👩🏫 เขียนโดย โค้ชปุนิ่ม – แชมป์ Mr. Thailand 2025 และผู้เชี่ยวชาญด้านเวทเทรนนิ่งฟิสิคหญิง
🧠 ประสบการณ์จริงในการฝึกนักเรียน ผู้สูงวัย นักวิ่ง และนักกีฬาฟิตเนสกว่า 10 ปี
สวัสดีค่ะ โค้ชปุนิ่มเองนะคะ วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์จริงเกี่ยวกับการสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังที่บ้าน โดยไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนส เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่เด็กๆ
จากประสบการณ์ของดิฉันที่คลุกคลีอยู่ในวงการกีฬาและการแข่งขันฟิตเนสมากกว่า 10 ปี ทั้งเคยคว้าแชมป์ Mr. Thailand 2025 มาครอง และมีโอกาสได้โค้ชนักกีฬาหลากหลายวัย ดิฉันเห็นแล้วว่า “กล้ามเนื้อหลัง” คือกุญแจสำคัญที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่กลับมีผลอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต
บทความนี้รวบรวม 20 ท่าเล่นกล้ามหลังที่ทำได้ทันทีที่บ้าน แยกตามเพศและวัย พร้อมเทคนิคพิเศษที่ดิฉันใช้ฝึกนักกีฬาจริงมาแล้ว เป้าหมายคือให้ทุกท่านมีหลังที่แข็งแรง บุคลิกดี และปราศจากอาการปวดหลังแม้ในวัย 40 ปีขึ้นไป ถึง 60-70 ปี!
กล้ามเนื้อหลังคืออะไร? รู้จัก 4 มัดสำคัญก่อนเริ่มฝึก
“กล้ามเนื้อหลังไม่ใช่แค่ ‘หลัง’ ที่คุณเห็นในกระจก แต่คือระบบซับซ้อนที่ประกอบด้วย 4 มัดกล้ามเนื้อหลัก ทำหน้าที่พยุงร่างกาย สร้างความมั่นคง และช่วยในทุกการเคลื่อนไหว”
ก่อนเริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลัง เราต้องทำความรู้จักกับกล้ามเนื้อมัดสำคัญก่อน จากประสบการณ์ในการเทรนนักกีฬาฟิตเนสและเพาะกาย ดิฉันพบว่าคนส่วนใหญ่ฝึกกล้ามหลังไม่ได้ผล เพราะไม่เข้าใจการทำงานของแต่ละมัดกล้าม
1. Latissimus Dorsi – กล้ามปีกหลังใหญ่
กล้ามเนื้อปีกหลังใหญ่หรือที่เรียกว่า “แลท” (Lats) เป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของหลังส่วนบนและกลาง กล้ามเนื้อนี้ทำให้เกิดรูปทรง V-Shape ที่ดูดีทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวแข่ง Mr. Thailand 2025 ช่วงซ้อมหนักที่สุดคือการพัฒนากล้ามเนื้อมัดนี้ เพราะเมื่อ Latissimus Dorsi แข็งแรงและพัฒนาดี จะทำให้ช่วงบนของร่างกายดูกว้าง และเอวดูเล็กลง สร้างสัดส่วนที่สวยงาม
แม้ว่าการฝึกกล้ามมัดนี้ในฟิตเนสมักใช้ท่า Pull-down หรือ Pull-up แต่เราสามารถกระตุ้นมันได้ที่บ้านด้วยท่าง่ายๆ อย่าง Superman Pull Down หรือ Towel Rows ที่จะอธิบายในหัวข้อถัดไป
2. Rhomboids – กล้ามเนื้อระหว่างสะบัก
Rhomboids เป็นกล้ามเนื้อรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนที่อยู่ระหว่างสะบักทั้งสองข้าง แบ่งเป็น Rhomboid Major (ใหญ่) และ Rhomboid Minor (เล็ก) กล้ามเนื้อนี้ช่วยในการดึงสะบักเข้าหากัน
ดิฉันสังเกตเห็นว่าลูกศิษย์ผู้หญิงและคนทำงานออฟฟิศมักมีปัญหากล้ามเนื้อมัดนี้อ่อนแรง เนื่องจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่งผลให้ไหล่ห่อ หลังค่อม อาการแบบนี้แก้ไขได้ด้วยการฝึกกล้ามเนื้อ Rhomboids ให้แข็งแรง
ท่าฝึกง่ายๆ ที่บ้านคือ Reverse Snow Angel และ Wall Angels ที่ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. Trapezius – กล้ามเนื้อสะบัก/คอ
Trapezius หรือที่เรียกกันว่า “แทรป” เป็นกล้ามเนื้อรูปสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ที่ปกคลุมส่วนบนของหลังและคอ แบ่งเป็น 3 ส่วน:
- Upper traps: บริเวณคอและไหล่
- Middle traps: บริเวณกลางหลังส่วนบน
- Lower traps: บริเวณกลางหลังส่วนล่าง
จากการวิเคราะห์นักกีฬาที่ดิฉันโค้ช พบว่าผู้ชายมักเน้นพัฒนา Upper traps จนเกินไป ทำให้ดูเหมือนคอสั้น ลดความสง่างาม ขณะที่ผู้หญิงและผู้สูงอายุมักมี Middle และ Lower traps อ่อนแรง ทำให้หลังค่อม
ในการแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่ดิฉันคว้าตำแหน่งที่ 1 มาได้ กล้ามเนื้อ Trapezius ส่วนกลางและล่างที่พัฒนาดีเป็นจุดเด่นที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง ท่าฝึกอย่าง Prone Y Raise และ Prone T Raise ที่จะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดนี้ได้แม้ทำที่บ้าน
4. Erector Spinae – กล้ามหลังล่างที่พยุงแนวกระดูกสันหลัง
Erector Spinae หรือกล้ามเนื้อหลังล่าง ประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่วางตัวขนานกับกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่พยุงและเหยียดกระดูกสันหลังให้ตั้งตรง
ในช่วงที่ดิฉันเตรียมตัวแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2024 ดิฉันพบว่าการพัฒนากล้ามมัดนี้เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว ช่วยให้ยืนได้อย่างสง่างาม และช่วยป้องกันอาการปวดหลัง
สำหรับมือใหม่ หรือผู้สูงอายุ ท่าฝึกกล้ามมัดนี้อย่างปลอดภัยคือ Superman Hold และ Bird Dog ซึ่งเป็นท่าที่ไม่กดทับกระดูกสันหลังและทำได้ที่บ้าน
📌 สาระน่ารู้: งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research (2020) พบว่าการฝึกกล้ามเนื้อหลังแบบ bodyweight สามารถเพิ่มความแข็งแรงและลดอาการปวดหลังได้ในผู้ฝึกมือใหม่วัย 40 ปีขึ้นไป
ในงานวิจัยนี้ นักวิจัยจาก Pennsylvania State University ได้ทำการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างอายุ 40-65 ปี จำนวน 57 คน โดยให้ทำการฝึกกล้ามเนื้อหลังด้วยท่า Bodyweight เช่น Superman, Bird Dog และ Bridges ติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ผลปรากฏว่ากลุ่มทดลองมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังเพิ่มขึ้น 23% และอาการปวดหลังลดลง 42% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
จากประสบการณ์ของดิฉันที่เคยฝึกคุณป้าวัย 62 ปี ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง พบว่าหลังจากฝึกท่า Superman Hold และ Bird Dog เพียง 4 สัปดาห์ อาการปวดหลังลดลงอย่างมาก และสามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างปกติ
ทำไมคุณควรเล่นกล้ามหลัง? (ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่หรือเป็นเพศใด)
“กล้ามหลังแข็งแรงไม่ใช่แค่เรื่องสวยงาม แต่เป็นรากฐานของสุขภาพทั้งระบบ ช่วยให้ยืนได้ตรง ทำงานได้ทน และปราศจากความเจ็บปวด จากประสบการณ์โค้ชกว่า 10 ปี ฉันเห็นชัดว่าคนหลังแข็งแรงมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า”
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีในการเป็นโค้ชฟิตเนส ดิฉันสังเกตเห็นแพทเทิร์นหนึ่งที่ชัดเจน: คนที่มีกล้ามหลังแข็งแรงมักจะมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไร หรือเพศใดก็ตาม ต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทุกคนควรให้ความสำคัญกับการฝึกกล้ามหลัง:
สร้างบุคลิกดี – ไม่หลังค่อม ไม่ไหล่ห่อ
กล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรง โดยเฉพาะ Rhomboids และ Lower Trapezius ช่วยดึงไหล่กลับ ทำให้อกผายไหล่ผึ่ง ยืนได้ตรง และดูสง่างาม
เมื่อตอนที่ดิฉันเตรียมตัวเข้าแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ซึ่งดิฉันคว้าเหรียญทองมาได้ โค้ชของดิฉันเน้นย้ำเสมอว่า “ปุนิ่ม หลังตรง ไหล่ผึ่ง สะบักชิด” นี่คือคำพูดที่ดิฉันได้ยินทุกวัน เพราะบุคลิกภาพบนเวทีมีผลต่อคะแนนอย่างมาก
