วิดพื้นอย่างไรให้ถูกต้อง บทความนี้มีคำตอบ
ยกมือขึ้นถามหน่อย มีใครเคยดูหนังแล้วเห็นฉากนายทหารสั่งให้ทหารใหม่วิดพื้นบ้าง? นั่นแหละครับ วิดพื้น หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Push up เป็นท่าออกกำลังกายที่อยู่คู่กับมนุษย์มานาน ไม่ต้องมีอุปกรณ์ราคาแพง ไม่ต้องสมัครฟิตเนส แค่มีพื้นที่พอนอนราบก็เริ่มได้แล้ว
ที่น่าสนใจคือ ท่าง่ายๆ แบบนี้ กลับให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมาก การวิจัยพบว่า หากคุณวิดพื้นอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อจะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน 8 สัปดาห์ (Thompson, 2023) ลองนึกภาพว่าคุณแค่ใช้เวลาวันละ 10-15 นาที แต่ได้ร่างกายที่แข็งแรงขึ้นแบบครบสูตร คุ้มไหมล่ะครับ?
วิดพื้นได้ส่วนไหน? เจาะลึกกล้ามเนื้อที่ทำงานขณะวิดพื้น
ถ้าจะพูดว่าการดันพื้นหรือวิดพื้นเป็นเหมือนยาครอบจักรวาลของการออกกำลังกาย ก็คงไม่เกินจริงไป เพราะมันเป็นการออกกำลังแบบ body weight ที่ใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้าน เหมือนคุณยกตัวเองขึ้นลงนับร้อยครั้ง กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนต้องทำงานประสานกัน
มาดูกันว่าขณะที่คุณวิดพื้น ร่างกายทำงานอย่างไรบ้าง
กล้ามเนื้อส่วนบน ส่วนที่ทำงานหนักที่สุดคือ
- กล้ามเนื้อหน้าอก (Pectoralis) จะรู้สึกได้ชัดตอนที่ดันตัวขึ้น เหมือนคุณกำลังผลักประตูบานใหญ่
- กล้ามเนื้อหัวไหล่ (Deltoids) จะคอยประคองและควบคุมการเคลื่อนไหว ส่วนกล้ามเนื้อแขนท่อนบน
- กล้ามหน้าแขน (Biceps) กล้ามหลังแขน (Triceps) จะผลัดกันทำงานเหมือนเครื่องยนต์สองจังหวะ ตอนดันขึ้นไตรเซ็ปส์ทำงาน ตอนลงไบเซ็ปส์รับช่วงต่อ
แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือ กล้ามเนื้อแกนกลางของคุณก็ไม่ได้อยู่เฉย ตั้งแต่กล้ามหน้าท้อง (Abdominals) ยันหลังส่วนล่าง (Lower Back) ต้องเกร็งตัวตลอดเวลาเพื่อรักษาสมดุล ไม่ให้ตัวทรุด เรียกว่าได้ซิกแพคไปในตัว โดยที่ไม่ต้องซิทอัพเพิ่มเลย
วิดพื้นช่วยอะไร? ประโยชน์ที่จะทำให้คุณอยากลุกมาวิดพื้นตอนนี้
คุณรู้ไหมว่าทุกครั้งที่คุณวิดพื้น ร่างกายเผาผลาญพลังงานประมาณ 50-75% ของน้ำหนักตัว นั่นหมายความว่า ถ้าคุณหนัก 60 กิโล การวิดพื้นแต่ละครั้งจะเผาผลาญพลังงานถึง 30-45 กิโลแคลอรี่ ยิ่งถ้าทำต่อเนื่องและเพิ่มจำนวนครั้ง รับรองว่าไขมันส่วนเกินต้องกลัวแน่ๆ
แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะการวิดพื้นยังช่วยเรื่องกระดูกและข้อต่อด้วย ลองคิดดูว่าทุกครั้งที่คุณดันตัวขึ้นลง มันเหมือนการกระตุ้นให้กระดูกและข้อต่อได้ออกกำลัง แต่ไม่หนักจนเกินไป พอทำบ่อยๆ กระดูกก็จะแข็งแรงขึ้น ข้อต่อก็ยืดหยุ่นขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนในอนาคตได้ด้วย
ท่าวิดพื้นที่ถูกต้อง สำคัญกว่าที่คิด
หลายคนอาจคิดว่าวิดพื้นเป็นแค่การนอนคว่ำแล้วดันตัวขึ้นลง แต่จริงๆ แล้วมีเทคนิคมากกว่านั้นเยอะ ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ดีๆ ต้องทำให้ถูกวิธี มาดูกันว่าวิธีวิดพื้นที่ถูกต้องเป็นยังไง
วิธีวิดพื้น สำหรับมือใหม่ เริ่มต้นอย่างไรไม่ให้ท้อ
สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วย wall push up หรือวิดพื้นกับกำแพงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะแรงโน้มถ่วงจะน้อยกว่า ทำให้เราสามารถฝึกท่าทางที่ถูกต้องได้ก่อน เริ่มจาก
- ยืนห่างกำแพงประมาณหนึ่งช่วงแขน
- วางมือบนกำแพงให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย
- เกร็งหน้าท้อง รักษาลำตัวให้ตรงเหมือนไม้บรรทัด
- ค่อยๆ โน้มตัวเข้าหากำแพง แล้วดันกลับ
พอทำได้คล่องแล้ว ค่อยเปลี่ยนมาเป็นวิดพื้นบนพื้นแบบเข่าแตะพื้น ซึ่งจะเป็นขั้นกลางก่อนไปถึงท่าวิดพื้นแบบเต็มรูปแบบ
การเตรียมท่าทางก่อนการวิดพื้น จุดเริ่มต้นที่ทุกคนมองข้าม
ก่อนจะเริ่มวิดพื้น คุณต้องวางตำแหน่งร่างกายให้ถูกต้อง เหมือนการวางฐานบ้าน ถ้าฐานไม่แน่น บ้านก็พังง่าย เริ่มจากการวางมือให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย นิ้วชี้ไปด้างหน้า บางคนชอบแบะข้อศอกออก แต่นั่นเป็นการทำร้ายข้อไหล่โดยไม่รู้ตัว
ส่วนขาให้ยืดตรง เท้าชิดหรือห่างเล็กน้อย แล้วแต่ความถนัด แต่จุดสำคัญอยู่ที่การรักษาแนวลำตัวให้ตรงตั้งแต่ศีรษะยันส้นเท้า เหมือนมีไม้บรรทัดวางบนหลัง ไม่แอ่นเอว ไม่ห้อยสะโพก
เทคนิคการวิดพื้นที่ถูกต้อง เคล็ดลับที่โค้ชไม่ค่อยบอก
ระหว่างวิดพื้น การหายใจสำคัญมาก หายใจเข้าตอนลดตัวลง หายใจออกตอนดันขึ้น แต่ที่คนมักทำผิดคือกลั้นหายใจ ทำให้เหนื่อยเร็ว และอาจเป็นลมได้
ความลึกในการลดตัวก็สำคัญ ลดตัวลงจนหน้าอกห่างจากพื้นประมาณ 1 กำปั้น อย่าแตะพื้น เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อได้พัก แรงเกร็งหายไป และอย่าลดตัวตื้นเกินไป เพราะกล้ามเนื้อจะทำงานไม่เต็มที่
ขั้นตอนการวิดพื้นที่ถูกต้อง
การวางตำแหน่งมือและแขน
เริ่มจากการวางมือทั้งสองข้างให้ห่างจากไหล่ประมาณ 1-1.5 เท่าของความกว้างไหล่ ปลายนิ้วทั้งห้าชี้ไปด้านหน้า กางนิ้วออกเล็กน้อยเพื่อการทรงตัวที่ดี สิ่งสำคัญคือการวางน้ำหนักลงที่ฐานฝ่ามือให้สม่ำเสมอ อย่าให้น้ำหนักไปกดที่นิ้วมือมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่นิ้วมือและข้อมือได้
การจัดท่าทางเริ่มต้น
หลังจากวางมือถูกตำแหน่งแล้ว ยืดแขนให้ตรง ล็อคข้อศอกเบาๆ แต่ไม่แข็งจนเกินไป จัดแนวลำตัวให้เป็นเส้นตรงตั้งแต่ศีรษะจนถึงส้นเท้า เสมือนมีไม้บรรทัดวางอยู่บนหลัง เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกเล็กน้อยเพื่อรักษาแนวลำตัว วางเท้าห่างกันประมาณความกว้างของสะโพก ยกส้นเท้าขึ้น ใช้ปลายเท้าเป็นจุดรับน้ำหนัก
การลดตัวลง
การลดตัวลงเป็นขั้นตอนที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เริ่มด้วยการหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับค่อยๆ งอข้อศอก ให้ข้อศอกชี้ไปด้านหลังทำมุมประมาณ 45 องศากับลำตัว หลีกเลี่ยงการแบะข้อศอกออกด้านข้าง เพราะจะทำให้เกิดแรงกดที่ข้อไหล่มากเกินไป ลดตัวลงอย่างช้าๆ และควบคุมได้ จนหน้าอกอยู่ห่างจากพื้นประมาณ 10-15 เซนติเมตร หรือประมาณความสูงของกำปั้น
การดันตัวขึ้น
ขณะดันตัวขึ้น หายใจออกยาวๆ พร้อมกับออกแรงดันจากฐานฝ่ามือ จุดสำคัญคือต้องรักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดเวลา ไม่แอ่นหลังหรือยกสะโพก ดันขึ้นจนแขนเกือบเหยียดตรง แต่ไม่ล็อคข้อศอกจนสุด เพื่อให้กล้ามเนื้อยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง
เคล็ดลับสำคัญในการวิดพื้น
การหายใจถือเป็นหัวใจสำคัญของการวิดพื้น หายใจเข้าลึกๆ ขณะลดตัวลง และหายใจออกยาวๆ ขณะดันตัวขึ้น การหายใจที่ถูกจังหวะจะช่วยให้มีแรงมากขึ้นและเหนื่อยช้าลง
ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนไหวให้เหมาะสม โดยใช้เวลาประมาณ 2 วินาทีในการลดตัวลง และ 1 วินาทีในการดันตัวขึ้น จังหวะการเคลื่อนไหวแบบนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
รักษาการเกร็งหน้าท้องตลอดการเคลื่อนไหว เปรียบเสมือนการสวมเข็มขัดที่แน่นหนา การเกร็งหน้าท้องจะช่วยรักษาแนวลำตัวและป้องกันการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่าง
