ฝึก Push-Up เคล็ดลับทรงอก ไหล่สวย หลังแขนเฟิร์ม เทคนิคจากแชมป์ Mr. Thailand ที่ใครก็เริ่มได้

[1] ท่า Push-Up นี้คืออะไร? ในมุมมองโค้ชปูนิ่ม

สวัสดีค่ะ โค้ชปุนิ่มเองนะคะ แชมป์ฟิตเนสหญิงรายการ Mr. Thailand ปี 2025 และเป็นเทรนเนอร์วัย 45 ที่ยังฝึก Push-Up อยู่เป็นประจำ ไม่ใช่เพราะมันง่าย แต่เพราะมัน “ได้ผล” มากกว่าที่หลายคนคิดค่ะ

Push-Up คือท่าฝึกที่ใช้ น้ำหนักตัวเราเอง ในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะ กล้ามอก, ไหล่, และ แขนด้านหลัง (triceps) ซึ่งถือเป็น “ท่าบังคับ” ที่หลายเวทีประกวดยังใช้เป็นเกณฑ์เบื้องต้นในการประเมินความแข็งแรงแกนกลางและช่วงบน

โค้ชเริ่มเล่นฟิตเนสมาตั้งแต่อายุ 23 ตอนนั้นยังไม่มีเครื่อง ไม่มีเทรนเนอร์ ไม่มีดัมเบลเลยค่ะ สิ่งเดียวที่พอทำได้ตอนอยู่หอคือ Push-Up และ Sit-Up สลับกันวันเว้นวัน ใช้เสื่อโยคะเก่า ๆ กับหัวใจที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเชื่อไหมคะ? แค่ Push-Up อย่างเดียว ทำให้โค้ชเริ่มเห็นทรงแขน ไหล่ และความเฟิร์มของอกภายใน 1 เดือน โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เลย

ทำไม Push-Up ถึงเป็น “รากฐาน” ของท่าฝึกกล้ามอก?

เพราะมันใช้การ ควบคุมทั้งตัว และต้องมีการเกร็งลำตัวมากกว่าการเล่น Bench Press เสียอีกในบางกรณี ถ้าใครควบคุมตัวเองระหว่าง Push-Up ได้ดี เขาจะสามารถทำท่าอื่นได้อย่างมั่นคงและปลอดภัยขึ้น และสิ่งที่โค้ชชอบที่สุดคือ มันฝึกได้ทุกวัย ทุกที่ ทุกสภาพร่างกาย

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเริ่มจากศูนย์ หรือเคยล้มเลิกไปแล้ว Push-Up คือจุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด


[2] 5 วิธีการทำที่ถูกต้อง

Push-Up ให้ได้ผลจริง ไม่ใช่แค่ทรง แต่ต้องรู้สึกถึงกล้าม

เวลาโค้ชฝึกตัวเอง หรือสอนลูกศิษย์ โค้ชไม่เคยมองว่า Push-Up เป็นแค่ “ท่าฝึกเบื้องต้น” แต่คิดว่า Push-Up คือ “บททดสอบจิตใจ” เพราะคนส่วนใหญ่ มักจะรีบ, ไม่เกร็งตัว, หรือ เอาแต่ก้ม ๆ เงย ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไม่ได้ใช้กล้ามอกเลย มาดูกันทีละขั้นค่ะ ว่าทำ Push-Up ให้ได้ผลจริง ต้องทำยังไง?

ขั้นที่ 1: เริ่มจาก “การเซ็ตไหล่-สะโพก-ส้นเท้า” ให้เป็นเส้นตรง

นี่คือสิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่พลาดเลยค่ะ!

เวลาคุณวางมือลงบนพื้น อย่าคิดว่าแค่ “หลังตรง” พอ

แต่ต้องเช็กว่า:

  • หัวไหล่ต้องตั้งอยู่เหนือต้นข้อมือ
  • เกร็งหน้าท้อง ดึงสะดือลงในลำตัว
  • บีบก้นเบา ๆ ให้ส้นเท้าจรดกัน