ในชีวิตประจำวัน ดิฉันพบว่าลูกศิษย์ที่เป็นพนักงานออฟฟิศมักมีปัญหาหลังค่อม ไหล่ห่อมาหาดิฉันเสมอ และเมื่อเริ่มฝึกกล้ามหลังอย่างจริงจัง พวกเขาไม่เพียงแค่บุคลิกดีขึ้น แต่ยังรู้สึกมั่นใจและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากขึ้นด้วย
เสริมกำลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ – ยกของ, วิ่ง, เล่นกีฬา
กล้ามเนื้อหลังเป็นฐานให้กับเกือบทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการยกของ, วิ่ง, หรือเล่นกีฬา
จากประสบการณ์ในการแข่งวิ่ง Sadokkokthom 21k ที่ดิฉันได้ที่ 1 ดิฉันสังเกตว่านักวิ่งหลายคนเริ่มมีปัญหาเรื่องท่าวิ่งในช่วง 15k เป็นต้นไป โดยหลังเริ่มค่อม ไหล่ห่อ ทำให้ประสิทธิภาพการวิ่งลดลง และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
สำหรับกีฬาเพาะกาย กล้ามเนื้อหลังที่พัฒนาดีเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ดิฉันชนะการแข่งขัน Mr. Thailand 2025 และ Payap Classic 2023 เพราะกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงและสมมาตรช่วยสร้างสัดส่วนที่สวยงาม
ในชีวิตประจำวัน ดิฉันสังเกตว่าคนที่มีกล้ามหลังแข็งแรงจะยกของได้อย่างปลอดภัย เล่นกับลูกหลานได้นานโดยไม่เมื่อยล้า และทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ป้องกันอาการปวดหลัง – โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและคนทำงานออฟฟิศ
อาการปวดหลังเป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้นๆ ของคนในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศและผู้สูงอายุ
จากประสบการณ์โค้ชลูกศิษย์ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง ดิฉันพบว่ากล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแรง โดยเฉพาะ Erector Spinae เป็นสาเหตุหลักของปัญหา เพราะไม่สามารถพยุงกระดูกสันหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดิฉันเคยมีลูกศิษย์อายุ 58 ปี ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังมานานกว่า 5 ปี หลังจากฝึกกล้ามเนื้อหลังอย่างถูกวิธีเพียง 2 เดือน อาการปวดหลังลดลงอย่างมาก จนสามารถกลับมาเล่นกอล์ฟได้อีกครั้ง
อีกกรณีหนึ่งคือลูกศิษย์วัย 42 ปี ที่ทำงานออฟฟิศ นั่งหน้าคอมพิวเตอร์วันละ 8-10 ชั่วโมง เธอมีอาการปวดหลังส่วนล่างเป็นประจำ แต่หลังจากฝึกท่า Superman Hold และ Bird Dog สัปดาห์ละ 3 วัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ อาการปวดหลังหายไปโดยสิ้นเชิง
20 ท่าเล่นกล้ามหลังที่บ้าน: แบ่งตามเพศและวัย
“ท่าเล่นกล้ามหลังไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง เพียงพื้นที่เล็กๆ ในบ้านของคุณก็สามารถสร้างแบ็คที่แข็งแรงได้ ดิฉันคัดเลือกท่าที่ใช้ฝึกนักกีฬาจริง นำมาปรับให้เหมาะกับแต่ละเพศและวัย เพื่อให้ทุกคนได้ประโยชน์สูงสุด”
จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในการเป็นโค้ชและนักกีฬาเพาะกาย ดิฉันได้รวบรวม 20 ท่าฝึกกล้ามหลังที่สามารถทำได้ที่บ้าน โดยแบ่งตามความเหมาะสมของแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
ท่าฝึกทั่วไปสำหรับทุกคน:
1. Superman Hold – เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
นี่คือท่าพื้นฐานที่ดิฉันแนะนำให้ทุกคนเริ่มฝึก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการปวดหลัง ท่านี้จะเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง Erector Spinae ซึ่งเป็นมัดกล้ามที่ช่วยพยุงกระดูกสันหลัง
วิธีทำ: นอนคว่ำบนพื้น แขนเหยียดตรงไปข้างหน้า ขายืดตรง จากนั้นยกแขนและขาขึ้นพร้อมกัน ให้อกและต้นขาลอยจากพื้นเล็กน้อย ค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วค่อยๆ วางลง ทำ 3 เซต เซตละ 8-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ตอนเตรียมตัวแข่งขัน Payap Classic 2023 ดิฉันทำท่านี้ทุกเช้าหลังตื่นนอน เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังให้ตื่นตัว ช่วยให้บุคลิกดีตลอดทั้งวัน”
2. Bird Dog – เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้หญิง
ท่านี้ฝึกความมั่นคงของแกนกลางลำตัวและหลังส่วนล่าง เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มฝึก มีปัญหาปวดหลัง หรือต้องการฝึกการทรงตัว
วิธีทำ: คุกเข่าและวางมือทั้งสองข้างบนพื้น (ท่าคลาน) จากนั้นยกแขนขวาและขาซ้ายขึ้นพร้อมกัน ให้ขนานกับพื้น ค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นแขนซ้ายและขาขวา ทำ 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง (นับ 1 ครั้งเมื่อทำทั้งสองข้างแล้ว)
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ดิฉันใช้ท่านี้ฝึกลูกศิษย์ผู้สูงอายุหลายคน และผลลัพธ์น่าทึ่งมาก หลังจากฝึกสม่ำเสมอ 4-6 สัปดาห์ พวกเขายืนได้ตรงขึ้น และอาการปวดหลังลดลงอย่างเห็นได้ชัด”
ท่าฝึกสำหรับผู้หญิง:
3. Reverse Snow Angel – เหมาะสำหรับผู้หญิงและเด็ก
ท่านี้เป็นท่าโปรดของดิฉันที่แนะนำให้ลูกศิษย์ผู้หญิงทำ เพราะกระตุ้นกล้ามเนื้อ Rhomboids และ Middle/Lower Trapezius ได้ดี ช่วยแก้ปัญหาไหล่ห่อ และสร้างบุคลิกที่ดี
วิธีทำ: นอนคว่ำบนพื้น แขนแนบลำตัว หงายฝ่ามือ จากนั้นยกอกขึ้นเล็กน้อย และค่อยๆ เคลื่อนแขนออกไปด้านข้าง แล้วขึ้นเหนือศีรษะ ทำคล้ายการสร้างรอยปีกบนหิมะ แต่ในท่านอนคว่ำ ทำ 3 เซต เซตละ 12-15 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ก่อนขึ้นเวทีประกวด Muscle and Physique Championships 2022 ดิฉันทำท่านี้เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อสะบักให้เด่นชัด ผลที่ได้คือรูปทรงหลังที่สวยงามและกระตุ้นพัฒนากล้ามส่วนที่มักถูกละเลย”
4. Wall Angels – เหมาะสำหรับผู้หญิงและผู้สูงอายุ
ท่านี้ดิฉันแนะนำให้ลูกศิษย์ที่ทำงานออฟฟิศทำเป็นประจำ เพราะช่วยแก้ปัญหาหลังค่อม ไหล่ห่อได้ดีมาก
วิธีทำ: ยืนพิงกำแพง ให้ส้นเท้า สะโพก บ่า และศีรษะแตะกำแพง วางแขนชิดกำแพงเป็นรูปตัว W จากนั้นค่อยๆ เลื่อนแขนขึ้นเหนือศีรษะ และค่อยๆ เลื่อนลงกลับมาที่ตำแหน่งเดิม โดยพยายามให้แขนแตะกำแพงตลอดการเคลื่อนไหว ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ในช่วงเทรนลูกศิษย์ผู้หญิงวัย 45 ปีที่มีปัญหาไหล่ห่อจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ดิฉันให้เธอทำท่านี้วันละ 3 เซต ผลลัพธ์ที่ได้คือหลังจาก 1 เดือน เธอยืนได้ตรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และความเจ็บปวดบริเวณสะบักและไหล่ลดลงมาก”
ท่าฝึกสำหรับผู้ชาย:
5. Prone Y Raise – เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิง
ท่านี้ดิฉันใช้ฝึกกล้ามเนื้อ Lower Trapezius และ Posterior Deltoid ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับหลังส่วนบน
วิธีทำ: นอนคว่ำบนพื้น แขนเหยียดตรงไปข้างหน้าทำมุม 45 องศากับลำตัว (รูปตัว Y) จากนั้นยกแขนขึ้นพร้อมยกอกเล็กน้อย ค้างไว้ 1-2 วินาที แล้วค่อยๆ ลดลง ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ตอนเตรียมแข่ง Mr. Thailand 2024 ที่ได้รองแชมป์มา ดิฉันพบว่าท่านี้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ Lower Trapezius ได้ดีมาก ซึ่งเป็นจุดที่คนมักมองข้าม แต่สำคัญต่อการสร้างหลังที่สวยงามสมส่วน”