ข้อควรระวังในการวิดพื้น
การวิดพื้นที่ไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะที่ข้อไหล่ ข้อมือ และหลังส่วนล่าง หลีกเลี่ยงการแบะข้อศอกออกด้านข้าง การปล่อยให้สะโพกตก และการกระแทกหน้าอกลงกับพื้น
สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเริ่มจากท่าที่ง่ายก่อน เช่น การวิดพื้นกับกำแพง หรือการวิดพื้นแบบเข่าแตะพื้น เพื่อสร้างความแข็งแรงและความคุ้นเคยกับท่าทางที่ถูกต้อง
ต้องรู้จักฟังสัญญาณจากร่างกาย หากรู้สึกปวดหรือไม่สบายตรงจุดใด ให้หยุดพักทันที และตรวจสอบท่าทางการเคลื่อนไหวให้ถูกต้อง
ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดสำคัญในการวิดพื้นอย่างถูกวิธี การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการวิดพื้น และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

ประเภทของการวิดพื้น วิดพื้นมีกี่ประเภท
วิดพื้นไม่ได้มีแค่ท่าเดียว แต่มีหลากหลายรูปแบบที่เหมาะกับความแข็งแรงแต่ละระดับ บางคนอาจเริ่มจาก wall push up ก่อน ในขณะที่บางคนอาจท้าทายตัวเองด้วย wide push up มาดูกันว่ามีท่าอะไรบ้าง
1.Wall Push Up – สำหรับมือใหม่
เหมือนการวิดพื้นแนวตั้ง ใช้กำแพงเป็นจุดรับน้ำหนัก เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือผู้สูงอายุ แรงต้านจะน้อยกว่าท่าปกติ ทำให้ฝึกท่าทางได้ถูกต้องก่อน
วิธีการเล่น
- ยืนห่างจากกำแพงประมาณหนึ่งช่วงแขน หรือ 60-90 เซนติเมตร เท้าวางห่างกันเท่าความกว้างสะโพก ปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า
- วางมือบนกำแพงให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย นิ้วชี้ขึ้นด้านบน กางนิ้วพอประมาณ จัดลำตัวให้เป็นเส้นตรงตั้งแต่ศีรษะถึงส้นเท้า
- หายใจเข้าพร้อมงอข้อศอกช้าๆ นำหน้าอกเข้าหากำแพง ให้ข้อศอกชี้ลงและเฉียงออกด้านข้างประมาณ 45 องศา ลดตัวลงจนหน้าอกห่างจากกำแพงประมาณ 10-15 เซนติเมตร
- หายใจออกพร้อมดันตัวกลับสู่ท่าเริ่มต้น โดยออกแรงดันจากฝ่ามือ รักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับในการเล่น
- ควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว ใช้เวลา 2 วินาทีตอนลดตัวลง และ 1 วินาทีตอนดันขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานเต็มที่
- เกร็งหน้าท้องและสะโพกเล็กน้อยตลอดการเคลื่อนไหว เสมือนมีเข็มขัดรัดเอวไว้ จะช่วยรักษาแนวลำตัวได้ดีขึ้น
- หากรู้สึกว่าง่ายเกินไป ให้ถอยห่างจากกำแพงมากขึ้น แต่ถ้ายากเกินไป ให้ย่างเข้าใกล้กำแพง
- เริ่มต้นด้วย 5-8 ครั้งต่อเซต ทำ 2-3 เซต พักระหว่างเซต 1-2 นาที ทำ 3 วันต่อสัปดาห์ ค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งเมื่อแข็งแรงขึ้น
ข้อควรระวัง
- ห้ามปล่อยให้ศีรษะห้อยหรือแหงนขึ้น ต้องรักษาแนวคอให้เป็นธรรมชาติ มองตรงไปด้านหน้าหรือเฉียงลงเล็กน้อย
- ระวังไม่ให้หลังแอ่นหรือสะโพกยื่น ต้องรักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดเวลา เหมือนมีไม้บรรทัดวางบนหลัง
- หยุดทันทีหากรู้สึกปวดข้อไหล่ ข้อศอก หรือข้อมือ อาจต้องปรับท่าทางหรือระยะห่างจากกำแพงใหม่
2.Knee Push Up – ก้าวต่อไปของมือใหม่
วางเข่าแทนที่จะยกขาทั้งหมด ช่วยลดน้ำหนักที่ต้องยก เหมาะสำหรับการสร้างความแข็งแรงก่อนไปท่ามาตรฐาน สาว ๆ หลายคนเริ่มต้นจากท่านี้
วิธีการเล่น
- เริ่มจากท่าคุกเข่า วางมือทั้งสองข้างบนพื้นให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย นิ้วชี้ไปด้านหน้า ข้อศอกตรง ไม่ล็อค หัวเข่าวางบนพื้นห่างจากมือพอประมาณ และไขว้เท้าไว้ด้านหลัง