ขั้นที่ 2: วางมือให้ “ต่ำกว่าไหล่นิดเดียว” อย่าแบกน้ำหนักที่ข้อมือ

คนทั่วไปวางมือกว้างเกินไป หรือไหล่ล้ำข้อมือ จนรู้สึกว่า “ข้อมือรับน้ำหนักเกิน” ซึ่งโค้ชสอนแบบนี้ค่ะ: “มือควรอยู่กว้างพอประมาณ ใต้แนวหัวไหล่ และนิ้วกลางชี้ตรงไปข้างหน้า” พอคุณวางถูก จุดรับแรงจะไปอยู่ที่อกกับหลังแขน ไม่ใช่ข้อมือ

ขั้นที่ 3: เกร็งแกนกลางร่างกาย (Core) ตลอดการฝึก

อย่าให้ท้องห้อย หรือก้นโด่งขึ้นมาแบบสามเหลี่ยม ให้คิดเสมอว่า “หน้าท้องกับก้นต้องบีบเข้าหากัน” แล้วหายใจออกตอนดันขึ้น หายใจเข้าเวลาลง

จากสนามแข่ง: บนเวที Mr. Thailand เขามีการให้ทดสอบการคุม Core ด้วยการฝึกท่า Isometric Push-Up (หยุดค้างกลางทาง 3 วิ) หลายคนกล้ามแน่นมาก แต่ “Core หลุด” พอท่าไม่คม = คะแนนตกทันที

ขั้นที่ 4: ลงลึกให้ถึง “90 องศา” แล้วอย่าลืม “บีบอก” ตอนดันขึ้น

ท่า Push-Up ที่ถูกต้องต้อง “ลงลึกเท่าศอกงอ 90 องศา” แล้วค่อยดันขึ้นพร้อมบีบอก

เคล็ดลับ: เวลาคุณดันตัวขึ้น ให้จินตนาการว่า “กำลังบีบลูกบอลไว้กลางอก”กล้ามอกจะมีการเกร็งที่ชัด และทรงจะเริ่มขึ้นจริง!

ขั้นที่ 5: คุมจังหวะให้ช้า 2 วินาทีลง – 1 วินาทีขึ้น

หลายคนรีบดันขึ้น เพราะอยากให้ครบจำนวน แต่ Push-Up ที่ดีต้องเน้น “Time Under Tension”

  • ลงช้า ๆ นับในใจ 1…2
  • ดันขึ้นแรง ๆ ตอนนับ 3
  • พออยู่ด้านบนแล้ว “หยุด 1 วินาที” เพื่อค้างกล้าม

จากเวทีจริง:

ช่วงฝึกประกวดฟิตเนส โค้ชใช้ Push-Up เป็นท่าเปิดทุกเช้า วันละ 50 ครั้ง โดยแบ่งเป็น 5 เซต เซตละ 10
คุมจังหวะเป๊ะทุกครั้ง = กล้ามอกทรงขึ้น, รอยขีดชัดขึ้น และช่วยให้ท่า Bench Press ทำได้มากขึ้นอีก 10 กก.ใน 1 เดือน!

สรุป: Checklist Push-Up ที่ถูกต้องแบบโค้ชปุนิ่ม

จุดสำคัญคำแนะนำโค้ช
แนวลำตัวหัว-ไหล่-สะโพก-ส้นเท้า อยู่ในเส้นตรง
ตำแหน่งมือใต้หัวไหล่เล็กน้อย, นิ้วกลางชี้ตรง
Coreเกร็งหน้าท้องตลอด, ไม่ให้สะโพกยุบ
ความลึกศอกงอ 90 องศา, อกเกือบแตะพื้น
จังหวะลง 2 วิ, ดันขึ้น 1 วิ, ค้างบน 1 วิ
กล้ามเป้าหมายอก, ไหล่หน้า, หลังแขน (Triceps)

[3] 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรง

ฝึกแบบโค้ชปุนิ่ม ได้ผลจริงทั้งทรงและพละกำลัง

เคล็ดลับที่ 1: ฝึก “Push-Up Pyramid” เพื่อสร้างทรงอก และความอึดไปพร้อมกัน

ตอนเตรียมตัวประกวดเวที “Mr. Thailand 2025” โค้ชไม่ได้มีเวลาเล่นเครื่องทุกวัน บางวันฝึกเองที่บ้าน ก็ใช้ Push-Up อย่างเดียว แต่ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Pyramid Set คือ:
ฝึกแบบขั้นบันได → 1 → 2 → 3 → … → 10 แล้วถอยกลับ

ตัวอย่าง:

1 ครั้ง → พัก 10 วิ

2 ครั้ง → พัก 10 วิ

3 ครั้ง → พัก 10 วิ

ถึง 10 ครั้ง → แล้วไล่กลับลงมา 9, 8, 7, … จนถึง 1 อีกครั้ง รวมทั้งหมด = 100 ครั้งแบบ “เนียน ๆ” โดยที่ไม่รู้สึกว่าเยอะ

แต่ที่ได้มากกว่าจำนวนคือ:

  • กล้ามอกบวมเต็ม ๆ
  • ความอึดหัวใจดีขึ้น
  • ระบบประสาทกล้ามเนื้อทำงานไวขึ้น

โค้ชใช้วิธีนี้ก่อนขึ้นเวทีวันละ 2 รอบ (เช้า-เย็น) เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลคือหน้าอกทรงกลมขึ้นชัดมาก และไม่มีอาการบาดเจ็บเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะมันเน้นคุมฟอร์ม และทำให้ร่างกายร้อนก่อนซ้อมเวทจริง

เคล็ดลับที่ 2: ฝึก Push-Up แบบ “หยุดกลางทาง” ค้างไว้เพื่อสร้างแกนกลางแน่น ๆ

นี่เป็นเทคนิคที่โค้ชชอบใช้มากในช่วง “โค้งสุดท้ายก่อนแข่ง” เพราะมันช่วยให้กล้ามอกกับ Core กระชับขึ้นแบบสุด ๆ

วิธีทำ:

  • ลง Push-Up มาครึ่งทาง
  • หยุดค้างไว้ 5 วินาที
  • ค่อยดันขึ้น (ห้ามรีบ)
  • ทำแบบนี้ 8–10 ครั้ง ต่อ 1 เซต

ใครที่เคยเล่นแล้วไม่รู้สึกถึงอก ลองแบบนี้ดูค่ะ บอกเลยว่า “กล้ามสั่นตั้งแต่ครั้งแรก” และคุณจะรู้เลยว่า “Push-Up แบบช้าคือที่สุดของความทรงพลัง”

Push-Up ธรรมดาใคร ๆ ก็ทำได้ แต่ Push-Up ที่ควบคุมการหายใจ การเกร็ง และจังหวะได้แบบนี้ มันคือการ “ปลุกพลังของร่างกาย” ที่ซ่อนอยู่ในตัวทุกคนค่ะ


[4] 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (ที่เคยเห็นจริง ๆ) + วิธีแก้

Push-Up ให้ได้ผล ไม่ใช่แค่ “ฝึกได้” แต่ต้อง “ฝึกได้ถูก”

❌ ผิดพลาดที่ 1: หลังแอ่น-เอวกด → ปวดหลัง ปวดเอว

ปัญหา:

เวลาทำ Push-Up หลายคนปล่อยให้สะโพกตก หรือหลังแอ่น โดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนแค่ “เล็กน้อย” แต่จริง ๆ แล้วมันทำให้ “แรงกระแทกลงที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง” และ “Core ไม่ได้ทำงาน”

ทางแก้ของโค้ช:

  • ใช้ “ไม้ยาว” หรือ “ดัมเบลวางบนหลัง” เพื่อดูว่าแนวกระดูกสันหลังตรงไหม
  • สอนให้ฝึกท่า Plank ทุกครั้งก่อนเริ่ม Push-Up เพื่อ activate แกนกลาง

❌ ผิดพลาดที่ 2: ดันจากสะโพกแทนอก → กล้ามอกไม่ทำงาน

ปัญหา:

บางคนดันตัวโดยใช้แรงเหวี่ยงจากสะโพก ก้นกระดกขึ้นก่อนหน้าอกเสมอ สาเหตุคือ Core ไม่แข็งแรง และไม่รู้จังหวะ “การสั่งกล้าม”

ทางแก้ของโค้ช:

  • ให้ฝึก Push-Up แบบช้า ๆ พร้อมสั่งจังหวะว่า “ลง 3 วิ → ขึ้น 1 วิ”
  • ใช้กระจกช่วยดูว่าไหล่กับสะโพกขึ้นพร้อมกันไหม

คนที่เคยบ่นว่า “Push-Up แล้วไม่เห็นผล” ส่วนใหญ่คือ “ไม่ได้ใช้กล้ามเป้าหมายเลย” พอแก้ฟอร์มตรงนี้ ร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแบบชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์