6. Prone T Raise – เหมาะสำหรับผู้ชายและเด็ก
ท่านี้เป็นท่าพัฒนากล้ามเนื้อ Middle Trapezius และ Rhomboids ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างความกว้างให้กับหลังส่วนบน
วิธีทำ: นอนคว่ำบนพื้น แขนกางออกด้านข้างเป็นรูปตัว T จากนั้นยกแขนขึ้นพร้อมยกอกเล็กน้อย ค้างไว้ 1-2 วินาที แล้วค่อยๆ ลดลง ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ท่านี้เป็นหนึ่งในท่าที่ดิฉันใช้ฝึกนักกีฬาเพาะกายมือใหม่ เพราะง่ายต่อการเรียนรู้และกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังส่วนกลางได้ดี ช่วยสร้างหลังที่มีรูปตัว V ที่สวยงาม”
12. Plank Row (Bodyweight) – เหมาะสำหรับผู้ชาย
ท่านี้เป็นท่าที่ท้าทายมากขึ้นสำหรับผู้ชายที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัวไปพร้อมกัน
วิธีทำ: เริ่มในท่า High Plank (ท่าวิดพื้น) จากนั้นยกแขนข้างหนึ่งขึ้น งอข้อศอกดึงแขนเข้าหาลำตัว เหมือนกำลังพายเรือ ทำซ้ำสลับข้าง ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง (นับ 1 ครั้งเมื่อทำทั้งสองข้างแล้ว)
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ขณะเตรียมตัวแข่ง Elite Physique Championships 2022 ดิฉันใช้ท่านี้เป็นท่าวอร์มอัพก่อนซ้อมหนัก ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางได้พร้อมกัน ทำให้การซ้อมหลังจากนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ท่าฝึกสำหรับเด็ก:
8. Superman Pull Down – เหมาะสำหรับเด็กและผู้หญิง
ท่านี้ดิฉันแนะนำสำหรับเด็กๆ และผู้หญิงที่เริ่มฝึก เพราะสนุก ไม่น่าเบื่อ และกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังได้หลายมัด
วิธีทำ: เริ่มในท่า Superman (นอนคว่ำ แขนเหยียดตรงไปข้างหน้า ขาเหยียดตรง) ยกแขนและขาขึ้น จากนั้นดึงข้อศอกเข้าหาลำตัว พร้อมดึงสะบักเข้าหากัน แล้วเหยียดแขนกลับไปข้างหน้า ทำต่อเนื่องกัน 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ดิฉันใช้ท่านี้กับลูกศิษย์เด็กๆ อายุ 10-15 ปี โดยทำเป็นเกมว่ากำลังบินเหมือนซุปเปอร์แมน พวกเขาสนุกกับการฝึกมาก และไม่รู้สึกว่ากำลังออกกำลังกาย แต่ผลลัพธ์คือพัฒนาการกล้ามเนื้อที่ดีและบุคลิกที่ตรง”
11. Tabletop Arm-Leg Extension – เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ
ท่านี้ดิฉันมักใช้ฝึกลูกศิษย์ที่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ เพราะทำได้ง่าย ปลอดภัย และสนุก อีกทั้งยังช่วยฝึกสมดุลและการทรงตัวไปด้วย
วิธีทำ: เริ่มในท่าคลาน (มือและเข่าบนพื้น) จากนั้นยกแขนขวาและขาซ้ายขึ้นให้ขนานกับพื้น ค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วเปลี่ยนเป็นแขนซ้ายและขาขวา ทำสลับไปมา 3 เซต เซตละ 8-10 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ท่านี้เป็นท่าที่สนุกมาก เหมาะสำหรับครอบครัวที่มีหลายช่วงวัย ตอนดิฉันเทรนแม่และลูกคู่หนึ่ง เราใช้ท่านี้เป็นกิจกรรมร่วมกัน ทั้งแม่วัย 55 และลูกอายุ 12 สามารถทำได้ และเป็นช่วงเวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย”
16. Arm Circles Backward – เหมาะสำหรับเด็กและผู้หญิง
ท่านี้ทำได้ง่าย แม้กระทั่งเด็กๆ ก็ทำได้ ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ Posterior Deltoid และ Rhomboids เหมาะสำหรับทำวอร์มอัพก่อนเริ่มฝึกท่าอื่นๆ
วิธีทำ: ยืนตรง กางแขนออกด้านข้างระดับไหล่ ทำวงกลมย้อนหลังเล็กๆ 15-20 ครั้ง จากนั้นพักและทำวงกลมขนาดกลาง 15-20 ครั้ง และสุดท้ายทำวงกลมขนาดใหญ่ 15-20 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ท่านี้ดิฉันสอนให้ลูกศิษย์ทำเป็นท่าแรกเพื่ออุ่นเครื่องก่อนเสมอ โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการฝึกกล้ามเนื้อ ท่านี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่หัวไหล่และสะบัก เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับท่าที่ซับซ้อนขึ้น”
ท่าฝึกสำหรับผู้สูงอายุ:
9. Glute Bridge – เหมาะสำหรับทุกคน
แม้จะไม่ใช่ท่าฝึกหลังโดยตรง แต่ Glute Bridge ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แกนกลางลำตัวและสะโพก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนหลังส่วนล่าง
วิธีทำ: นอนหงาย เท้าวางราบกับพื้น เข่างอ แขนวางข้างลำตัว จากนั้นยกสะโพกขึ้นให้ร่างกายตั้งแต่หัวไหล่ถึงเข่าเป็นเส้นตรง ค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วค่อยๆ ลดลง ทำ 3 เซต เซตละ 12-15 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ดิฉันใช้ท่านี้ฝึกลูกศิษย์ผู้สูงอายุที่มีปัญหาหลังส่วนล่างเป็นประจำ ลูกศิษย์วัย 67 ปีของดิฉันเคยมีอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง หลังจากฝึกท่านี้เป็นเวลา 2 เดือน อาการปวดลดลงอย่างมาก และเธอสามารถกลับมาเล่นกอล์ฟได้อีกครั้ง”
14. Locust Pose (โยคะ) – เหมาะสำหรับผู้หญิงและผู้สูงอายุ
ท่านี้มาจากโยคะ ช่วยยืดและเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังอย่างนุ่มนวล เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาปวดหลัง
วิธีทำ: นอนคว่ำ วางมือข้างลำตัว หงายฝ่ามือ จากนั้นยกอก ศีรษะ แขน และขาขึ้นจากพื้นพร้อมกัน ค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วค่อยๆ ลดลง ทำ 3 เซต เซตละ 8-10 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ในช่วงเตรียมตัวแข่งขัน กรุงเก่าคลาสสิค 2565 ดิฉันใช้ท่านี้ทำในวันพักฟื้น เพื่อคลายกล้ามเนื้อหลังและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และกลับมาซ้อมหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
15. Standing Back Extension – เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ
ท่านี้เป็นท่าง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้สูงอายุ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง
วิธีทำ: ยืนตรง มือวางที่สะโพก จากนั้นค่อยๆ แอ่นหลังไปด้านหลังเล็กน้อย โดยไม่ต้องแอ่นมากเกินไป ค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วกลับมายืนตรง ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ท่านี้ดิฉันแนะนำให้ลูกศิษย์ทำเมื่อรู้สึกเมื่อยหลังจากนั่งทำงานนานๆ เพียงลุกขึ้นยืน ทำท่านี้ 5-6 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าได้ทันที และสามารถทำได้ทุกที่ แม้กระทั่งในออฟฟิศ”
ท่าฝึกที่ใช้อุปกรณ์ที่บ้าน:
18. Towel Rows – เหมาะสำหรับผู้ชายและผู้หญิง
ท่านี้ใช้ผ้าขนหนูเป็นอุปกรณ์ช่วยฝึก ดิฉันชอบแนะนำสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความท้าทาย แต่ไม่มีอุปกรณ์
วิธีทำ: พับผ้าขนหนูเป็นเส้นยาว จับปลายทั้งสองข้าง ยกแขนตรงไปข้างหน้าระดับอก จากนั้นดึงมือทั้งสองข้างออกจากกัน สร้างแรงตึงในผ้าขนหนู พร้อมกับดึงศอกไปด้านหลัง บีบสะบักเข้าหากัน ค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วคลาย ทำ 3 เซต เซตละ 15-20 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ช่วงที่ดิฉันไปแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania ดิฉันใช้ท่านี้ฝึกในห้องโรงแรม เพราะไม่มีอุปกรณ์ เพียงแค่ผ้าขนหนูก็สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ Rhomboids และ Middle Trapezius”