- จัดตำแหน่งร่างกายให้เป็นเส้นตรงจากศีรษะถึงเข่า เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกเล็กน้อย สะโพกอยู่ในแนวเดียวกับหัวไหล่ ไม่ยกสูงหรือตกต่ำเกินไป
- หายใจเข้าพร้อมกับค่อยๆ งอข้อศอก ลดลำตัวลงช้าๆ ให้ข้อศอกชี้ไปด้านหลัง ทำมุมประมาณ 45 องศากับลำตัว ลดตัวลงจนหน้าอกห่างจากพื้นประมาณ 10-15 เซนติเมตร
- หายใจออกพร้อมกับดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น โดยออกแรงดันจากฝ่ามือ รักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับในการเล่น
- จัดตำแหน่งมือให้อยู่ใต้หัวไหล่พอดี น้ำหนักตัวควรกระจายลงที่ฝ่ามือทั้งสองข้างเท่าๆ กัน ไม่เอียงซ้ายหรือขวา
- ควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว ใช้เวลา 2 วินาทีในการลดตัวลง และ 1 วินาทีในการดันขึ้น การควบคุมจังหวะจะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ฝึกการหายใจให้เป็นจังหวะ หายใจเข้าขณะลดตัวลง หายใจออกขณะดันตัวขึ้น อย่ากลั้นหายใจเด็ดขาด
- เริ่มต้นด้วย 8-10 ครั้งต่อเซต ทำ 2-3 เซต พักระหว่างเซต 1-2 นาที เมื่อแข็งแรงขึ้นค่อยเพิ่มจำนวนครั้งเป็น 12-15 ครั้งต่อเซต
ข้อควรระวัง
- ระวังไม่ให้หลังแอ่นหรือสะโพกตก ต้องรักษาแนวลำตัวให้เป็นเส้นตรงตลอดการเคลื่อนไหว เหมือนมีไม้บรรทัดวางบนหลัง
- ไม่แบะข้อศอกออกด้านข้างมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดแรงกดที่ข้อไหล่มากเกินไป อาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้
- หากรู้สึกปวดข้อเข่า ให้ใช้เบาะหรือผ้ารองเข่า และตรวจสอบว่าตำแหน่งเข่าอยู่ในแนวที่ถูกต้อง ไม่บิดเบี้ยว
3.Standard Push Up – ท่ามาตรฐาน
ท่าวิดพื้นพื้นฐานที่ทุกคนรู้จัก วางมือกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ขาเหยียดตรง รักษาแนวลำตัวให้ตรง เป็นท่าที่สร้างความแข็งแรงได้ครบทุกส่วน
วิธีการเล่น
- เริ่มในท่าวางมือบนพื้นให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย นิ้วทั้งห้าชี้ไปด้านหน้า ยกลำตัวขึ้นโดยใช้ปลายเท้าเป็นจุดรับน้ำหนัก เท้าชิดหรือห่างกันเล็กน้อยตามความถนัด ยืดแขนตรงแต่ไม่ล็อคข้อศอก
- จัดตำแหน่งร่างกายให้เป็นเส้นตรงตั้งแต่ศีรษะถึงส้นเท้า เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกให้แน่น เหมือนมีไม้บรรทัดวางอยู่บนหลัง มองพื้นในจุดที่อยู่เหนือมือเล็กน้อย
- หายใจเข้าพร้อมกับค่อยๆ งอข้อศอก ลดลำตัวลงช้าๆ ข้อศอกชี้ไปด้านหลังทำมุม 45 องศากับลำตัว ลดตัวลงจนหน้าอกห่างจากพื้นประมาณ 10-15 เซนติเมตร หรือประมาณความสูงของกำปั้น
- หายใจออกพร้อมกับออกแรงดันจากฝ่ามือ ดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น รักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว ไม่แอ่นหลังหรือยกสะโพก
เคล็ดลับในการเล่น
- กระจายน้ำหนักที่ฝ่ามือให้สม่ำเสมอ โดยให้น้ำหนักลงที่ฐานนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และด้านนอกของฝ่ามือเท่าๆ กัน เพื่อการทรงตัวที่ดีและลดแรงกดที่ข้อมือ
- รักษาการเกร็งหน้าท้องและสะโพกตลอดการเคลื่อนไหว เสมือนกำลังดึงสะดือเข้าหากระดูกสันหลัง การเกร็งแกนกลางลำตัวจะช่วยให้การเคลื่อนไหวมั่นคงและปลอดภัย
- ควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหว ใช้เวลา 2 วินาทีในการลดตัวลง และ 1 วินาทีในการดันขึ้น หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่เร็วและกระแทก
- เริ่มต้นด้วย 10-12 ครั้งต่อเซต ทำ 3 เซต พักระหว่างเซต 60-90 วินาที เมื่อแข็งแรงขึ้นค่อยเพิ่มจำนวนครั้งและลดเวลาพัก