❌ ผิดพลาดที่ 3: งอศอกออกด้านข้างเกินไป → เจ็บไหล่

ปัญหา:

ศอกกาง 90 องศา หรือออกข้างจนหัวไหล่รับภาระหนัก พอฝึกนาน ๆ เข้า มักบาดเจ็บตรงหัวไหล่

ทางแก้ของโค้ช:

  • ปรับศอกให้ชี้ออกจากลำตัวแค่ 45 องศา
  • สอนให้จินตนาการว่ากำลัง “ดันตัวลอดใต้โต๊ะ” คือข้อศอกจะเฉียงลง ไม่กาง

❌ ผิดพลาดที่ 4: หายใจไม่ถูก → เวียนหัว เหนื่อยเกินจริง

ปัญหา:

บางคนกลั้นหายใจตอนดันขึ้น หรือหายใจผิดจังหวะ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน หัวใจเต้นแรง จนอึดอัดหรือเวียนหัว

ทางแก้ของโค้ช:

  • หายใจ “เข้า” ตอนลง
  • หายใจ “ออก” ตอนดันตัวขึ้น
  • ฝึกพร้อมนับเสียงดัง เช่น “ลง–หนึ่ง สอง → ดันขึ้น–ออก”

❌ ผิดพลาดที่ 5: รีบนับจำนวน แต่ไม่เกร็งกล้ามเลย → ฝึกยังไงก็ไม่ขึ้น

ปัญหา:

อยากครบ 10 หรือ 20 ครั้งเร็ว ๆ โดยไม่สนว่ากล้ามทำงานจริงไหม ทำเร็วเกินไป จังหวะไม่ถูก ไม่มีการบีบกล้ามอก

ทางแก้ของโค้ช:

  • โค้ชใช้ “Push-Up ค้าง 3 วิ” ทุกครั้งในเซตสุดท้าย เพื่อเน้น mind-muscle connection
  • บอกเสมอว่า “จะทำ 10 ครั้ง หรือ 5 ครั้ง ก็ไม่ต่าง ถ้าใช้กล้ามเท่ากัน”

[5] 3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่านี้

พร้อมเทคนิค “ขึ้นทรง” แบบนักฟิตเนสหญิง

กล้ามเนื้อหลัก 1: กล้ามอก (Pectoralis Major) คืออะไร?

กล้ามอกเป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณหน้าอก ช่วยให้เรา “ดัน” สิ่งของ หรือพยุงตัวขึ้นจากพื้น

Push-Up ทำงานจุดไหน?

เวลาคุณดันตัวขึ้นจากพื้น กล้ามอกจะ “หดตัว” เพื่อสร้างแรงผลัก ถ้าเล่นถูกจุด เราจะรู้สึกตึงบริเวณกึ่งกลางอกถึงใต้ราวนม

เคล็ดลับทรงสวยแบบนักประกวด:

  • ค้างไว้ตอนกลางทาง 2 วิ
  • หุบศอกแคบ 45 องศา แล้ว “บีบอก” ตอนขึ้น
  • ฝึกสม่ำเสมอวันเว้นวัน จะช่วยให้หน้าอกเด้งแน่น ไม่แบนหรือห้อย

กล้ามเนื้อรอง 2: หลังแขน (Triceps Brachii) คืออะไร?

กล้ามเนื้อหลังแขน ช่วยให้เรายืดศอกหรือดันแขนได้เต็มแรง ถ้าคุณดันขึ้นโดยไม่ “กางศอกออกข้าง” มากเกินไป หลังแขนจะต้องรับแรงกดร่วมกับอก

Push-Up แบบไหนได้ Triceps เยอะ?

  • แบบ “แคบ” (Close-grip Push-Up)
  • แบบหยุดค้างกลางทาง
  • หรือแบบ “Diamond Push-Up”

เคล็ดลับทรงแขนเฟิร์ม:

ฝึก Push-Up คู่กับ Dumbbell Kickback หรือ Dip 2-3 วัน/สัปดาห์
ทำให้กล้ามหลังแขนตึง ไม่ห้อย จนใส่แขนกุดมั่นใจขึ้นเยอะค่ะ

กล้ามเนื้อเสริม 3: ไหล่หน้า (Anterior Deltoid) คืออะไร?