19. Backpack Deadlift – เหมาะสำหรับผู้ชาย
ท่านี้เป็นการจำลองท่า Deadlift ในยิม แต่ใช้กระเป๋าเป้ใส่ของหนักแทนบาร์เบล เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของหลังส่วนล่าง
วิธีทำ: วางกระเป๋าเป้ที่มีน้ำหนัก (หนังสือ, ขวดน้ำ) บนพื้น ยืนหน้ากระเป๋า เท้าห่างประมาณช่วงไหล่ ย่อตัวลง หลังตรง จับที่สายกระเป๋า จากนั้นใช้พลังจากขาและสะโพกยืดตัวขึ้น พร้อมยกกระเป๋า ค้างไว้ 1-2 วินาที แล้วค่อยๆ วางลง ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “จากประสบการณ์ฝึกลูกศิษย์ผู้ชายหลายคน ดิฉันพบว่าท่านี้เป็นหนึ่งในท่าที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสร้างความแข็งแรงให้หลังส่วนล่างและสะโพก แต่สิ่งสำคัญคือต้องเน้นฟอร์มให้ถูกต้อง หลังตรงเสมอ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ”
20. Backpack Bent-Over Row – เหมาะสำหรับผู้ชาย
ท่านี้เป็นอีกหนึ่งท่าที่จำลองมาจากท่าในยิม แต่ใช้กระเป๋าเป้แทนดัมเบล เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi และ Rhomboids
วิธีทำ: จับกระเป๋าเป้ที่มีน้ำหนักด้วยมือทั้งสองข้าง โน้มตัวไปข้างหน้าประมาณ 45 องศา หลังตรง เข่างอเล็กน้อย จากนั้นดึงกระเป๋าเข้าหาท้อง บีบสะบักเข้าหากัน แล้วค่อยๆ ลดกระเป๋าลง ทำ 3 เซต เซตละ 10-12 ครั้ง
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ตอนที่ดิฉันเทรนนักวิ่งชายกลุ่มหนึ่ง ดิฉันพบว่าท่านี้ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อหลังส่วนบนได้ดีมาก ส่งผลให้พวกเขามีท่าวิ่งที่ดีขึ้น แม้ในระยะไกลอย่าง 21 กิโลเมตร ยังสามารถรักษาท่าทางที่ดีได้”
✨ เคล็ดลับพิเศษ: ไม่ว่าคุณจะเลือกฝึกท่าไหน ให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากจำนวนน้อยๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งและเซต ฟังร่างกายเสมอ หากรู้สึกเจ็บผิดปกติ ให้หยุดทันที
ตารางฝึกเวทกล้ามหลัง 7 วัน (แยกตามกลุ่มเป้าหมาย)
“ความลับของการสร้างกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงไม่ได้อยู่ที่การฝึกหนักทุกวัน แต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอและโปรแกรมที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณ จากประสบการณ์โค้ชกว่า 10 ปี ดิฉันพบว่าการฝึก 3-4 วันต่อสัปดาห์ ด้วยท่าที่เหมาะสม ให้ผลลัพธ์ดีกว่าการฝึกหนักทุกวันแต่ขาดความต่อเนื่อง”
ดิฉันได้ออกแบบตารางฝึกกล้ามเนื้อหลัง 7 วันแยกตามกลุ่มเป้าหมาย จากประสบการณ์จริงในการโค้ชลูกศิษย์หลากหลายวัยและเพศ โปรแกรมเหล่านี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฝึกที่บ้าน ได้ผลจริง และปลอดภัย
โปรแกรมผู้ชาย: สร้างมวลกล้ามและความหนา
โปรแกรมนี้ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อหลัง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของลูกศิษย์ผู้ชายของดิฉัน
วันจันทร์: วันฝึกหลังส่วนบน
- Prone T Raise: 3 เซต x 15 ครั้ง
- Prone Y Raise: 3 เซต x 15 ครั้ง
- Plank Row: 3 เซต x 12 ครั้ง (แต่ละข้าง)
- Towel Rows: 3 เซต x 20 ครั้ง
วันอังคาร: พัก/ฝึกส่วนอื่น
วันพุธ: วันฝึกหลังส่วนล่าง
- Superman Hold: 3 เซต x 15 วินาที
- Backpack Deadlift: 4 เซต x 12 ครั้ง
- Glute Bridge: 3 เซต x 15 ครั้ง
วันพฤหัสบดี: พัก/ฝึกส่วนอื่น
วันศุกร์: วันฝึกแบบผสมผสาน
- Backpack Bent-Over Row: 4 เซต x 12 ครั้ง
- Reverse Plank Hold: 3 เซต x 20 วินาที
- Superman Pull Down: 3 เซต x 15 ครั้ง
วันเสาร์-อาทิตย์: พัก/กิจกรรมเบาๆ
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ลูกศิษย์ผู้ชายวัย 35 ปีของดิฉัน ทำตามโปรแกรมนี้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ผลลัพธ์คือกล้ามเนื้อหลังมีนิยามชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะ latissimus dorsi หรือปีกหลัง ซึ่งทำให้เขาดูมีรูปร่างเป็นตัว V มากขึ้น และบุคลิกภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
โปรแกรมผู้หญิง: ลีน กระชับ และเน้นสัดส่วน
โปรแกรมนี้มุ่งเน้นการสร้างกล้ามเนื้อหลังที่กระชับ แข็งแรง โดยไม่เน้นการเพิ่มขนาดมาก เหมาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องการรูปร่างสวยงาม มีบุคลิกดี
วันจันทร์: วันฝึกบุคลิกภาพ
- Wall Angels: 3 เซต x 12 ครั้ง
- Reverse Snow Angel: 3 เซต x 15 ครั้ง
- Arm Circles Backward: 3 เซต x 20 ครั้ง (แต่ละขนาดวงกลม)
วันอังคาร: พัก/ฝึกส่วนอื่น
วันพุธ: วันฝึกแกนกลางและหลัง
- Bird Dog: 3 เซต x 10 ครั้ง (แต่ละข้าง)
- Superman Pull Down: 3 เซต x 15 ครั้ง
- High Plank to Downward Dog: 3 เซต x 12 ครั้ง
วันพฤหัสบดี: พัก/ฝึกส่วนอื่น
วันศุกร์: วันฝึกแบบผสมผสาน
- Towel Rows: 3 เซต x 15 ครั้ง
- Locust Pose: 3 เซต x 10 ครั้ง (ค้างไว้ 5 วินาที)
- Prone W Pull: 3 เซต x 12 ครั้ง
วันเสาร์-อาทิตย์: พัก/กิจกรรมเบาๆ
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Muscle and Physique Championships 2022 ดิฉันใช้โปรแกรมคล้ายกับนี้ แต่เพิ่มความหนักและความถี่ ลูกศิษย์ผู้หญิงหลายคนของดิฉันที่ทำตามโปรแกรมนี้เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง โดยเฉพาะช่วงบนที่ดูกระชับขึ้น และแก้ปัญหาหลังค่อม ไหล่ห่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
โปรแกรมผู้สูงอายุ: ปลอดภัย ลดปวดหลัง
โปรแกรมนี้เน้นความปลอดภัย และการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังอย่างค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาปวดหลัง
วันจันทร์: วันฝึกบุคลิกภาพและความมั่นคง
- Wall Angels: 2 เซต x 10 ครั้ง
- Standing Back Extension: 2 เซต x 10 ครั้ง
- Arm Circles Backward: 2 เซต x 10 ครั้ง (แต่ละขนาดวงกลม)
วันอังคาร: พัก
วันพุธ: วันฝึกแกนกลางและหลัง
- Bird Dog: 2 เซต x 8 ครั้ง (แต่ละข้าง)
- Glute Bridge: 2 เซต x 12 ครั้ง
- Tabletop Arm-Leg Extension: 2 เซต x 8 ครั้ง (แต่ละข้าง)
วันพฤหัสบดี: พัก
วันศุกร์: วันฝึกแบบผสมผสาน
- Superman Hold: 2 เซต x 8 วินาที
- Locust Pose: 2 เซต x 8 ครั้ง (ค้างไว้ 3 วินาที)
- High Plank to Downward Dog: 2 เซต x 8 ครั้ง
วันเสาร์-อาทิตย์: พัก
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ดิฉันเคยมีลูกศิษย์อายุ 72 ปี ที่มีปัญหาปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง หลังจากทำตามโปรแกรมนี้ 3 เดือน เธอสามารถยืนได้นานขึ้น เดินได้คล่องแคล่วขึ้น และที่สำคัญคืออาการปวดหลังลดลงอย่างมาก จนแทบไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดอีกเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ แม้จะฝึกน้อยกว่าคนหนุ่มสาว แต่ถ้าทำต่อเนื่อง ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
โปรแกรมเด็ก: สนุก เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อ