ข้อควรระวัง
- ห้ามปล่อยให้ลำตัวแอ่นหรือสะโพกตก ต้องรักษาแนวลำตัวให้เป็นเส้นตรงตลอดเวลา การแอ่นหลังหรือสะโพกตกจะทำให้หลังส่วนล่างบาดเจ็บได้
- ระวังไม่ให้ข้อศอกแบะออกด้านข้างมากเกินไป การแบะข้อศอกจะทำให้เกิดแรงกดที่ข้อไหล่มากเกินไป และลดประสิทธิภาพของการฝึก
- อย่ากระแทกหน้าอกลงกับพื้น ควบคุมการเคลื่อนไหวให้นุ่มนวลและมั่นคง การกระแทกอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หน้าอกและไหล่ได้
4.Wide Push Up – เน้นอก
วางมือกว้างกว่าท่าปกติ จะเน้นกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนนอก ท่านี้จะยากกว่าท่ามาตรฐานเล็กน้อย เพราะต้องใช้แรงมากขึ้น
วิธีการเล่น
- วางมือบนพื้นให้กว้างกว่าไหล่มากขึ้น ห่างจากไหล่ประมาณ 1.5-2 เท่าของความกว้างไหล่ นิ้วทั้งห้าชี้ไปด้านหน้าหรือเฉียงออกด้านข้างเล็กน้อย ยกลำตัวโดยใช้ปลายเท้าเป็นจุดรับน้ำหนัก
- จัดร่างกายให้เป็นเส้นตรงจากศีรษะถึงส้นเท้า เกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แน่น ล็อคสะโพกและหัวไหล่ให้อยู่ในระนาบเดียวกัน ไม่บิดหรือเอียง
- หายใจเข้าพร้อมลดตัวลงช้าๆ โดยงอข้อศอกออกด้านข้าง ในท่านี้ข้อศอกจะกางออกมากกว่าท่าปกติ ทำมุมประมาณ 60-70 องศากับลำตัว ลดตัวลงจนหน้าอกเกือบแตะพื้น
- หายใจออกพร้อมดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น เน้นการใช้กล้ามเนื้อหน้าอกส่วนนอกในการดันตัว รักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับในการเล่น
- เน้นการรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนนอก ขณะดันตัวขึ้นให้บีบกล้ามเนื้อหน้าอกเข้าหากัน จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้เต็มที่
- ควบคุมการเคลื่อนไหวให้ช้าและมั่นคง โดยใช้เวลา 3 วินาทีในการลดตัวลง และ 1-2 วินาทีในการดันขึ้น การเคลื่อนไหวช้าจะช่วยเพิ่มความเครียดให้กล้ามเนื้อ
- เริ่มต้นด้วย 8-10 ครั้งต่อเซต ทำ 2-3 เซต พักระหว่างเซต 90 วินาที เนื่องจากท่านี้ใช้แรงมากกว่าท่าปกติ จึงควรพักให้เพียงพอ
- หากรู้สึกว่ายากเกินไป สามารถทำในท่าเข่าแตะพื้นก่อนได้ แต่ยังคงต้องวางมือกว้างเหมือนเดิม
ข้อควรระวัง
- ระวังการกดทับข้อไหล่มากเกินไป เพราะการวางมือกว้างจะเพิ่มแรงกดที่ข้อไหล่ หากรู้สึกไม่สบายให้ลดระยะห่างของมือลง
- ไม่ปล่อยให้ข้อศอกล็อคตอนดันขึ้นสุด เพราะจะทำให้แรงไปกระจุกที่ข้อต่อแทนที่จะอยู่ที่กล้ามเนื้อ
- หลีกเลี่ยงการบิดหรือเอียงลำตัว ต้องรักษาสะโพกและไหล่ให้อยู่ในระนาบเดียวกันตลอดการเคลื่อนไหว
5.Diamond Push Up – เน้นไตรเซ็ปส์
วางมือชิดกันให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชนกันเป็นรูปเพชร ท่านี้จะเน้นกล้ามเนื้อแขนด้านหลังเป็นพิเศษ ค่อนข้างยาก เหมาะกับคนที่แข็งแรงแล้ว
วิธีการเล่น
- เริ่มจากการวางมือบนพื้น โดยให้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างชนกันเป็นรูปเพชรหรือสามเหลี่ยม วางตำแหน่งมือไว้กลางลำตัว ใต้หน้าอกเล็กน้อย ยกตัวขึ้นโดยใช้ปลายเท้าเป็นจุดรับน้ำหนัก
- จัดแนวร่างกายให้เป็นเส้นตรงจากศีรษะถึงส้นเท้า เกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แน่น ข้อศอกชิดลำตัว ไม่กางออก ห้ามยกสะโพกหรือแอ่นหลัง
- หายใจเข้าพร้อมลดตัวลงช้าๆ โดยงอข้อศอกให้ชิดลำตัวมากที่สุด ข้อศอกชี้ตรงไปด้านหลัง ลดตัวลงจนหน้าอกใกล้จะแตะมือที่วางเป็นรูปเพชร
- หายใจออกพร้อมดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น เน้นการใช้กล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์ (กล้ามเนื้อแขนด้านหลัง) ในการดันตัว รักษาข้อศอกให้ชิดลำตัวตลอดการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับในการเล่น