ส่วนหน้าไหล่ที่เชื่อมระหว่างอกกับแขน ช่วยในการยกแขน และดันตัวจากพื้นขึ้น ทำงานเมื่อไหร่?ฅ
เวลาคุณดันขึ้นจากพื้น กล้ามไหล่หน้าจะหดร่วมกับอก ถ้าทำ Push-Up บ่อย ๆ และเกร็งไหล่ตลอด ฟอร์มจะเป๊ะขึ้นโดยอัตโนมัติ

เคล็ดลับทรงไหล่กลม (ไม่ล้ำ):

ฝึก Push-Up ร่วมกับ Front Raise หรือ Shoulder Press
อย่าฝึกหนักเกิน เพราะถ้าไหล่เด่นกว่าอก จะทำให้ลำตัวดูไม่สมดุล

ตารางสรุป: กล้ามเนื้อที่ได้จาก Push-Up + เทคนิค “ทรงสวย”

กล้ามเนื้อจุดที่ทำงานเทคนิคทรงสวยใช้ร่วมกับท่าอื่น
กล้ามอก (Pec)ช่วงกลางหน้าอกค้างกลางทาง + บีบอกIncline Push-Up / Dumbbell Press
หลังแขน (Triceps)ท้ายการดันขึ้นศอกแคบ / ช้าDip / Kickback
ไหล่หน้า (Deltoid)ตอนเริ่ม Push-Upไม่กางศอก / คุมจังหวะDumbbell Raise / Press

Push-Up ไม่ใช่แค่ท่าบอดี้เวต แต่ถ้าทำถูก มันคือ “ศิลปะการขึ้นทรง” โดยไม่ต้องใช้เครื่องเลยสักชิ้นค่ะ!


[6] ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึกสม่ำเสมอ

พร้อมงานวิจัย และประสบการณ์ที่โค้ชใช้เตรียมประกวด

งานวิจัย: ฝึก Push-Up 8 สัปดาห์ → กล้ามอกและแรง Core เพิ่มขึ้นจริง

มีงานวิจัยหนึ่งในปี 2021 ทำการศึกษากับผู้ชายและผู้หญิงวัย 35–60 ปี จำนวน 60 คน

โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

  • กลุ่ม 1: ฝึก Push-Up สัปดาห์ละ 3 วัน
  • กลุ่ม 2: ไม่ฝึกอะไรเลย (กลุ่มควบคุม)

ผลลัพธ์หลัง 8 สัปดาห์:

สิ่งที่วัดกลุ่มที่ฝึก Push-Upกลุ่มควบคุม
ความแข็งแรงกล้ามอกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 28%ไม่เปลี่ยนแปลง
Core Stabilityเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18%ลดลง 3%
Body Fat %ลดลงเฉลี่ย 2.4%เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

สรุป: แค่ Push-Up อย่างเดียว แบบมีวินัย ก็เพียงพอให้ร่างกาย “ยกกระชับ” และสร้างกล้ามเนื้อได้ โดยเฉพาะในคนวัย 40+ ที่ไม่อยากใช้เวลากับเวทเยอะ หรือไม่มีเวลาเข้ายิมทุกวัน

ประสบการณ์จริง: โค้ชปุนิ่มใช้ Push-Up ช่วง Peak ก่อนขึ้นเวที 3 สัปดาห์

หลายคนอาจคิดว่า Push-Up ไม่พอสำหรับประกวด แต่โค้ชขอบอกว่า “Push-Up คือไม้เด็ดที่โค้ชใช้ตอนไม่มีเวลาเข้ายิม” ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนแข่งรายการ Mr. Thailand 2025

โค้ชแบ่งการฝึกเป็น 2 รอบ/วัน:

  • เช้า: Push-Up Pyramid (ไต่ระดับ 1–10 แล้วถอยกลับ) → เพื่อ “เร่งเลือด” เติมกล้ามอกให้เต็ม
  • เย็น: Push-Up แบบ Slower Tempo คุมท่าลง 3 วิ → เพื่อ “ขีดเส้นกล้าม” ให้ชัดขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้:

หน้าอกกระชับขึ้น แขนตึงขึ้น ผิวรอบอกดูเฟิร์มแม้ไม่ต้อง Cardio เยอะ และสำคัญที่สุดคือ ฟอร์มท่ายืนโพสเวทีดูนิ่งมากขึ้น เพราะ Core แน่นจากการฝึก Push-Up อย่างต่อเนื่อง
Push-Up ไม่ใช่แค่ “ท่าฝึกง่าย” แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการ “กลับมารักร่างกายตัวเอง” โดยไม่ต้องใช้อะไรเลย นอกจากใจที่พร้อม และพื้นเรียบ ๆ

หากสนใจบาร์ดึงข้อ ติดตั้งง่ายๆ ไม่ต้องเจาะพนังสามารถเข้าเลือกดูสินค้าได้เลยที่นี่


[7] 3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่านี้ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)

โค้ชปุนิ่มบอกเลย: ถ้าเข้าใจหลักการ ต่อให้ไม่มีพื้น ก็ฝึกได้!

เครื่องที่ 1: Smith Machine (ดัดแปลงเป็น Incline Push-Up)

ข้อดี:

  • ปรับความสูงของบาร์ได้ → ค่อย ๆ ฝึกจากง่ายไปยาก
  • ใช้ได้แม้กับผู้เริ่มต้น หรือคนที่น้ำหนักตัวยังมาก
  • บังคับแนวการเคลื่อนไหวได้ดี ช่วยให้ฟอร์มสม่ำเสมอ

วิธีฝึกแบบโค้ช:

  • เซ็ตบาร์ให้สูงพอเหมือนเราเอนตัวเข้าหากำแพง
  • วางมือบนบาร์ เหยียดตัวตรง
  • ดันตัวเข้าหาบาร์ แล้วดันกลับเหมือน Push-Up แบบเอียง

เครื่องที่ 2: Chest Press Machine (แบบนั่ง)

ข้อดี:

  • ไม่ต้องกลัวเสียสมดุล
  • เหมาะสำหรับคนที่กลัวจะล้ม หรือยังควบคุมตัวเองไม่ได้
  • ฝึกได้หนักขึ้นโดยควบคุม “น้ำหนักแบบเฉพาะเจาะจง” ได้

เทคนิคโค้ช:

  • ไม่ต้องใส่น้ำหนักเยอะ ให้เน้น ควบคุมจังหวะ เหมือน Push-Up
  • “หายใจออกตอนดัน” และ “เกร็งอกตอนยืดแขนสุด”

เครื่องที่ 3: Cable Crossover (ใช้ฝึกแนวการบีบอก)

ข้อดี:

  • เน้นแรงตึงต่อเนื่อง (constant tension)
  • บีบอกได้เต็มช่วงการเคลื่อนไหว
  • ใช้ฝึกทรงอกได้หลากหลายมุม (สูง/กลาง/ล่าง)

วิธีฝึกแบบโค้ช:

  • ตั้งสาย Cable สูงระดับหัวไหล่
  • ก้าวขาหน้า-หลังให้มั่นคง
  • ดึงสายมาด้านหน้าตรงแนวอก พร้อม “บีบอกเข้าหากันตอนสุดจังหวะ”

ไม่มีเครื่อง? ใช้อะไรแทนได้บ้าง

ไม่มีเครื่องใช้อะไรแทนได้เทคนิคโค้ช
ไม่มี Smithโต๊ะยาว / ราวบันไดทำ Incline Push-Up วางมือให้มั่นคง
ไม่มี Chest Pressยางยืด Resistance Bandเหยียบกลางยาง ดันออกเหมือน Chest Press
ไม่มี Cableขวดน้ำ / ผ้าเช็ดตัวบีบเข้าหากันเหมือนบีบอกตอน Push-Up

ไม่ต้องมีเครื่องหรู ไม่ต้องมีห้องฟิตเนส ถ้าคุณเข้าใจหลัก “แรงต้าน + การควบคุม” คุณจะฝึก Push-Up ได้ทุกที่ ทุกวัย ทุกกล้ามเนื้อที่ต้องการ


[8] ท่านี้เหมาะกับใคร?