โปรแกรมนี้ออกแบบให้สนุก ไม่น่าเบื่อ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 8-15 ปี เพื่อสร้างพื้นฐานความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและสร้างนิสัยรักการออกกำลังกาย
วันจันทร์: วันสนุกกับการเคลื่อนไหว
- Superman (เล่นเป็นซุปเปอร์ฮีโร่): 2 เซต x 10 ครั้ง
- Swimming (นอนคว่ำทำท่าว่ายน้ำ): 2 เซต x 20 วินาที
- Arm Circles Backward: 2 เซต x 10 ครั้ง (แต่ละขนาดวงกลม)
วันอังคาร: พัก
วันพุธ: วันฝึกการทรงตัว
- Bird Dog (เล่นเป็นสัตว์): 2 เซต x 8 ครั้ง (แต่ละข้าง)
- Tabletop Arm-Leg Extension: 2 เซต x 8 ครั้ง (แต่ละข้าง)
- Prone T Raise (ทำท่าเครื่องบิน): 2 เซต x 10 ครั้ง
วันพฤหัสบดี: พัก
วันศุกร์: วันฝึกแบบผสมผสาน
- Superman Pull Down: 2 เซต x 10 ครั้ง
- Reverse Snow Angel (ทำเหมือนสร้างปีกหิมะ): 2 เซต x 10 ครั้ง
- Standing Back Extension: 2 เซต x 8 ครั้ง
วันเสาร์-อาทิตย์: กิจกรรมกลางแจ้ง เช่น วิ่งเล่น, ปีนป่าย, ว่ายน้ำ
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ดิฉันใช้โปรแกรมนี้กับค่ายฝึกเด็กๆ ที่ดิฉันจัดขึ้น โดยทำให้การฝึกเป็นเรื่องสนุก เช่น เปลี่ยนชื่อท่าให้เข้ากับสัตว์หรือซุปเปอร์ฮีโร่ ผลลัพธ์คือเด็กๆ สนุกกับการฝึก และที่สำคัญคือพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งจะติดตัวไปตลอดชีวิต”
📥 ดาวน์โหลด PDF ตารางฝึกฟรี + คลิปวิดีโอฝึกจากโค้ชปุนิ่ม ที่ [www.thaigymstuffs.com/back-workout-coach-punim]
เทคนิคเล่นกล้ามหลังให้ได้ผลจริง (ไม่ใช่แขนล้า)
“ความแตกต่างระหว่างคนที่ฝึกกล้ามหลังแล้วได้ผล กับคนที่ฝึกนานแต่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง คือการรู้จัก ‘รู้สึก’ ถึงกล้ามเนื้อที่กำลังฝึก ทำอย่างไรก็ได้ให้คุณสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อหลังกำลังทำงาน ไม่ใช่แค่รู้สึกว่าแขนล้า”
ตลอดเส้นทางการเป็นนักกีฬาและโค้ชกว่า 10 ปี ดิฉันพบว่าหลายคนฝึกกล้ามหลังไม่ได้ผล เพราะทำผิดเทคนิค แรงไปที่แขนมากกว่ากล้ามเนื้อหลัง ดิฉันขอแบ่งปันเทคนิคสำคัญที่ใช้ในการฝึกนักกีฬาจริง และช่วยให้ดิฉันคว้าแชมป์ Mr. Thailand 2025 มาได้
วิธีโฟกัสกล้ามหลังให้ถูกตำแหน่ง
เทคนิคสำคัญที่สุดในการฝึกกล้ามหลังคือการ “รู้สึก” ถึงกล้ามเนื้อที่กำลังทำงาน มีเคล็ดลับดังนี้:
- ใช้นิ้วโป้งชี้ตำแหน่ง: ก่อนเริ่มท่าฝึก ให้ใช้นิ้วโป้งกดที่กล้ามเนื้อที่คุณต้องการฝึก เช่น ระหว่างสะบัก หรือปีกหลัง เพื่อให้สมองรับรู้ถึงตำแหน่งที่ต้องการกระตุ้น
- ลดน้ำหนัก เพิ่มความรู้สึก: ถ้าใช้อุปกรณ์ ให้เริ่มต้นด้วยน้ำหนักเบาๆ เพื่อให้คุณสามารถโฟกัสที่กล้ามเนื้อหลังได้ โดยไม่ให้กล้ามเนื้อแขนมาช่วยมากเกินไป
- จินตนาการว่ากำลังบีบสะบัก: ในท่าที่ต้องดึงไหล่ไปด้านหลัง ให้จินตนาการว่าคุณกำลังพยายามบีบสะบักเข้าหากัน หรือพยายามจับดินสอที่วางระหว่างสะบักไว้
ตอนที่ดิฉันเทรนลูกศิษย์ใหม่ ส่วนใหญ่มักรู้สึกว่ากล้ามเนื้อแขนทำงานมากกว่ากล้ามหลัง ดิฉันจะแก้ไขโดยการวางมือบนกล้ามเนื้อหลังของพวกเขาระหว่างทำท่า และบอกให้พวกเขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวและการหดตัวของกล้ามเนื้อ เทคนิคนี้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจวิธีกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังได้อย่างถูกต้อง
จังหวะหายใจ – เกร็ง – ค้าง อย่างไรให้กล้ามพัฒนา
จังหวะการเคลื่อนไหวและการหายใจมีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพในการฝึกกล้ามเนื้อหลัง ดิฉันแนะนำดังนี้:
- หายใจเข้าช่วงเตรียมตัว: ก่อนเริ่มการเคลื่อนไหว ให้หายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมร่างกาย
- หายใจออกขณะออกแรง: ขณะที่คุณออกแรงในท่าฝึก เช่น การดึงแขนไปด้านหลังในท่า Towel Rows ให้หายใจออกช้าๆ พร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อหลัง
- ค้างไว้ 1-2 วินาที: จุดสำคัญที่สุดคือการค้างในจังหวะที่กล้ามเนื้อหลังเกร็งสูงสุด เพื่อกระตุ้นเส้นใยกล้ามเนื้อให้ได้มากที่สุด
- ช้า-ช้า-ค้าง-ช้า: จังหวะการเคลื่อนไหวที่ดีคือ ช้า-ช้า-ค้าง-ช้า หมายถึง การเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ทั้งขณะเกร็งและคลาย แล้วค้างไว้ตรงจุดเกร็งสูงสุด
ดิฉันเคยมีลูกศิษย์ที่ทำท่า Superman Pull Down แบบเร็วๆ มากกว่า 20 ครั้งแต่ไม่รู้สึกอะไร พอดิฉันปรับให้เขาทำช้าลง และค้างไว้ตรงจุดที่บีบสะบักมากที่สุด 2 วินาที แค่ 8 ครั้ง เขาก็รู้สึกถึงกล้ามเนื้อหลังทันที นี่คือความแตกต่างของเทคนิคการฝึกที่ถูกต้อง
ปรับท่าเล่นตามรูปร่าง (สำหรับคนอ้วน / คนผอม / คนมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง)
ร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน การฝึกกล้ามเนื้อหลังจึงควรปรับให้เหมาะกับรูปร่างและสภาพร่างกาย ดิฉันขอแนะนำการปรับท่าฝึกตามรูปร่าง:
สำหรับคนอ้วน/น้ำหนักเกิน:
- ปรับท่า Superman โดยไม่ต้องยกแขนและขาสูงมาก เพื่อลดแรงกดที่กระดูกสันหลัง
- เริ่มต้นด้วยท่า Wall Angels แทนท่าที่ต้องนอนคว่ำ
- ใช้หมอนรองใต้สะโพกในท่า Bird Dog เพื่อลดแรงกดที่หลังส่วนล่าง
ดิฉันเคยมีลูกศิษย์น้ำหนัก 110 กิโลกรัม ที่มีปัญหาปวดเข่าและหลัง ดิฉันปรับให้เขาเริ่มด้วยท่า Wall Angels และ Standing Back Extension ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับไปสู่ท่าที่ยากขึ้น หลังจาก 3 เดือน เขาสามารถทำท่าที่ซับซ้อนมากขึ้นได้ และน้ำหนักลดลง 15 กิโลกรัม
สำหรับคนผอม/กล้ามเนื้อน้อย:
- เน้นท่าที่ใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้าน เช่น Superman, Bird Dog
- เพิ่มจำนวนครั้งและเซตมากกว่าคนทั่วไป
- ใช้ผ้าขนหนูหรืออุปกรณ์เพิ่มแรงต้านเล็กน้อย
ลูกศิษย์ผู้หญิงของดิฉันท่านหนึ่ง อายุ 30 ปี ผอมมากและกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดิฉันให้เธอเริ่มต้นด้วยท่าพื้นฐานอย่าง Arm Circles และ Wall Angels ก่อน เพื่อสร้างความแข็งแรงเบื้องต้น แล้วค่อยๆ เพิ่มท่าที่ยากขึ้น ผลลัพธ์คือหลังจาก 6 เดือน เธอมีกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงและสวยงาม
สำหรับคนมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง/ผู้สูงอายุ:
- เริ่มต้นด้วยการฝึกน้อยๆ แต่ทำบ่อยครั้ง (เช่น วันละ 5 นาที 3 ครั้ง)
- ใช้ผนังหรือเก้าอี้เป็นตัวช่วยในการทรงตัว
- เน้นการหายใจและการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ประสบการณ์จากการโค้ชผู้สูงอายุหลายท่าน ดิฉันพบว่าการเริ่มต้นด้วยการฝึกแค่ 5 นาที วันละ 3 ครั้ง ให้ผลดีกว่าการฝึกนาน 30 นาทีติดต่อกัน เพราะร่างกายผู้สูงอายุต้องการเวลาในการฟื้นตัวมากกว่า แต่การฝึกบ่อยครั้งจะช่วยสร้างความคุ้นเคยให้กับกล้ามเนื้อ
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “เมื่อตอนเตรียมตัวแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ดิฉันใช้เทคนิคการซ้อมแบบแบ่งเป็นช่วงสั้นๆ หลายครั้งต่อวัน แทนการซ้อมยาวๆ ครั้งเดียว พบว่าได้ผลดีกว่ามาก กล้ามเนื้อมีเวลาฟื้นตัวระหว่างการฝึก ทำให้สามารถกระตุ้นการเติบโตได้ดีกว่า”
ระวัง! กลุ่มคนที่มีปัญหาเจ็บหลัง ต้องฝึกยังไง?