- เน้นการรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์ โดยพยายามรักษาข้อศอกให้ชิดลำตัวตลอดการเคลื่อนไหว ยิ่งข้อศอกชิดลำตัวมากเท่าไร ไตรเซ็ปส์ยิ่งทำงานมากขึ้นเท่านั้น
- ควบคุมการเคลื่อนไหวให้ช้าและมั่นคง ใช้เวลา 2-3 วินาทีในการลดตัวลง และ 1-2 วินาทีในการดันขึ้น การเคลื่อนไหวที่ช้าและควบคุมได้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก
- เริ่มต้นด้วยจำนวนครั้งที่น้อย ประมาณ 5-8 ครั้งต่อเซต ทำ 2-3 เซต พักระหว่างเซต 90-120 วินาที เพราะท่านี้ค่อนข้างยากและใช้แรงมาก
- หากยังทำท่ามาตรฐานไม่ได้ ให้เริ่มจากท่าเข่าแตะพื้นก่อน แต่ยังคงวางมือเป็นรูปเพชรเหมือนเดิม
ข้อควรระวัง
- ระวังการกดทับข้อมือมากเกินไป เนื่องจากการวางมือในท่านี้จะสร้างแรงกดที่ข้อมือมากกว่าปกติ หากรู้สึกไม่สบายให้พักหรือปรับท่า
- ห้ามปล่อยให้ข้อศอกกางออก ต้องรักษาข้อศอกให้ชิดลำตัวตลอดเวลา การกางข้อศอกจะลดประสิทธิภาพการฝึกและอาจทำให้บาดเจ็บได้
- ไม่เร่งทำเร็วเกินไป เพราะท่านี้ต้องการความแม่นยำและการควบคุมที่ดี การเร่งทำอาจทำให้เสียท่าและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
6.Decline Push Up – เพิ่มความท้าทาย
ยกเท้าให้สูงกว่าลำตัว เช่น วางเท้าบนเก้าอี้ จะเพิ่มน้ำหนักที่ต้องยกมากขึ้น เน้นช่วงไหล่และหน้าอกส่วนบน เหมาะกับคนที่ต้องการความท้าทายเพิ่มขึ้น
วิธีการเล่น
- เตรียมม้านั่งหรือเก้าอี้ที่มั่นคงสูงประมาณ 30-45 เซนติเมตร วางมือบนพื้นให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย นิ้วชี้ไปด้านหน้า วางเท้าทั้งสองข้างบนม้านั่ง ให้ปลายเท้าเป็นจุดรับน้ำหนัก
- ยกสะโพกขึ้นให้ร่างกายเป็นเส้นตรงจากศีรษะถึงส้นเท้า แต่ในท่านี้ลำตัวจะเอียงลงมาทางด้านหน้ามากกว่าท่าปกติ เกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้แน่น ไม่แอ่นหลังหรือยกสะโพก
- หายใจเข้าพร้อมลดตัวลงช้าๆ งอข้อศอกให้ชี้ไปด้านหลัง ทำมุม 45 องศากับลำตัว ลดตัวลงจนหน้าอกเกือบแตะพื้น ในท่านี้จะรู้สึกถึงแรงกดที่ไหล่และหน้าอกส่วนบนมากกว่าปกติ
- หายใจออกพร้อมดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น ใช้กล้ามเนื้อหน้าอกส่วนบนและไหล่ในการดันตัว รักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว
เคล็ดลับในการเล่น
- เลือกความสูงของจุดวางเท้าให้เหมาะสมกับระดับความแข็งแรง เริ่มจากความสูงน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความสูงเมื่อแข็งแรงขึ้น
- เน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวให้ช้าและมั่นคง โดยใช้เวลา 3 วินาทีในการลดตัวลง และ 2 วินาทีในการดันขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงานอย่างเต็มที่
- เริ่มต้นด้วย 6-8 ครั้งต่อเซต ทำ 2-3 เซต พักระหว่างเซต 90-120 วินาที เพราะท่านี้ต้องใช้แรงมากกว่าท่าปกติ จึงต้องการเวลาพักที่เพียงพอ
- ตรวจสอบความมั่นคงของอุปกรณ์ที่ใช้วางเท้าทุกครั้งก่อนเริ่มฝึก เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
ข้อควรระวัง
- ระวังอย่าให้ศีรษะห้อยต่ำเกินไป ต้องรักษาแนวคอให้เป็นธรรมชาติ อยู่ในแนวเดียวกับลำตัว เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่คอ
- ห้ามปล่อยให้สะโพกตกหรือยกสูงเกินไป ต้องรักษาแนวลำตัวให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว การเสียท่าอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างได้