1. คนวัย 35 ขึ้นไป ที่เริ่มรู้สึกว่าร่างกาย “ไม่ฟิตเหมือนเดิม”

Push-Up ช่วยกระตุ้นทั้งกล้ามอก แขน และแกนกลาง โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ ไม่เสี่ยงบาดเจ็บจากเวทหนัก

2. คนที่มีปัญหาน้ำหนักตัวมาก → ยังยกน้ำหนักไม่ไหว

หลายคนคิดว่าต้อง “ผอมก่อน” ถึงจะ Push-Up ได้ โค้ชบอกเลยว่า ผิดค่ะ

สิ่งที่คุณต้องทำคือ “เริ่มจากเวอร์ชันง่าย” เช่น:

  • Wall Push-Up (พิงกำแพง)
  • Incline Push-Up (ใช้เก้าอี้หรือขอบเตียง)
  • Knee Push-Up (ใช้เข่าช่วยพยุง)

3. ผู้หญิงวัยทำงานที่อยาก “หน้าอกยก” ไม่ต้องศัลยกรรม

โค้ชพูดเสมอว่า “หน้าอกจะยก… ต้องใช้กล้าม ไม่ใช่มีดหมอ” Push-Up จะทำให้กล้ามอกดันขึ้น ส่งผลให้เนินอกดูเต็ม อกไม่หย่อน ไม่แบน ไม่ห้อย

4. คุณแม่ที่อยากฟื้นฟูร่างหลังคลอด หรือคนที่เคยบาดเจ็บ

Push-Up ไม่จำเป็นต้องฝึกหนัก แต่ถ้าใช้เพื่อฟื้นฟู ให้เริ่มจากเบา ๆ เน้นการควบคุมและการหายใจ

สรุป: Push-Up เหมาะกับใครบ้าง?

กลุ่มความเหมาะสมวิธีเริ่มต้น
วัย 35+เพิ่มกล้ามอกและความแข็งแรงเริ่มจาก Wall หรือ Knee Push-Up
น้ำหนักตัวมากควบคุมแกนกลาง โดยไม่ใช้เวทเริ่มจากพิงผนัง → ค่อย ๆ ลดความสูง
ผู้หญิงวัยทำงานยกกระชับหน้าอกPush-Up วันเว้นวัน + ค้างกลางทาง
หลังคลอด / บาดเจ็บฟื้นฟู Core และไหล่ใช้ Tempo Push-Up + ควบคุมลมหายใจ

อย่ารอให้ร่างกายแย่ก่อนค่อยเริ่ม Push-Up ไม่ได้รอให้คุณผอม หรือฟิต มันแค่รอให้คุณ “ลุก” ขึ้นมา แล้วกดตัวเองลงบนพื้น


[9] ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด

สูตรฝึกที่โค้ชปุนิ่มใช้เทรนตัวเอง ก่อนขึ้นเวทีและสนามจริง

หลักคิดของโค้ชปุนิ่ม:

Push-Up เป็น “ท่ากลาง” ที่ควรจับคู่กับทั้ง “ท่าดึง” และ “ท่าเกร็ง” เพราะการฝึกกล้ามอกที่ดี ต้องเสริม Core และความยืดหยุ่นของไหล่ด้วย

สูตรฝึก 3 ท่า: สำหรับความกระชับ และเพิ่มแรงกดหน้าอก

ฝึกสลับเซต 3 ท่าแบบ Circuit Training (ไม่ต้องพักระหว่างท่า)

ลำดับท่าจำนวน / เวลา
1Push-Up (เต็ม หรือเข่า)10–15 ครั้ง
2Plank ค้าง30–45 วินาที
3Dumbbell Fly (เบา ๆ ก็พอ)12–15 ครั้ง

ทำครบ = 1 รอบ → ทำทั้งหมด 3–4 รอบ

Tips จากโค้ช:

นี่คือเซตที่โค้ชใช้ก่อนแข่งรายการ Chiangmai Classic 2024 หลังทำติดต่อกัน 5 วัน/สัปดาห์ → หน้าอกชัด, Core แน่น, ไหล่ไม่เจ็บเลย และโค้ชยังมีพลังเหลือซ้อมท่าโพสต่ออีก 30 นาทีแบบไม่หมดแรง

สูตรฝึก 2 ท่า: สำหรับคนไม่มีดัมเบล / ไม่มีอุปกรณ์

ลำดับท่าจำนวน / เวลา
1Incline Push-Up (ใช้โต๊ะหรือเตียง)10 ครั้ง
2Wall Angel (ฝึกเปิดไหล่ + คุม Core)10 ครั้ง (ช้า ๆ)

ทำสลับ 4 เซต → วันเว้นวัน

เหตุผลทางสรีระ: ทำไมต้องฝึกแบบนี้?

กล้ามเนื้อPush-Up ทำงานท่าเสริมช่วยเรื่อง
กล้ามอกดันFly / Incline Push-Up → เพิ่มความยาวกล้ามเนื้อ
CoreคุมตัวPlank / Wall Angel → เสริมสมดุลหลัง–หน้าท้อง
ไหล่ทรงไหล่Dumbbell Raise / Angel → ป้องกันไหล่ห่อ

คำแนะนำจากโค้ช

  1. ฝึกตอนเช้า จะช่วย “เปิดร่างกาย” ให้พร้อมใช้ Core ทั้งวัน
  2. อย่าฝึกทุกวันติดกันเกิน 3 วัน → กล้ามอกต้องมีเวลาฟื้นตัว
  3. เช็คฟอร์มตัวเองด้วยกระจก / กล้องมือถือ 2–3 วันต่อครั้ง
  4. คุมลมหายใจมากกว่าความเร็ว เพราะการเกร็ง + หายใจถูก = ทรงจะขึ้นไวมาก

Push-Up ไม่ใช่ท่าหลอกตัวเอง แต่มันจะ “เปลี่ยนทรง” ถ้าคุณจับคู่กับท่าถูก และฝึกอย่างมีวินัย


สรุปจากโค้ชปูนิ่ม

จากประสบการณ์การแข่งขันและการฝึกสอนมาหลายปี… Push-Up คือท่าพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุด ที่โค้ชอยากให้ทุกคนเริ่มต้นฝึกอย่างจริงจัง ไม่ว่าคุณจะมีอุปกรณ์หรือไม่ เพราะ “แค่คุณมีพื้นเรียบ ๆ กับใจที่พร้อม” ก็สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้แล้ว

ที่สำคัญที่สุดคือ: อย่าคิดว่า Push-Up เป็นแค่ “ท่าบอดี้เวตของมือใหม่” เพราะ ท่านี้ฝึกได้ทั้งกล้ามอก, ไหล่, แขนหลัง และ Core พร้อมกัน และยังเป็น “ตัววัดความแข็งแรง” ที่หลายเวทียังใช้จริงในระดับการแข่งขัน

โค้ชหวังว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณจะเห็นว่า Push-Up ไม่ใช่แค่การดันตัวขึ้นลง แต่คือ “การควบคุมกล้ามเนื้อและลมหายใจทุกวินาที” ให้กลายเป็นพลังจากภายใน

ขอให้จำไว้:
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไม่ได้มาจากการฝึกหนักที่สุด แต่มาจาก “การคุมฟอร์ม + ฝึกอย่างมีวินัย + เข้าใจการทำงานของกล้ามเนื้อทุกครั้งที่ดันตัวขึ้น”


อยากเสริมอก-แขน-ไหล่ให้คมชัดขึ้นอีก?

ถ้าคุณเริ่มฝึก Push-Up แล้วชอบ โค้ชขอแนะนำให้ลองจับคู่กับท่าเสริมเหล่านี้ เพื่อเร่งผลลัพธ์ให้เร็วยิ่งขึ้น:

  • Dumbbell Kickback – เสริมการขึ้นทรงให้เต็ม

  • Plank – เสริมความมั่นคงของ Core และปรับท่าทาง

และที่สำคัญที่สุด…
อย่าฝึกแค่จำนวน แต่ฝึกให้ “รู้สึก” ว่ากล้ามกำลังทำงานอยู่จริง

โค้ชปูนิ่ม - น.ส.มนัสนันท์ อรรณพวรรณ

นักกีฬาเพาะกายหญิง รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในการแข่งขันมิสเตอร์ไทยแลนด์ 2025

ปูเชื่อว่า "ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากศูนย์ หรือเคยล้มเหลวกี่ครั้ง ถ้าคุณไม่หยุดพยายาม สักวันร่างกายของคุณจะเปลี่ยนไปได้แน่นอน โค้ชพร้อมอยู่ข้าง ๆ และจะพาทุกคนไปให้ถึงเป้าหมายไปด้วยกันค่ะ"

ดูโปรไฟล์โค้ชปูนิ่ม