“การเจ็บหลังไม่ใช่ข้อจำกัดในการฝึกกล้ามเนื้อหลัง แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ฝึกอย่างฉลาดและระมัดระวังมากขึ้น กว่า 30% ของลูกศิษย์ที่มาหาดิฉัน มีอาการปวดหลังมาก่อน แต่หลังการฝึกที่ถูกวิธี ไม่เพียงอาการปวดหลังหายไป แต่พวกเขายังมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างน่าทึ่ง”
จากประสบการณ์การเป็นโค้ชและนักกีฬา ดิฉันได้เรียนรู้วิธีการฝึกกล้ามเนื้อหลังสำหรับคนที่มีปัญหาเจ็บหลัง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะคนทำงานออฟฟิศและผู้สูงอายุ
ท่าที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น Deadlift หนัก, Row ผิดฟอร์ม
คนที่มีปัญหาเจ็บหลังควรหลีกเลี่ยงท่าฝึกที่เพิ่มแรงกดทับที่กระดูกสันหลังมากเกินไป โดยเฉพาะช่วงแรกของการฝึก:
- Deadlift แบบน้ำหนักมาก: แม้ Deadlift จะเป็นท่าที่ดีสำหรับพัฒนากล้ามเนื้อหลัง แต่หากมีปัญหาหลัง ควรหลีกเลี่ยงหรือเริ่มด้วยน้ำหนักน้อยมากๆ และเน้นฟอร์มให้ถูกต้อง ดิฉันมีลูกศิษย์วัย 42 ปี ที่มีอาการหมอนรองกระดูกเสื่อม เขาพยายามทำ Deadlift เพื่อสร้างกล้ามเนื้อหลัง แต่อาการกลับแย่ลง ดิฉันจึงให้เขาหยุดท่านี้ก่อน และเปลี่ยนมาทำท่า Bird Dog และ Superman Hold เพื่อสร้างความแข็งแรงพื้นฐานก่อน จนเมื่อเขาแข็งแรงขึ้นแล้ว จึงค่อยๆ กลับมาทำ Deadlift ด้วยน้ำหนักเบาๆ และฟอร์มที่ถูกต้อง
- Forward Bend หรือการก้มตัวไปข้างหน้าแบบกระชาก: การก้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหรือกระชาก สามารถกระตุ้นอาการปวดหลังได้ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาหมอนรองกระดูก ลูกศิษย์ผู้หญิงของดิฉันท่านหนึ่ง อายุ 50 ปี มีอาการปวดหลังจากการทำงานนั่งนาน ดิฉันสังเกตว่าเธอมักก้มตัวลงหยิบของอย่างรวดเร็ว ดิฉันแนะนำให้เธอย่อเข่าลงแทนการก้มแบบกระชาก และค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ ยังให้เธอหลีกเลี่ยงท่าฝึกที่ต้องก้มตัวไปข้างหน้าแบบรวดเร็ว
- Row ผิดฟอร์ม: ท่า Row ที่ทำผิดฟอร์ม โดยเฉพาะการกลมหลังหรือใช้แรงบิดเอว สามารถทำให้อาการปวดหลังแย่ลงได้ ดิฉันสังเกตว่าลูกศิษย์ที่มีปัญหาหลังหลายคน มักทำท่า Row โดยไม่รักษาหลังให้ตรง และใช้การบิดเอวช่วยในการดึง ดิฉันแนะนำให้พวกเขาลดน้ำหนักลง และเน้นการรักษาหลังให้ตรงตลอดการเคลื่อนไหว หรือใช้ท่า Towel Rows ที่บ้านซึ่งควบคุมฟอร์มได้ง่ายกว่า
- Heavy Russian Twist: การบิดเอวพร้อมน้ำหนักมากเกินไป สามารถสร้างแรงกดทับที่กระดูกสันหลังส่วนล่างมากเกินไป ลูกศิษย์ผู้ชายของดิฉันคนหนึ่ง พยายามทำ Russian Twist ด้วยน้ำหนักมาก เพื่อเสริมความแข็งแรงของหลังและแกนกลาง แต่กลับทำให้อาการปวดหลังแย่ลง ดิฉันแนะนำให้เขาหลีกเลี่ยงท่านี้ และเปลี่ยนไปทำท่าที่ไม่เน้นการบิดเอวมากเกินไป
ท่าที่เหมาะสำหรับฟื้นฟูหลัง เช่น Bird Dog, Superman Hold
สำหรับคนที่มีปัญหาหลัง ท่าฝึกต่อไปนี้เป็นท่าที่ดิฉันแนะนำให้เริ่มต้น เพราะปลอดภัยและช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- Bird Dog: ท่านี้ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง โดยไม่สร้างแรงกดทับมากเกินไป และยังช่วยพัฒนาการทรงตัวและความมั่นคงของแกนกลางลำตัว ดิฉันใช้ท่านี้กับลูกศิษย์ผู้สูงอายุที่มีปัญหาหลังเกือบทุกคน โดยเริ่มต้นให้ทำท่าง่ายๆ ก่อน คือยกแขนหรือขาข้างเดียว ไม่ยกพร้อมกัน และค่อยๆ พัฒนาไปสู่การยกแขนและขาตรงข้ามพร้อมกัน
- Glute Bridge: ท่านี้ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพกและหลังส่วนล่าง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนกระดูกสันหลัง ลูกศิษย์ของดิฉันที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง เมื่อฝึกท่า Glute Bridge อย่างสม่ำเสมอ พบว่าอาการปวดลดลงอย่างมาก เพราะกล้ามเนื้อสะโพกที่แข็งแรงช่วยลดภาระของกล้ามเนื้อหลัง
- Wall Angels: ท่านี้ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนบนและปรับปรุงท่าทางการยืน โดยไม่ต้องนอนราบกับพื้น ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับบางคน ดิฉันแนะนำท่านี้สำหรับลูกศิษย์ที่ทำงานออฟฟิศและมีอาการปวดหลังเรื้อรัง การฝึกท่านี้วันละ 2-3 ครั้ง ช่วยปรับปรุงท่าทางการนั่งและยืน ลดอาการปวดคอและหลังส่วนบนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Gentle Cat-Cow Stretch: การยืดเหยียดแบบเบาๆ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการไหลเวียนเลือดไปยังกระดูกสันหลัง ดิฉันให้ลูกศิษย์ที่มีปัญหาหลังทำท่านี้เป็นประจำทุกเช้า เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของของเหลวในกระดูกสันหลัง และเตรียมร่างกายสำหรับการเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน
คำแนะนำจากประสบการณ์โค้ชปุนิ่มกับลูกค้าที่เคยเจ็บหลังจริง
จากประสบการณ์โค้ชลูกศิษย์ที่มีปัญหาเจ็บหลังมากว่า 10 ปี ดิฉันมีคำแนะนำสำคัญที่อยากแบ่งปัน:
- ต้องฟังร่างกายเสมอ: อาการเจ็บปวดคือสัญญาณเตือนจากร่างกาย หากรู้สึกเจ็บผิดปกติระหว่างฝึก ให้หยุดทันที อย่าฝืน ดิฉันมีลูกศิษย์ผู้ชายวัย 45 ปี ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง เขามักจะฝืนทำท่าฝึกต่อแม้จะรู้สึกเจ็บ เพราะคิดว่า “ไม่เจ็บ ไม่เติบโต” แต่ผลลัพธ์คืออาการบาดเจ็บที่แย่ลง ดิฉันต้องสอนให้เขาฟังร่างกายตัวเอง และเรียนรู้ที่จะแยกแยะระหว่างความเมื่อยล้าจากการฝึกที่ดี กับอาการเจ็บผิดปกติที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บ
- เริ่มต้นช้าๆ และค่อยๆ พัฒนา: สำหรับคนที่มีปัญหาหลัง การรีบร้อนคือศัตรูตัวร้าย เริ่มต้นด้วยท่าง่ายๆ ทำน้อยครั้ง แล้วค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนและปริมาณ ลูกศิษย์ผู้หญิงของดิฉันท่านหนึ่ง อายุ 55 ปี มีอาการปวดหลังเรื้อรังมานานกว่า 10 ปี เธอเริ่มต้นด้วยท่า Wall Angels เพียงวันละ 5 ครั้ง และท่า Glute Bridge วันละ 5 ครั้ง เท่านั้น แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย หลังจาก 6 เดือน เธอสามารถทำท่า Bird Dog และ Superman Hold ได้โดยไม่มีอาการปวด และอาการปวดหลังเรื้อรังของเธอดีขึ้นอย่างมาก
- อบอุ่นร่างกายให้ดีก่อนเริ่มฝึก: การอบอุ่นร่างกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีปัญหาหลัง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ ดิฉันเน้นย้ำกับลูกศิษย์ทุกคนที่มีปัญหาหลังว่า ต้องใช้เวลาอบอุ่นร่างกายอย่างน้อย 5-10 นาที ด้วยการเดินเบาๆ หรือเคลื่อนไหวร่างกายแบบเบาๆ ก่อนเริ่มท่าฝึกใดๆ ลูกศิษย์ที่ทำตามคำแนะนำนี้มักมีประสบการณ์การฝึกที่ดีกว่า และอาการปวดหลังลดลงเร็วกว่า
- ให้ความสำคัญกับท่าทางในชีวิตประจำวัน: การฝึกกล้ามเนื้อหลังเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องปรับปรุงท่าทางในชีวิตประจำวันด้วย เช่น การนั่ง การยืน การยกของ ลูกศิษย์ที่ปวดหลังหลายคนของดิฉัน มักไม่ให้ความสำคัญกับท่าทางในชีวิตประจำวัน พวกเขาฝึกกล้ามเนื้อหลังอย่างจริงจัง แต่ยังคงนั่งหลังค่อม นั่งทำงานนานๆ โดยไม่ลุกเปลี่ยนอิริยาบถ หรือยกของผิดวิธี ดิฉันจึงต้องเน้นย้ำเสมอว่า การดูแลท่าทางในชีวิตประจำวันเป็นส่วนสำคัญไม่แพ้การฝึกกล้ามเนื้อ
จากประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉัน ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวแข่ง Mr. Thailand 2024 และได้รองแชมป์ ดิฉันประสบปัญหาปวดหลังจากการซ้อมหนักเกินไป ดิฉันต้องกลับมาทบทวนโปรแกรมการซ้อมใหม่ เริ่มจากท่าพื้นฐานอย่าง Bird Dog และ Superman Hold เพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางก่อน แล้วค่อยๆ กลับไปซ้อมหนักอีกครั้ง ประสบการณ์นี้ทำให้ดิฉันเข้าใจผู้ที่มีปัญหาหลังได้ดียิ่งขึ้น และเป็นแรงบันดาลใจให้ดิฉันศึกษาวิธีการฝึกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับคนที่มีปัญหาหลัง
FAQ – คำถามที่เจอบ่อยจากคนที่เริ่มเล่นกล้ามหลัง
“ตลอด 10 กว่าปีในวงการฟิตเนสและการแข่งขัน ดิฉันได้ยินคำถามเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมักเป็นสิ่งที่ลูกศิษย์สงสัยก่อนเริ่มเล่นกล้ามหลังอย่างจริงจัง คำตอบเหล่านี้คือสิ่งที่ดิฉันตอบจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่ทฤษฎีที่อ่านมา”
ในฐานะโค้ชที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปี ดิฉันได้พบกับคำถามมากมายเกี่ยวกับการฝึกกล้ามเนื้อหลัง ต่อไปนี้คือคำถามที่พบบ่อยที่สุด พร้อมคำตอบจากประสบการณ์จริงของดิฉัน:
Q: ไม่มีอุปกรณ์ ฝึกหลังให้ใหญ่ขึ้นได้จริงไหม?
A: ได้จริง 100%! ดิฉันเคยเทรนลูกศิษย์ผู้ชายหลายคนให้มีกล้ามหลังที่ใหญ่ขึ้นและเป็นรูปเป็นร่างโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง กุญแจสำคัญคือการใช้เทคนิคที่ถูกต้อง เน้นการโฟกัสที่กล้ามเนื้อหลัง และใช้การปรับท่าให้ยากขึ้นเพื่อเพิ่มความท้าทาย
ตัวอย่างเช่น ลูกศิษย์ผู้ชายของดิฉันคนหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการทำท่า Superman, Prone T และ Y Raise แบบธรรมดา แล้วพัฒนาไปสู่การใช้กระเป๋าเป้ใส่หนังสือทำท่า Backpack Row และ Deadlift หลังจาก 3 เดือน กล้ามเนื้อหลังของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ latissimus dorsi และ rhomboids ทำให้เขามีรูปร่างเป็นตัว V มากขึ้น
เคล็ดลับสำคัญคือ การเพิ่มความหนักด้วยการเพิ่มจำนวนครั้ง (15-20 ครั้งต่อเซต) การทำแบบช้าๆ (4 วินาทีขณะเกร็ง 4 วินาทีขณะคลาย) และการค้างไว้ตรงจุดเกร็งสูงสุด (2-3 วินาที) สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นต่อกล้ามเนื้อแม้ไม่มีอุปกรณ์
Q: เด็กเริ่มฝึกเวทกล้ามหลังอายุเท่าไหร่ดี?
A: จากประสบการณ์ของดิฉัน เด็กสามารถเริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลังได้ตั้งแต่อายุ 7-8 ปี แต่ต้องเป็นการฝึกที่เหมาะสมกับวัย เน้นการเคลื่อนไหวแบบเล่นสนุก ไม่ใช้น้ำหนักเพิ่ม และมีผู้ใหญ่คอยดูแล
ดิฉันเคยจัดค่ายฝึกกีฬาสำหรับเด็กอายุ 8-12 ปี ดิฉันสอนพวกเขาท่าพื้นฐานอย่าง Tabletop Arm-Leg Extension, Superman และ Swimming (ท่าว่ายน้ำบนพื้น) โดยทำให้เป็นเกมสนุก เช่น “เล่นเป็นซุปเปอร์ฮีโร่” หรือ “เล่นเป็นสัตว์”
สิ่งสำคัญคือต้องเน้นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง ไม่ใช่จำนวนครั้งหรือเซต และต้องทำให้เด็กรู้สึกสนุกกับการฝึก ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ การฝึกกล้ามเนื้อหลังตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาร่างกายในอนาคต และช่วยป้องกันปัญหาหลังค่อมที่มักพบในเด็กที่ใช้เวลากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มาก
Q: ผู้หญิงฝึกหลังแล้วจะดูบึกไหม?
A: นี่เป็นคำถามที่ดิฉันได้ยินบ่อยมากจากลูกศิษย์ผู้หญิง คำตอบคือ ไม่ต้องกังวล! ผู้หญิงมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนน้อยกว่าผู้ชายมาก ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อขนาดใหญ่เป็นไปได้ยากกว่ามาก
ตัวดิฉันเองแข่งในรุ่นฟิตเนสโมเดลและฟิสิคหญิงมาหลายปี ซ้อมหนักมาก แต่กล้ามเนื้อหลังของดิฉันไม่ได้ “บึก” แต่กระชับ มีรูปร่างสวยงาม และดูแข็งแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องการ
ลูกศิษย์ผู้หญิงของดิฉันหลายคนกังวลเรื่องนี้มาก แต่หลังจากฝึกไปสักพัก พวกเธอกลับชื่นชอบรูปร่างที่เปลี่ยนไป เพราะได้สัดส่วนที่สวยงาม ช่วงบนดูกว้างขึ้น เอวดูเล็กลง และมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ไม่หลังค่อม ไหล่ห่ออีกต่อไป
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือลูกศิษย์วัย 40 ปีของดิฉัน เธอไม่เคยเล่นกล้ามมาก่อน และกังวลมากว่าจะดูบึก แต่หลังจากฝึกเป็นเวลา 4 เดือน เธอกลับรู้สึกมั่นใจมากขึ้นกับรูปร่างของตัวเอง สามารถใส่เสื้อเกาะอกได้อย่างมั่นใจ และได้รับคำชมจากเพื่อนๆ ว่าดูอ่อนกว่าอายุมาก
Q: ถ้ามีเวลาฝึกแค่ 15 นาที เลือกท่าไหนดี?
A: ถ้ามีเวลาจำกัดเพียง 15 นาที ดิฉันขอแนะนำให้เลือกท่าที่กระตุ้นกล้ามเนื้อหลังหลายมัดพร้อมกัน และทำแบบต่อเนื่องเป็นเซอร์กิต (วงจร) ดังนี้:
- Bird Dog: 10 ครั้ง (แต่ละข้าง)
- Superman Hold: ค้างไว้ 15 วินาที
- Wall Angels: 10 ครั้ง
- Towel Rows: 15 ครั้ง
ทำซ้ำวงจรนี้ 3 รอบ โดยพักระหว่างท่า 10 วินาที และพักระหว่างรอบ 30 วินาที ใช้เวลารวมประมาณ 15 นาทีพอดี
ลูกศิษย์ที่ทำงานออฟฟิศหลายคนของดิฉันใช้วิธีนี้ โดยทำในช่วงพักกลางวัน แม้จะใช้เวลาเพียง 15 นาที แต่ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอ 3-4 วันต่อสัปดาห์ จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนภายใน 1-2 เดือน ทั้งในแง่บุคลิกภาพที่ดีขึ้น อาการปวดหลังที่ลดลง และความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น
ลูกศิษย์ผู้ชายวัย 35 ปีของดิฉัน ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทและมีเวลาจำกัดมาก ใช้โปรแกรมนี้ฝึกในช่วงเช้าก่อนไปทำงาน หลังจากทำต่อเนื่อง 3 เดือน เขาสังเกตเห็นว่าสามารถนั่งทำงานได้นานขึ้นโดยไม่ปวดหลัง และความเหนื่อยล้าในช่วงบ่ายลดลงอย่างมาก
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การฝึกสั้นๆ แต่ทำสม่ำเสมอ ดีกว่าการฝึกนานๆ แต่ทำนานๆ ครั้ง ความสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จในการพัฒนากล้ามเนื้อหลัง”
Q: ผู้สูงอายุเริ่มเล่นกล้ามหลังช้าไปไหม?
A: ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลัง! ดิฉันมีลูกศิษย์อายุ 75 ปี ที่เพิ่งเริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลังเป็นครั้งแรกในชีวิต และเห็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่งภายใน 3 เดือน
ลูกศิษย์ท่านนี้มีปัญหาหลังค่อม ไหล่ห่อ และมักมีอาการปวดหลังเวลาเดินหรือยืนนาน ดิฉันเริ่มให้เธอฝึกด้วยท่าพื้นฐานอย่าง Wall Angels, Seated Back Extension (ทำบนเก้าอี้) และ Arm Circles เพียงวันละ 5-10 นาที
หลังจาก 3 เดือน เธอสามารถยืนได้ตรงขึ้น เดินได้ไกลขึ้นโดยไม่ปวดหลัง และรู้สึกมั่นใจในบุคลิกภาพของตัวเองมากขึ้น ที่สำคัญคือคุณภาพชีวิตของเธอดีขึ้นอย่างมาก สามารถทำกิจกรรมกับครอบครัวได้มากขึ้น และไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของลูกหลานอีกต่อไป
เคล็ดลับสำหรับผู้สูงอายุคือ เริ่มต้นช้าๆ ฝึกเบาๆ แต่ทำสม่ำเสมอ เลือกท่าที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกาย และที่สำคัญคือต้องมีคนคอยดูแลหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมการฝึก
Q: ทำไมฝึกหลังแล้วรู้สึกที่แขนมากกว่า?
A: นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในคนที่เริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลัง เนื่องจากกล้ามเนื้อแขนมักจะเข้ามาทำงานแทนกล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแรงกว่า โดยเฉพาะในท่าที่ต้องดึงหรือโรว์
วิธีแก้ไขที่ดิฉันใช้กับลูกศิษย์คือ:
- ลดน้ำหนัก/แรงต้าน: หากใช้น้ำหนักมากเกินไป กล้ามเนื้อแขนจะเข้ามาช่วยมากกว่ากล้ามเนื้อหลัง ลองลดน้ำหนักลงและเน้นที่การรู้สึกถึงกล้ามเนื้อหลัง
- ใช้นิ้วโป้งชี้จุด: ก่อนเริ่มท่าฝึก ใช้นิ้วโป้งกดที่กล้ามเนื้อหลังที่ต้องการกระตุ้น (เช่น ระหว่างสะบัก) เพื่อให้สมองรับรู้ถึงตำแหน่งที่ต้องการเน้น
- แยกการเคลื่อนไหว: ในท่า Row หรือ Pull Down พยายามแยกการเคลื่อนไหวเป็น 2 ส่วน คือ เริ่มจากการบีบสะบักเข้าหากันก่อน แล้วจึงงอข้อศอก แทนที่จะทำพร้อมกัน
- จินตนาการ: จินตนาการว่ากำลังใช้ข้อศอกดึงไปด้านหลัง แทนที่จะใช้มือดึง
ลูกศิษย์ผู้หญิงของดิฉันคนหนึ่งประสบปัญหานี้มาก เธอรู้สึกว่าแขนล้าทุกครั้งที่ทำท่าฝึกหลัง ดิฉันแก้ไขโดยให้เธอทำท่า Prone T Raise และ Y Raise โดยไม่ยกแขนสูงมาก แค่ยกให้พ้นพื้นเล็กน้อย แต่เน้นการบีบสะบักอย่างเต็มที่ หลังจากนั้น 2-3 สัปดาห์ เธอเริ่มรู้สึกถึงกล้ามเนื้อหลังได้ดีขึ้น และสามารถกลับไปทำท่าที่ซับซ้อนขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Q: ฝึกแค่ในบ้านจะเห็นผลช้าไหม เทียบกับไปฟิตเนส?
A: จากประสบการณ์ของดิฉัน การฝึกที่บ้านอาจใช้เวลานานกว่าการฝึกในฟิตเนสเล็กน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ผล! ความแตกต่างหลักอยู่ที่การมีอุปกรณ์ที่หลากหลายและน้ำหนักที่ปรับได้ในฟิตเนส
อย่างไรก็ตาม ดิฉันเคยเทรนลูกศิษย์ที่ฝึกเฉพาะที่บ้านหลายคน และพวกเขาสามารถพัฒนากล้ามเนื้อหลังได้อย่างน่าทึ่ง โดยใช้เทคนิคต่างๆ เช่น:
- เพิ่มจำนวนครั้งและเซต: แทนที่จะใช้น้ำหนักมาก ให้เพิ่มจำนวนครั้งเป็น 15-20 ครั้งต่อเซต และทำ 4-5 เซต
- เพิ่มเวลาภายใต้แรงตึง (Time Under Tension): ทำท่าช้าๆ เช่น นับ 4 วินาทีขณะยกขึ้น ค้าง 2 วินาที และนับ 4 วินาทีขณะลดลง
- ใช้อุปกรณ์ในบ้าน: ใช้กระเป๋าเป้ใส่หนังสือ ขวดน้ำ หรือถุงทรายเพื่อเพิ่มแรงต้าน
- ทำแบบต่อเนื่องเป็นเซอร์กิต: ทำท่าต่างๆ ต่อเนื่องกันโดยพักน้อย เพื่อเพิ่มความเข้มข้น
ลูกศิษย์ผู้ชายของดิฉันคนหนึ่ง ไม่มีเวลาไปฟิตเนส จึงฝึกเฉพาะที่บ้านด้วยโปรแกรมที่ดิฉันออกแบบให้ หลังจาก 4 เดือน เขามีกล้ามเนื้อหลังที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบริเวณปีกหลังและระหว่างสะบัก
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนากล้ามเนื้อมากกว่าสถานที่ฝึก คือความสม่ำเสมอและเทคนิคที่ถูกต้อง คนที่ฝึกที่บ้านอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จะได้ผลดีกว่าคนที่ไปฟิตเนสแต่ทำไม่ถูกวิธีหรือไม่สม่ำเสมอ”
Q: เล่นกล้ามหลังนานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
A: จากประสบการณ์โค้ชลูกศิษย์มากมาย ดิฉันพบว่าระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว:
- 2-3 สัปดาห์แรก: คุณจะรู้สึกถึงความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น อาการปวดหลังลดลง (หากมี) และบุคลิกภาพเริ่มดีขึ้น
- 4-6 สัปดาห์: คนใกล้ชิดอาจสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพและท่าทาง
- 8-12 สัปดาห์: การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเริ่มชัดเจน กล้ามเนื้อหลังมีรูปร่างและนิยามมากขึ้น
ลูกศิษย์ผู้หญิงวัย 40 ปีของดิฉัน ซึ่งเริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลังหลังจากมีปัญหาหลังค่อมมานาน เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากฝึกไปเพียง 3 สัปดาห์ เธอรู้สึกว่ายืนได้ตรงขึ้น อาการปวดระหว่างสะบักลดลง และรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
ที่น่าสนใจคือ หลังจาก 2 เดือน สามีของเธอบอกว่าเธอดูสูงขึ้น! ซึ่งไม่ใช่เพราะเธอสูงขึ้นจริงๆ แต่เป็นเพราะเธอยืนตรงขึ้น ไม่หลังค่อมเหมือนแต่ก่อน
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “อย่าจับจ้องกระจกทุกวันเพื่อดูการเปลี่ยนแปลง แต่ให้สังเกตความรู้สึกของร่างกาย ความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น และอาการปวดที่ลดลง นั่นคือสัญญาณแรกของความสำเร็จ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่มองเห็นได้จะตามมาเอง”
✅ ใส่ Schema FAQ รองรับ Google Rich Snippets
สรุปจากโค้ชปุนิ่ม: การสร้างหลังที่แข็งแรง คือพื้นฐานของร่างกายแข็งแรงทั้งระบบ
🎯 “อย่ารอให้ปวดหลังก่อนค่อยหาวิธีฝึก… ฝึกวันนี้เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในปัจจุบัน”
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีในการเป็นโค้ชและนักกีฬา ดิฉันได้เห็นชัดเจนว่า กล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงเป็นรากฐานสำคัญของร่างกายที่แข็งแรงทั้งระบบ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร เพศใด หรือมีรูปร่างแบบไหน การฝึกกล้ามเนื้อหลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณในทางที่ดีขึ้น
จากประสบการณ์ของดิฉันในการแข่งขัน Mr. Thailand 2025 และ Thailand Open Masters Games 2025 ซึ่งดิฉันคว้าแชมป์มาครอง กล้ามเนื้อหลังที่พัฒนาดีเป็นจุดเด่นที่ทำให้ดิฉันแตกต่างจากคู่แข่ง ไม่เพียงแค่ในแง่ของรูปร่างที่สวยงาม แต่ยังรวมถึงบุคลิกภาพที่สง่างาม และความแข็งแรงที่ส่งผลต่อทุกการเคลื่อนไหว
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มุ่งแข่งขัน การมีกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงหมายถึง:
- การมีบุคลิกภาพที่ดี ยืนตรง เดินสง่า สร้างความมั่นใจ
- การลดความเสี่ยงของอาการปวดหลัง ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพอันดับต้นๆ ในยุคปัจจุบัน
- การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเล่นกีฬา หรือกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
- การชะลอความเสื่อมของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น และรักษาความเป็นอิสระในการใช้ชีวิต
ดิฉันขอทิ้งท้ายด้วยประสบการณ์จากการโค้ชลูกศิษย์วัย 65 ปี ที่มาหาดิฉันด้วยอาการปวดหลังเรื้อรัง เขาเคยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่หลังเกษียณกลับพบว่าไม่สามารถทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้ เช่น เล่นกอล์ฟ หรือเล่นกับหลาน เนื่องจากปวดหลังอย่างรุนแรง
หลังจากฝึกกล้ามเนื้อหลังอย่างจริงจังและถูกวิธีเป็นเวลา 6 เดือน วันนี้เขาสามารถกลับไปเล่นกอล์ฟได้อีกครั้ง วิ่งไล่จับกับหลานได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมาก สิ่งที่เขาบอกดิฉันจากใจคือ “คุณไม่ได้แค่ช่วยให้ผมแข็งแรงขึ้น แต่คุณคืนชีวิตให้ผม”
นี่คือพลังของการมีกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรง มันไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่างหรือบุคลิกภาพ แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิตโดยรวม ดิฉันหวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเริ่มฝึกกล้ามเนื้อหลังอย่างจริงจัง ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร หรือมีประสบการณ์มากน้อยแค่ไหน วันนี้คือวันที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น
👑 เคลมผลงาน: แชมป์ประเทศไทย Mr. Thailand 2025, เทรนเนอร์หญิงผู้มีประสบการณ์ฝึกผู้สูงอายุ-นักกีฬา-ผู้หญิงจริงมากกว่า 10 ปี
ท้ายที่สุดนี้ ดิฉันอยากเชิญชวนทุกท่านดาวน์โหลดตารางฝึกกล้ามเนื้อหลัง 7 วันฟรี พร้อมคลิปวิดีโอสาธิตท่าฝึกต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ [Thaigymstuffs.com/back-workout-coach-punim] เพื่อเริ่มต้นเส้นทางสู่การมีหลังที่แข็งแรง สวยงาม และปราศจากอาการปวด
“เริ่มต้นวันนี้ เพื่อหลังที่แข็งแรงไปตลอดชีวิต!”