- หากรู้สึกเมื่อยล้าหรือทำท่าไม่ถูกต้อง ให้หยุดและกลับไปฝึกท่าพื้นฐานก่อน เพราะการฝืนทำต่อในขณะที่เหนื่อยอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้
ควรวิดพื้นวันละกี่ครั้ง? ความถี่ที่เหมาะกับแต่ละคน
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละคน แต่โดยเฉลี่ยผู้ชายอายุ 17-30 ปี ควรวิดพื้นได้อย่างน้อย 25 ครั้งต่อเซต ส่วนผู้หญิงวัยเดียวกันควรทำได้ 20 ครั้ง
ตารางการวิดพื้น
ระดับ | ผู้ชาย (ครั้ง/เซต) | ผู้หญิง (ครั้ง/เซต) | จำนวนวัน/สัปดาห์ | เซต/วัน | ระยะพัก |
เริ่มต้น | 10-15 | 5-10 | 3 | 2-3 | พัก 1-2 นาทีระหว่างเซต และพัก 1 วัน |
ปานกลาง | 25-30 | 15-20 | 4-5 | 3-4 | พัก 45-60 วินาที ระหว่างเซต และพัก 1 วัน |
ก้าวหน้า | 40+ | 30+ | 5-6 | 4-5 | พัก 30 วินาที ระหว่างเซต พักเมื่อร่างกายต้องการ |
ประโยชน์ของการวิดพื้น
1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนบนแบบครบจุด
การวิดพื้นเป็นการออกกำลังกายที่ทรงพลังในการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนบนแบบองค์รวม โดยจะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าอก (Pectoralis) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวของแขนและการหายใจ กล้ามเนื้อไหล่ (Deltoids) ที่ช่วยในการยกและหมุนแขน รวมถึงกล้ามเนื้อแขนทั้งไบเซ็ปส์และไตรเซ็ปส์ที่ทำงานสลับกันในการงอและเหยียดแขน
2. พัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
ขณะวิดพื้น กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวหรือ Core Muscles จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย กล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหลัง และกล้ามเนื้อสะโพกจะทำงานประสานกันเพื่อรักษาแนวลำตัวให้ตรง การฝึกวิดพื้นอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
3. เผาผลาญพลังงานและควบคุมน้ำหนัก
การวิดพื้นเป็นการออกกำลังกายแบบใช้น้ำหนักตัว ที่กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การวิดพื้น 100 ครั้งสามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 50-100 กิโลแคลอรี่ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและความเข้มข้นในการฝึก นอกจากนี้ การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อจากการวิดพื้นยังช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานขณะพักด้วย
4. เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ
การวิดพื้นเป็นการออกกำลังกายแบบมีแรงกดที่เหมาะสม (Weight-bearing exercise) ซึ่งจะกระตุ้นการสร้างมวลกระดูกและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก โดยเฉพาะในส่วนแขน ไหล่ และข้อมือ การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและเสริมสร้างความแข็งแรงของข้อต่อ ทำให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. พัฒนาความสมดุลและการทรงตัว
การวิดพื้นไม่เพียงแต่เสริมสร้างความแข็งแรง แต่ยังช่วยพัฒนาการทรงตัวและความสมดุลของร่างกาย การรักษาท่าทางให้ถูกต้องขณะวิดพื้นต้องอาศัยการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อหลายมัด ทั้งกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็ก การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาระบบประสาทสั่งการและการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมีความมั่นคงและแม่นยำมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิดพื้น
Q: วิดพื้นวันละกี่ครั้งถึงจะพอ?
