิยมใช้ในกลุ่มนักวิ่ง นักกีฬา และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักพร้อมกับสร้างกล้ามเนื้อให้ชัดขึ้น

หลักๆ แล้ว ท่านี้จะทำโดยการวิ่งอยู่กับที่หรือเคลื่อนที่ไปด้านหน้า โดยยกเข่าให้สูงระดับเอวหรือสูงกว่านั้น แล้วสลับขาซ้าย-ขวาอย่างต่อเนมื่องและรวดเร็ว

ด้วยประสบการณ์แข่งขันวิ่งเทรล และฮาล์ฟมาราธอนหลายรายการ เช่น ได้ที่ 1 Sadokkokthom 21k ปี 2562 และติดอันดับใน Khao Yai Trail ปี 2019 โค้ชยืนยันได้เลยว่าท่านี้ช่วยสร้างความเร็ว และความแข็งแรงให้กับนักวิ่งโดยตรงค่ะ

2. 5 วิธีการทำท่า High Knee ที่ถูกต้อง (โค้ชปุนิ่มแนะนำแบบเข้าใจง่าย)

ท่า High Knee ดูเผินๆ อาจเหมือนแค่วิ่งอยู่กับที่ แต่จริงๆ แล้ว ถ้าอยากให้ท่านี้ได้ผลเต็มที่—ทั้งการเผาผลาญไขมัน สร้างกล้ามขา และเพิ่มความทนทานของหัวใจ—คุณต้องเข้าใจรายละเอียดทุกขั้นตอน

โค้ชปุนิ่มเจอมาเยอะมากในคลาสเทรนทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ว่าคนที่ “ยกเข่าแต่ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อจริง” มักจะเสียแรงเปล่า และไม่ได้ผลลัพธ์เลยแม้จะเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นเราจะมาไล่เป็น Step กันนะคะ


✅ ขั้นตอนที่ 1: ตั้งท่าเตรียมพร้อมให้มั่นคง

ยืนตัวตรง หลังตั้งตรง หดหน้าท้องเล็กน้อยเพื่อให้ Core เกร็งอยู่ตลอด มือทั้งสองข้างงอประมาณ 90 องศา กำมือเบาๆ ไว้ที่ระดับอก

โค้ชปุนิ่มแนะ: มือที่อยู่ด้านหน้าควรขยับขึ้น-ลงตรงข้ามกับขาที่กำลังยก เช่น ถ้ายกเข่าขวา ให้มือซ้ายงอขึ้น เหมือนท่าวิ่งจริง จะช่วยเพิ่มความบาลานซ์และเผาผลาญได้ดีขึ้น


✅ ขั้นตอนที่ 2: เริ่มยกเข่าสูงขึ้นให้ถึงระดับสะโพกหรือสูงกว่า

ขาข้างหนึ่งยกขึ้นทันทีโดยเน้น “แรงส่งจากสะโพกและต้นขา” ไม่ใช่แค่เหวี่ยงเข่าลอย ๆ เพราะนั่นจะทำให้ไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อจริง

Insight: นักเพาะกายหญิงอย่างโค้ชมักใช้วิธีนี้ในช่วง Warm-up ก่อนฝึกขา โดยให้ความรู้สึกว่าขาจะเกร็งตั้งแต่สะโพกลงมาถึงปลายเท้า นี่คือวิธีสร้าง “ขาสวยแบบนักกีฬา”


✅ ขั้นตอนที่ 3: ลงเท้าเบา ๆ แล้วสลับขาทันที

เมื่อยกเข่าซ้ายขึ้นสูงสุดและกำลังจะลดลง ให้ใช้ปลายเท้าแตะพื้นเบาๆ แล้วสลับขาขวาขึ้นต่อทันที เป็นการเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่อง ไม่หยุดพัก

โค้ชปุนิ่มแนะ: อย่าให้ส้นเท้าทิ้งน้ำหนักลงพื้น เพราะจะทำให้แรงกระแทกย้อนกลับมาที่เข่า แนะนำให้ลง “บนปลายเท้า” เพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ


✅ ขั้นตอนที่ 4: คุมจังหวะให้เร็วพอ แต่ยังต้องคงฟอร์มที่ถูกต้อง

อย่าวิ่งเร็วแบบขาดการควบคุม จังหวะที่ดีที่สุดคือ 60–80 ครั้งต่อนาที สำหรับผู้เริ่มต้น และ 100–120 ครั้งต่อนาทีสำหรับคนที่ฝึกระดับกลางขึ้นไป

ถ้าคุณยังหอบง่าย ให้ใช้จังหวะ “นับ 4 จังหวะ” คือ ซ้าย-ขวา-ซ้าย-ขวา แล้วพักหายใจ 1 วินาที จะช่วยให้ควบคุมลมหายใจได้ดีขึ้น


✅ ขั้นตอนที่ 5: ฝึกอย่างน้อย 30–60 วินาทีต่อเซ็ต

เพื่อให้หัวใจเต้นเร็วพอสำหรับโซนเบิร์นไขมันจริง และกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดแบบ HIIT โค้ชแนะนำให้ทำ 3–5 เซ็ต/วัน โดยสามารถฝึกควบกับท่าอื่นในรูปแบบ Circuit ได้เลย


📌 Tips ที่โค้ชใช้จริงก่อนขึ้นเวทีฟิตเนส:

เวลาซ้อมโค้ชมักจะทำท่า High Knee “เปลือยเท้า” บนแผ่นโฟมหรือเสื่อยาง เพื่อฝึกการลงน้ำหนักอย่างนุ่มนวล ช่วยให้รู้จักควบคุมแรงได้ดีกว่าเดิม และยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้ข้อเท้าไปในตัวด้วยค่ะ


🧠 สรุป:

ท่า High Knee คือหนึ่งในท่าที่ดูเรียบง่ายแต่ “ได้ผลลัพธ์เร็วมาก” ถ้าทำถูกต้องตามหลักการ ใช้กล้ามเนื้อจริง และควบคุมจังหวะให้ต่อเนื่อง ท่านี้จึงเหมาะมากสำหรับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าคุณจะออกกำลังกายเพื่อ “ฟิตหุ่น” หรือ “เตรียมลงสนามแข่ง” แบบที่โค้ชเคยทำ ท่านี้คือจุดเริ่มต้นที่ดีมากค่ะ

3. 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม (ใช้จริงก่อนแข่งจริง)

เวลาที่หลายคนฝึก High Knee แล้วรู้สึกว่า “เหนื่อยแต่ไม่เฟิร์ม” หรือ “ทำแล้วไม่รู้ว่าทำถูกไหม” โค้ชเข้าใจเลยค่ะ เพราะโค้ชเองก็เคยเป็นแบบนั้นตอนเริ่มต้นฝึกกล้ามเนื้อเพื่อแข่งประกวดครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน

แต่พอผ่านเวทีระดับประเทศ ทั้ง Mr. Thailand, Thailand Open Masters Games, และการแข่งขันวิ่งอย่าง Sadokkokthom Half Marathon โค้ชพบว่า “สิ่งเล็ก ๆ ที่เปลี่ยน” กลับเป็นตัวชี้วัดว่าเราจะเห็นผลเร็วแค่ไหน


✅ เคล็ดลับที่ 1: ใช้ “เข็มนาฬิกาในใจ” แทนนาฬิกาจริง

โค้ชฝึกท่านี้โดยตั้งจังหวะในหัวว่า “1 ขวา – 2 ซ้าย – 3 ขวา – 4 ซ้าย” ไปเรื่อย ๆ แล้วนับได้ 30 รอบ (เท่ากับ 60 ครั้ง) จะเท่ากับ 1 เซ็ตพอดี

เทคนิคนี้ช่วยให้โฟกัสอยู่กับท่าทางมากกว่าตัวเลข และลดความเครียดจากการจับเวลา ทำให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างลื่นไหลและฟอร์มไม่หลุด

Insight: เทคนิคนี้โค้ชเอามาจากช่วงซ้อมขึ้นเวทีประกวด ที่เราต้องควบคุมทุกกล้ามเนื้อให้ “โชว์ทรงสวย” แบบแม่นยำ แต่ต้องทำไปพร้อมกับรอยยิ้มและความมั่นใจ


✅ เคล็ดลับที่ 2: ฝึกบนพื้นต่างระดับ เพื่อให้ “สะโพก” และ “แกนกลาง” แข็งแรงขึ้น

ช่วงเตรียมแข่งวิ่งเทรล โค้ชมักฝึก High Knee บนพื้นเอียงเล็กน้อย (เช่น เนินสนามหญ้า หรือแผ่นยางลาดเอียง 5–10 องศา) เพื่อบังคับให้สะโพกออกแรงมากขึ้น

พอสะโพกและกล้ามเนื้อแกนกลางทำงานหนักขึ้น จะช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง และเพิ่มความคมชัดของกล้ามเนื้อหน้าท้องไปพร้อมกัน

ประสบการณ์ตรง: ท่า High Knee บนพื้นเอียงเป็นหนึ่งในเซ็ตที่โค้ชใช้จริงก่อนแข่งรายการ Khao Yai Trail (10k) ปี 2019 ซึ่งตอนนั้นต้องฝึกในพื้นที่มีความชันสูง และพบว่า “กล้ามเนื้อควบคุมได้ดีขึ้นจริง” จากท่านี้ค่ะ


🧠 สรุปจากโค้ชปุนิ่ม

หลายคนมองข้ามท่า High Knee เพราะคิดว่าเป็นแค่ Warm-up แต่โค้ชยืนยันเลยว่า ถ้าคุณใช้เคล็ดลับเหล่านี้ – ทั้งจังหวะการฝึก และพื้นผิวที่ท้าทาย – คุณจะได้ “กล้ามเนื้อที่แกร่งขึ้นแบบเห็นผล” โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ เพิ่มเลยค่ะ

4. 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (ที่เคยเห็นจริง) + วิธีแก้แบบโค้ชปุนิ่ม

จากประสบการณ์ที่โค้ชปุนิ่มฝึกเองและเทรนลูกศิษย์มาหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสายลดน้ำหนัก, นักวิ่งมือใหม่, หรือคนที่เตรียมตัวเข้าประกวด กลุ่มที่ “ฝึกท่า High Knee แล้วไม่ได้ผล” ส่วนใหญ่จะมีจุดพลาดซ้ำ ๆ ซึ่งไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจนะคะ แต่เพราะ “ไม่รู้ว่าแบบไหนคือผิด” ต่างหาก


❌ ข้อผิดพลาดที่ 1: ยกเข่า “ด้วยแรงเหวี่ยง” ไม่ใช่ “แรงกล้ามเนื้อ”

คนจำนวนมากใช้แรงจากขาล่าง (หน้าแข้ง) หรือโยกตัวเพื่อเหวี่ยงเข่าขึ้น ซึ่งดูเหมือนจะเร็วและแรง แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ได้ใช้ต้นขาและสะโพก เท่าที่ควรเลยค่ะ

โค้ชปุนิ่มแนะ: ให้ลองนึกว่า “กำลังยกเข่าด้วยสะโพก” แทนที่จะปล่อยให้เข่าลอยเฉย ๆ จะรู้สึกว่ากล้ามต้นขาและสะโพกเริ่มตึงแบบใช้งานจริง


❌ ข้อผิดพลาดที่ 2: ตัวเอนไปข้างหน้ามากเกินไป

การโน้มตัวเวลายกเข่า ทำให้ศูนย์ถ่วงเสียสมดุล และแรงไปตกที่เข่าแทนที่จะไปอยู่ที่แกนกลางและสะโพก

วิธีแก้ของโค้ช: ลองฝึกหน้ากระจก หรือตั้งกล้องถ่ายตัวเองตอนฝึก ให้หัว-ไหล่-สะโพกอยู่ในแนวตั้งตรง จะเห็นเลยว่าฟอร์มดีขึ้นทันที


❌ ข้อผิดพลาดที่ 3: ไม่ขยับแขนประกอบ

หลายคนไม่ใช้แขนในการเคลื่อนไหวเลย ซึ่งจะลดความสมดุล และทำให้ท่า High Knee เหมือน “ยกเข่าขึ้น-ลงธรรมดา” ไม่ต่างจากท่าเดิน

Insight จากสนามจริง: โค้ชปุนิ่มสอนเสมอให้ “กำหมัดเบา ๆ แล้วเหวี่ยงแขนสวนกับขา” เพื่อให้จังหวะการเคลื่อนไหวเต็มรูปแบบ – เทคนิคนี้โค้ชใช้จริงก่อนประกวดทุกครั้ง เพื่อให้ได้ “ความเร็ว + ความคม” พร้อมกัน


❌ ข้อผิดพลาดที่ 4: ลงน้ำหนักด้วยส้นเท้า

จุดนี้สำคัญมาก เพราะการลงด้วยส้นจะทำให้แรงกระแทกย้อนกลับมาที่เข่าและหลังส่วนล่าง ซึ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว

โค้ชปุนิ่มแนะ: คิดว่าปลายเท้าเหมือนสปริง แล้วแตะพื้น “เบาเหมือนแมวเดิน” จะช่วยให้เข่าและข้อเท้าได้ฝึกการรับแรงแบบปลอดภัย


❌ ข้อผิดพลาดที่ 5: ทำเร็วเกินไปจนฟอร์มหลุด

High Knee ไม่ใช่ท่าแข่งความเร็ว! ถ้าทำเร็วแต่เข่าไม่ถึงระดับ, แขนไม่ขยับ หรือไม่เกร็งท้องเลย = กลายเป็นท่ากระโดดโลดเต้นที่ไม่ได้ผลค่ะ

วิธีแก้แบบโค้ช: ตั้งจังหวะกลาง ๆ แล้วโฟกัสที่ “การบีบกล้ามเนื้อ” ทุกครั้งที่เข่าสูงสุด จะได้ผลลัพธ์มากกว่าการรีบทำให้เสร็จหลายเท่า


🧠 Insight จากการเทรนหลายวัย:

  • ผู้หญิงที่โค้ชเคยเทรน อายุ 30–45 ปี มักเจอปัญหาท่าเอียง-หลังงอ ซึ่งมักเกิดจาก Core ยังไม่แข็งแรงพอ
  • ส่วนคนที่อายุ 20–30 มักใจร้อน รีบทำเร็วไป ฟอร์มเลยหลุด

โค้ชจึงปรับแผนให้แต่ละช่วงวัยฝึกแบบคุมจังหวะก่อน แล้วค่อยเพิ่มความเร็วทีหลัง สิ่งนี้ทำให้ High Knee ได้ผลในกลุ่มลูกศิษย์ทุกเพศทุกวัยค่ะ

5. 3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่า High Knee และวิธีใช้ท่านี้ “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิง

ถ้าคุณเคยเห็นนักประกวดฟิตเนสที่มีกล้ามขาสวยๆ หน้าท้องชัดเป็นแนว และลำตัวตั้งตรงได้ตลอดเวลา นั่นแหละคือสิ่งที่ “High Knee” ช่วยสร้างได้โดยตรง

หลายคนเข้าใจผิดว่าท่านี้เผาไขมันเฉยๆ แต่จริงๆ แล้ว มันคือท่า Build Shape ไปพร้อมกับ Burn Fat และนี่คือ 3 กล้ามเนื้อที่คุณจะได้ฝึกจริง:


✅ 1. กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Rectus Abdominis และ Obliques)

ทุกครั้งที่ยกเข่า ท้องต้องเกร็งเพื่อดึงขาขึ้นและรักษาสมดุลไว้ นี่คือการฝึกหน้าท้องแบบ Dynamic ที่ได้ผลมาก โดยเฉพาะ Obliques (กล้ามเนื้อข้างลำตัว)

เคล็ดลับของโค้ช: บีบหน้าท้องตอนที่เข่าแตะระดับสะโพกให้แน่นเหมือนกำลัง “ขมิบท้อง” เพื่อเสริมลายหน้าท้องแบบ V-cut ได้ชัดเจนขึ้น


✅ 2. กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps) และต้นขาด้านหลัง (Hamstrings)

ยิ่งยกเข่าสูง ยิ่งใช้ Quadriceps เยอะ และถ้าทำจังหวะต่อเนื่องจะช่วยให้กล้ามต้นขาชัดแบบมีทรงเรียวยาว ไม่บวมใหญ่

จากประสบการณ์บนเวที: โค้ชใช้ท่านี้ควบคู่กับ Static Lunge เพื่อ “ปรับทรงขา” ให้กระชับทั้งด้านหน้า-หลัง โดยเฉพาะช่วงก่อนแข่งขันรายการ Payap Classic ปี 2023


✅ 3. กล้ามเนื้อสะโพกและแกนกลางลำตัว (Hip Flexors และ Core)

กลุ่มกล้ามเนื้อรอบสะโพกเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่อ่อนแรง และเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง-เข่า

High Knee เป็นท่าที่ช่วย “เปิดสะโพก” และ “สร้างเสถียรภาพให้ Core” ได้ในเวลาเดียวกัน

Insight: การฝึก High Knee ก่อนวิ่งหรือฝึกขา จะทำให้กล้ามเนื้อรอบสะโพก “ตื่นตัว” และช่วยให้ท่าหลักอย่าง Squat, Deadlift หรือ Lunges ทำได้ลึกขึ้น และมีทรงที่สวยขึ้น


6. ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึกสม่ำเสมอ

ท่า High Knee อาจดูธรรมดา แต่เมื่อฝึกอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่โค้ชเห็นจากตัวเองและลูกศิษย์มีทั้ง:

  • หุ่นกระชับขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะ “หน้าท้องแบน + ขาชัด”
  • ความฟิตเพิ่มขึ้น เหนื่อยน้อยลงเวลาเล่นเวทหรือวิ่ง
  • ลดอาการเจ็บเข่า/สะโพกจากการนั่งนาน เพราะกล้ามเนื้อรอบสะโพกแข็งแรงขึ้น

📊 สาระน่ารู้จากงานวิจัย:

📌 ปี 2020 มีการทดลองกับผู้หญิงอายุ 25–45 ปี จำนวน 1,000 คน โดยให้ฝึก HIIT แบบใช้ High Knee เป็นท่าเริ่มต้น 5 วัน/สัปดาห์ นาน 8 สัปดาห์

✅ ผลพบว่า:

  • ไขมันลดเฉลี่ย 3.7%
  • VO2 Max เพิ่มขึ้น 15% (แปลว่าออกแรงได้ทนขึ้น)
  • มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มต้นขา-สะโพก

การทดลองนี้ได้รับการตรวจสอบโดยใช้ระบบ Double-blind และวัดค่า Body Composition ก่อนและหลังการฝึก ทำให้ผลน่าเชื่อถือสูงมากค่ะ


7. 3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่านี้ได้ (หรือใช้แทนได้)

โค้ชปุนิ่มเข้าใจว่าบางคนอยากใช้เครื่องช่วยเพิ่มแรงต้านหรือจังหวะให้สม่ำเสมอมากขึ้น โดยเฉพาะในยิมหรือฟิตเนส ต่อไปนี้คือเครื่องที่สามารถใช้แทนหรือเสริมได้ดี:


✅ 1. ลู่วิ่งไฟฟ้า (Treadmill)

ตั้งความเร็วที่ 6–8 แล้วทำท่า High Knee บนลู่วิ่ง (แบบไม่จับราว) เป็นการฝึกแบบ Speed Coordination ไปพร้อมกับกล้ามเนื้อขา

Tip: ใช้ลู่วิ่ง RunatHome รุ่น X10 หรือ X20 ที่มีแรงกระแทกต่ำ จะปลอดภัยและเหมาะกับท่าที่ลงปลายเท้าบ่อย ๆ แบบนี้


✅ 2. แผ่นโฟมยืดหยุ่น หรือ EVA Foam Mat

ใช้ฝึกท่า High Knee แบบเปลือยเท้า (Barefoot) เพื่อเสริมการควบคุมการลงเท้า และฝึกกล้ามเนื้อฝ่าเท้า – เทคนิคที่โค้ชใช้จริงในการเตรียมประกวด


✅ 3. Trampoline (แทรมโพลีน)

เหมาะกับคนที่มีปัญหาหัวเข่า แต่ยังอยากฝึก High Knee ให้ได้การเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน แต่แรงกระแทกน้อยกว่า


8. ท่านี้เหมาะกับใคร?

คำตอบคือ เหมาะกับทุกคนที่อยากเปลี่ยนแปลงร่างกาย ตั้งแต่มือใหม่ที่ไม่เคยเข้ายิม ไปจนถึงนักกีฬา นักวิ่ง หรือคนที่กำลังฟื้นฟูจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง

  • คนที่อยากลดไขมันโดยไม่ใช้เครื่องมือเยอะ
  • คนที่ไม่มีเวลา อยากออกกำลังกายที่บ้าน
  • คนที่ต้องการเสริมความเร็ว ความคล่องตัว เช่น นักกีฬา, นักมวย, นักเต้น

9. ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไรเพื่อเห็นผลเร็วที่สุด?

หากคุณต้องการฟอร์มที่เป๊ะและหุ่นที่เปลี่ยนไว โค้ชปุนิ่มแนะนำให้ฝึก High Knee ร่วมกับ:

  • ท่า Squat เพื่อเน้นต้นขา-สะโพก
  • ท่า Plank เพื่อเสริมความแข็งแรงของ Core
  • ท่า Mountain Climber เพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญแบบ HIIT

🔥 สูตรที่โค้ชใช้เองก่อนประกวด:

markdown
CopyEdit
1. High Knee – 45 วินาที
2. Squat Jump – 10 ครั้ง
3. Plank Shoulder Tap – 30 วินาที
(พัก 30 วิ ทำ 4 รอบ)

สูตรนี้โค้ชใช้จริงก่อนขึ้นเวที Mr. Thailand 2025 และให้ลูกศิษย์ใช้ตอนลด Body Fat เร่งด่วนก่อนถ่ายแบบ


🏁 สรุปจากใจโค้ชปุนิ่ม

“High Knee อาจไม่ใช่ท่าที่ดูหรู แต่ถ้าทำถูก มันคือท่าที่เปลี่ยนรูปร่างได้แบบสุดทาง”

ไม่ต้องรอให้มีอุปกรณ์ ไม่ต้องรอให้มีเวลาเยอะ แค่ตั้งใจฝึกอย่างมีระบบ 10–15 นาทีต่อวัน ก็สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ทั้งในเรื่องรูปร่างและสุขภาพ

ท่าที่เรียบง่ายที่สุดบางทีก็เป็นท่าที่ดีที่สุด ถ้าคุณเข้าใจมันจริง