A: สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำวันละ 5-10 ครั้ง 2-3 เซต พักระหว่างเซต 1-2 นาที ฝึก 3 วันต่อสัปดาห์ เมื่อแข็งแรงขึ้น ค่อยเพิ่มเป็น 15-20 ครั้งต่อเซต
Q: วิดพื้นแล้วอกใหญ่ขึ้นไหม?
A: ใช่ การวิดพื้นช่วยพัฒนากล้ามเนื้อหน้าอกได้ แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ถูกวิธี และทานอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ ใช้เวลาประมาณ 8-12 สัปดาห์จึงเห็นผล
Q: ผู้หญิงควรวิดพื้นอย่างไร?
A: ผู้หญิงควรเริ่มจากท่า Wall Push Up หรือ Knee Push Up ก่อน ทำวันละ 5-10 ครั้ง 2-3 เซต เน้นท่าทางที่ถูกต้อง เมื่อแข็งแรงขึ้นจึงค่อยทำท่ามาตรฐาน
Q: วิดพื้นเผาผลาญแคลอรี่ได้เท่าไร?
A: การวิดพื้นเผาผลาญประมาณ 50-75% ของน้ำหนักตัว (แคลอรี่ต่อชั่วโมง) คนน้ำหนัก 60 กิโล วิดพื้น 100 ครั้ง จะเผาผลาญประมาณ 30-45 กิโลแคลอรี่
Q: ทำไมวิดพื้นไม่ขึ้น?
A: สาเหตุหลักมาจากกล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอ แนะนำให้เริ่มจากท่าพื้นฐานก่อน เช่น Wall Push Up หรือเพิ่มความแข็งแรงด้วยการบริหารแขนและหน้าอกท่าอื่นๆ
Q: วิดพื้นทุกวันได้ไหม?
A: ไม่แนะนำ ควรพัก 1-2 วันระหว่างสัปดาห์ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นฟู การพักจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ
Q: มือใหม่ควรเริ่มวิดพื้นอย่างไร?
A: เริ่มจาก Wall Push Up 2-3 สัปดาห์ แล้วค่อยเปลี่ยนเป็น Knee Push Up เมื่อแข็งแรงขึ้น เน้นท่าถูกต้อง หลังตรง หายใจสม่ำเสมอ
Q: วิดพื้นแล้วแขนใหญ่ขึ้นไหม?
A: ใช่ แต่ต้องทำสม่ำเสมอและหลากหลายท่า โดยเฉพาะ Diamond Push Up ที่เน้นกล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์ ควบคู่กับการทานอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ
Q: วิดพื้นกี่ครั้งถึงจะผ่านทหาร?
A: มาตรฐานทั่วไปคือ 22 ครั้งขึ้นไปใน 2 นาที สำหรับชายอายุ 18-25 ปี ท่าต้องถูกต้อง หลังตรง ลดตัวลงจนหน้าอกเกือบแตะพื้น
Q: วิดพื้นช่วยลดพุงได้ไหม?
A: วิดพื้นช่วยเผาผลาญแคลอรี่และกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้อง แต่การลดพุงต้องควบคุมอาหารร่วมด้วย และทำคาร์ดิโอเสริม เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ
สรุป
การวิดพื้นไม่ใช่แค่ท่าออกกำลังกายธรรมดา แต่เป็นการลงทุนด้านสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องการอุปกรณ์ราคาแพง ไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนส ทำได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังได้ประโยชน์แบบครบวงจร ทั้งสร้างกล้ามเนื้อ เผาผลาญไขมัน และเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ
สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เลือกท่าที่เหมาะกับระดับความแข็งแรงของตัวเอง อย่าหักโหม ทำอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าทำตามหลักการและคำแนะนำที่ให้ไป รับรองว่าใน 8-12 สัปดาห์ คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างชัดเจน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มจาก wall push up หรือคนที่ทำ วิดพื้นได้หลายสิบครั้ง การพัฒนาตัวเองไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มต้นวันนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมท่าออกกำลังกายนี้ถึงอยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน