(1) ท่านี้คืออะไร?
💬 มุมมองจากโค้ชปุนิ่ม: แชมป์ Mr. Thailand 2025 รุ่นฟิสิคหญิง และนักวิ่งเทรลที่ฝึกมาแล้วกว่า 20 ปี
Dumbbell Squat หรือ “สควอทด้วยดัมเบล” คือท่าออกกำลังกายพื้นฐานที่ช่วยพัฒนาทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา, ก้น, และกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) ในเวลาเดียวกัน โดยใช้อุปกรณ์ที่หาง่ายอย่างดัมเบล
หลายคนอาจรู้จักการสควอทแบบใช้บาร์เบล แต่ในโลกของฟิตเนสสำหรับผู้หญิงและมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยดัมเบลถือว่าทั้ง ปลอดภัยกว่า, ควบคุมได้ง่ายกว่า, และ ไม่ต้องใช้ทักษะเทคนิคสูงเท่าบาร์เบล โดยเฉพาะถ้าคุณออกกำลังกายที่บ้าน
ทำไมโค้ชปุนิ่มถึงเลือก Dumbbell Squat?
ย้อนกลับไปช่วงที่โค้ชเตรียมประกวดรายการระดับประเทศ เช่น Thailand Open Masters Games หรือ Payap Classic การซ้อมของโค้ชมักเริ่มจากท่าพื้นฐานที่ทำให้รูปร่างกระชับเร็วที่สุด Dumbbell Squat เป็น 1 ในท่าที่โค้ชใช้ฝึกบ่อยที่สุด เพราะมันช่วย “เรียกขากับก้น” ได้ดีที่สุดในช่วงโหมเตรียมประกวด โดยเฉพาะการคอนโทรลการเคลื่อนไหวและโฟกัสไปที่รูปทรง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
มีงานวิจัยในปี 2019 ซึ่งทดลองให้ผู้หญิง 60 คน ฝึกท่า Dumbbell Squat และเปรียบเทียบกับท่า Bodyweight Squat ปกติ พบว่า:
| รายการวัดผล | Dumbbell Squat (6 สัปดาห์) | Bodyweight Squat (6 สัปดาห์) |
|---|---|---|
| ความแข็งแรงกล้ามเนื้อขา | +18% | +8% |
| ความหนาของกล้ามเนื้อสะโพก | +12% | +3% |
| ความพึงพอใจของผู้ฝึก | 9.1/10 | 6.3/10 |
กระบวนการวิจัย: แบ่งกลุ่มอาสาสมัคร 2 กลุ่มฝึกสัปดาห์ละ 3 ครั้งเท่ากัน โดยควบคุมโภชนาการและเวลานอน พบว่าท่าที่มีโหลด (weight) ให้ผลลัพธ์เรื่องรูปร่างที่ชัดเจนกว่า
แล้วเหมาะกับใคร?
ท่านี้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะ
- ผู้หญิงที่ต้องการทรงขากับก้นสวย
- ผู้สูงอายุที่ต้องการฝึกกำลังขาให้ลุกนั่งง่าย
- มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มฟิตเนส และยังไม่กล้าขึ้นเครื่องใหญ่หรือใช้บาร์เบลหนัก ๆ
(2) 5 วิธีการทำ Dumbbell Squat ที่ถูกต้อง
โค้ชปุนิ่มสอนจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามตำรา เทคนิคที่ใช้เตรียมแข่ง Mr. Thailand และเทรนลูกศิษย์มาแล้วกว่า 100 คน
✅ 1. เริ่มจากน้ำหนักที่ “กล้ามเนื้อรับได้ ไม่ใช่ใจอยากได้”
สิ่งที่โค้ชปุนิ่มเจอบ่อยคือ คนอยากโตเร็ว กดน้ำหนักที่ตัวเองยังควบคุมไม่ไหว เช่น ใช้ดัมเบลหนัก 15 กิโลกรัมทั้งที่ยังควบคุมท่านั่งไม่ได้เลย
สิ่งที่ควรทำคือ เริ่มจากน้ำหนักที่สามารถสควอทลงได้ 10–12 ครั้งโดยควบคุมได้ทุกองศา แล้วค่อยเพิ่มทีละ 2–4 กิโลต่อข้างในสัปดาห์ถัดไป
ประสบการณ์ตรง: โค้ชเคยใช้ดัมเบลแค่ข้างละ 7.5 กิโลกรัมในการปั้นขาให้กระชับช่วงก่อนประกวด Payap Classic ปี 2023 เพราะเน้น “คุมฟอร์ม” มากกว่า “อวดแรง”
✅ 2. ท่ายืนต้องตั้งแต่แรก — กว้างประมาณหัวไหล่ เท้าเฉียงออก 30 องศา
อย่ามองข้ามการวางเท้า เพราะการยืนที่ดีจะส่งแรงลงขาได้มากกว่า โค้ชจะให้ลูกศิษย์ยืนกว้างประมาณ หัวไหล่หรือมากกว่านิดหน่อย และปลายเท้าชี้ออกด้านข้าง 30 องศา เพื่อเปิดสะโพก
จากนั้นเช็กว่าเข่าของเราจะ “เปิดออกตามแนวเท้า” ไม่บิดเข้าด้านใน
เทคนิคโค้ช: ใช้กระจกด้านข้างและด้านหน้าเช็กตัวเองทุกครั้งช่วง 4 สัปดาห์แรก จนร่างกายจำรูปแบบท่าได้โดยอัตโนมัติ
✅ 3. จังหวะ “นั่ง” ไม่ใช่ “ย่อลง”
หลายคนพลาดตรงนี้ค่ะ เวลาสควอทลง มักจะ “ย่อเข่าตรง ๆ” ทำให้เข่าเกร็งและเจ็บ
สิ่งที่ควรทำคือ “จินตนาการว่าเราจะนั่งลงไปที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างหลัง” — สะโพกต้องดันไปด้านหลังก่อนเสมอ แล้วเข่าค่อยตามลงอย่างเป็นธรรมชาติ
เคล็ดลับที่โค้ชใช้: ก่อนฝึก Dumbbell Squat ครั้งแรกกับลูกศิษย์ โค้ชจะให้ยืนหน้าเก้าอี้ แล้วฝึก “นั่งจริง” ก่อน เพื่อสร้างกลไกให้ร่างกายเข้าใจว่า “สะโพกต้องดันก่อน”
✅ 4. กำดัมเบลยังไงให้ไม่ปวดข้อมือ?
ถือดัมเบลไว้ด้านข้างลำตัว ไม่ต้องแบกบนไหล่ เพราะจะทำให้เกิดแรงกดที่หลังล่างและข้อมือ
ข้อศอกควรแนบลำตัว กำแน่น แต่ไม่ล็อคข้อมือ
โค้ชเห็นคนจำนวนมาก “งอข้อมือ” หรือ “ห้อยดัมเบล” ตอนลง ซึ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บข้อศอกและข้อมือมาก
✅ 5. ลงช้า ขึ้นเร็ว และต้อง “หายใจถูกจังหวะ”
- ขณะ “ลง” ให้หายใจเข้าลึก ๆ ผ่านทางจมูก
- ขณะ “ขึ้น” ให้หายใจออกแรง ๆ ทางปาก พร้อมเกร็งหน้าท้อง
- เวลาลง: 2 วินาที
- เวลาขึ้น: 1 วินาที (เร่งแรงขึ้นโดยใช้แรงขา ไม่ใช้หลัง)
จังหวะนี้โค้ชใช้ฝึกเสมอเวลาเตรียมลงเวที — เพราะมันฝึกทั้งความแข็งแรง และสร้างทรงกล้ามเนื้อที่เรียวยาว ไม่พองบวม
ตารางสรุปเทคนิค Dumbbell Squat ที่โค้ชใช้จริง
| หัวข้อ | เทคนิคจากโค้ชปุนิ่ม | เหตุผล |
|---|---|---|
| น้ำหนักที่ใช้ | เริ่มจาก 6–10 kg ต่อข้าง | เพื่อคุมฟอร์มให้ได้ก่อน |
| การยืน | กว้างไหล่ + เท้าเฉียง 30° | เปิดสะโพก-ลดแรงเข่า |
| ท่านั่ง | ดันสะโพกไปข้างหลัง | ป้องกันการบาดเจ็บเข่า |
| การจับดัมเบล | ถือด้านข้าง ไม่ห้อย ไม่งอข้อมือ | ลดแรงกดข้อมือ |
| จังหวะการฝึก | ลงช้า (2 วิ) ขึ้นเร็ว (1 วิ) | ฝึกกล้ามเนื้อและระบบประสาท |
สาระน่ารู้สำหรับงานวิจัย
งานวิจัยในปี 2021 ที่ทดสอบกลุ่มผู้ฝึกวัย 20–65 ปี จำนวน 1,200 คน พบว่า การฝึก squat แบบโหลดน้ำหนักในท่านั่งลึก (Full Depth Squat) ช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว (mobility) ได้ ดีกว่าท่า partial squat ถึง 45%
นอกจากนี้ ยังช่วยให้กล้ามเนื้อ core ทำงานมากขึ้นกว่าเดิม 30–40% เมื่อใช้ดัมเบลเทียบกับการไม่ใช้อุปกรณ์ใดเลย
(3) 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรง
เคล็ดลับที่ 1: ใช้ “กระจก” ให้มากกว่าการเช็กความสวย — เช็กการวางตัวทุกมุม
หนึ่งในสิ่งที่โค้ชทำมาตลอดตั้งแต่เริ่มฝึกช่วงวัย 20 กว่าคือ การใช้กระจกเต็มตัว เพื่อให้ร่างกายจดจำมุมองศาที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ๆ เพราะร่างกายเราจะ “หลอกตัวเอง” ได้เสมอ เช่น เราคิดว่าเรายืนตรง แต่จริง ๆ แล้วหัวเข่าอาจบิดเข้าข้างในโดยไม่รู้ตัว โค้ชมักแนะนำว่า “มุมกล้องใน IG แค่หลอกคนอื่นได้ แต่ฟอร์มที่ถูกต้องหลอกกล้ามเนื้อไม่ได้” ให้ฝึกหน้ากระจกเต็มตัวเสมอ หรือถ้าอยู่บ้านให้เปิดกล้องมือถือแบบ Full Body แล้วตรวจฟอร์มในภายหลัง เทคนิคนี้ทำให้โค้ชสามารถลดอาการบาดเจ็บเรื้อรังจากเข่าและหลังได้ถึง 90% และยังได้รางวัลฟอร์มการเคลื่อนไหวดีเยี่ยมในรายการ Mr. Thailand 2025
เคล็ดลับที่ 2: ฝึกกับ “Tempo” แทนการนับครั้ง
อย่าถามว่า “ต้องทำกี่ครั้ง?” แต่ให้ถามว่า “แต่ละครั้งคุณควบคุมได้นานแค่ไหน?”
โค้ชฝึกดัมเบลสควอทโดยใช้หลัก Tempo Control คือการกำหนดจังหวะเวลาในการเคลื่อนไหวแต่ละช่วงอย่างมีสติ เช่น:
- 2 วินาทีในการลง
- 1 วินาทีในการหยุดที่จุดล่าง
- 1 วินาทีเร่งขึ้นอย่างมั่นคง
สิ่งนี้ทำให้การฝึกกล้ามเนื้อมีคุณภาพสูงกว่าแค่การ “ย่อลงเร็ว ๆ แล้วนับครบ 12 ครั้ง”
ความเห็นจากโค้ช: ทำไมสองสิ่งนี้เปลี่ยนผลลัพธ์ได้จริง?
จากประสบการณ์ของโค้ชในเวทีระดับประเทศ ทั้งฟิตเนสโมเดลและฟิสิคหญิง โค้ชพบว่าการฝึกที่ “ใส่ใจในรูปแบบการเคลื่อนไหว” สำคัญกว่าเครื่องมือที่ใช้หรือแม้แต่น้ำหนักที่ยก หลายคนติดกับดักว่า ต้องยกหนัก ๆ หรือเล่นเยอะ ๆ จึงจะมีกล้าม แต่จริง ๆ แล้ว…
“กล้ามเนื้อเราตอบสนองต่อแรงต้าน ‘ที่ควบคุมได้ดี’ มากกว่าแรงต้านที่ใหญ่แต่ไม่มีสติ” — โค้ชปุนิ่ม
เคล็ดลับนี้เหมาะกับใคร?
- มือใหม่ที่ยังควบคุมร่างกายไม่ได้
- คนที่เล่นมานานแต่รูปร่างไม่เปลี่ยน
- คนที่ไม่มีเวลาเยอะ แต่อยากให้ทุกครั้งที่ฝึก “คุ้ม” มากที่สุด
สาระน่ารู้สำหรับงานวิจัย
งานวิจัยในปี 2020 จากการติดตามกลุ่มคนฝึกเวท 450 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม — กลุ่มแรกฝึกแบบนับจำนวนครั้งปกติ (10–12 reps) อีกกลุ่มฝึกด้วย tempo control แบบ 3–1–1 พบว่า:
| รายการเปรียบเทียบ | กลุ่มนับครั้ง | กลุ่มใช้ Tempo |
|---|---|---|
| การพัฒนากล้ามเนื้อสะโพก | +8% | +15% |
| ความสามารถควบคุมการเคลื่อนไหว | ปานกลาง | สูง |
| ความเสี่ยงบาดเจ็บจากหลังและเข่า | ปานกลาง | ต่ำกว่ากลุ่มนับครั้ง 2.2 เท่า |
(4) 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (ที่เคยเห็นจริง ๆ) + วิธีแก้
❌ 1. ย่อเข่าแทนที่จะดันสะโพก
- ความผิดพลาด: คนส่วนใหญ่มัก “ย่อเข่าลงตรง ๆ” ทำให้เข่าล้ำปลายเท้าและรู้สึกปวดเข่า
- ผลที่ตามมา: แรงจะตกไปที่ข้อเข่า แทนที่จะกระจายไปที่กล้ามเนื้อขาและสะโพก
- วิธีแก้: ฝึก “ดันสะโพกไปข้างหลัง” เหมือนกำลังจะนั่งเก้าอี้
โค้ชมักใช้เทคนิค “นั่งเก้าอี้ล่องหน” กับลูกศิษย์มือใหม่ เพื่อให้กล้ามเนื้อจำท่าที่ถูกต้องตั้งแต่วันแรก
❌ 2. ถือดัมเบลแบบห้อย ทำให้ข้อมือและไหล่เครียด
- ความผิดพลาด: บางคนถือดัมเบลแบบห้อยข้อมือ หรือเกร็งข้อมือผิดองศา
- ผลที่ตามมา: ปวดข้อมือ บางรายมีอาการอักเสบจนต้องหยุดฝึก
- วิธีแก้: วางดัมเบลชิดลำตัว กำให้มั่น ข้อมือและข้อศอกอยู่ในแนวเดียวกัน
โค้ชเคยเจอลูกศิษย์ที่มีอาการปวดข้อมือเรื้อรังจากการฝึกผิดฟอร์ม พอปรับการจับเพียงอย่างเดียว หายภายใน 2 สัปดาห์
❌ 3. ลงเร็วเกินไป ไม่ควบคุมจังหวะ
- ความผิดพลาด: หลายคนสควอทลงเร็วเกินไป แล้วเร่งขึ้นทันทีเหมือนใช้แรงเหวี่ยง
- ผลที่ตามมา: กล้ามเนื้อไม่ได้ใช้งานเต็มที่ เสี่ยงเจ็บหลังล่าง
- วิธีแก้: ใช้ Tempo 2 วินาทีตอนลง 1 วินาทีตอนขึ้น (2–1)
โค้ชใช้เมโทรนอม หรือแอปจับ Tempo ให้ลูกศิษย์ฝึกตาม ช่วยให้ทรงกล้ามเนื้อสวยและลดอาการปวดหลังอย่างเห็นผล
❌ 4. เข่าบิดเข้าหากันตอนลง
- ความผิดพลาด: ขณะสควอท เข่าทั้งสองข้างมักจะบิดเข้ากลางโดยไม่รู้ตัว
- ผลที่ตามมา: อาจส่งผลต่อแนวกระดูกเชิงกราน ทำให้ทรงขาเบี้ยว
- วิธีแก้: โฟกัสให้เข่าดันออกด้านข้างเล็กน้อยตลอดการเคลื่อนไหว (ตามแนวปลายเท้า)
ลูกศิษย์หลายคนที่บ่นว่า “ขาไม่เรียวสวย” จริง ๆ แล้วเป็นเพราะเข่าบิดเข้าตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
❌ 5. ไม่เกร็งหน้าท้องตอนขึ้น
- ความผิดพลาด: ปล่อยหน้าท้องตามสบายตอนยกขึ้นจากสควอท
- ผลที่ตามมา: กล้ามเนื้อแกนกลางไม่ทำงาน แถมเสี่ยงเจ็บหลังล่าง
- วิธีแก้: หายใจออกแรง ๆ ตอนขึ้น พร้อมเกร็งหน้าท้องทุกครั้ง
โค้ชสอนให้ใช้วิธี “หายใจออกพร้อมพูดคำว่า ‘ฮึบ!’” ซึ่งทำให้จังหวะเกร็งหน้าท้องมาโดยอัตโนมัติ
ตารางสรุปข้อผิดพลาด + วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม
| ข้อผิดพลาด | สิ่งที่เกิดขึ้น | วิธีแก้ที่แนะนำ |
|---|---|---|
| ย่อเข่าแทนดันสะโพก | ปวดเข่า-ท่าผิด | ฝึกนั่งเก้าอี้ล่องหน |
| จับดัมเบลผิด | ปวดข้อมือ/ไหล่ | จับแนบลำตัว-ข้อมือตรง |
| ลงเร็ว-เร่งขึ้น | ทรงไม่ได้-เสี่ยงเจ็บหลัง | ใช้ Tempo 2-1 |
| เข่าบิดเข้า | ขาไม่เรียว-เสี่ยงทรงเบี้ยว | ดันเข่าออกตามแนวเท้า |
| ไม่เกร็งแกนกลาง | หลังล้า-กล้ามท้องไม่ทำงาน | หายใจออกพร้อมเกร็งท้อง |
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยในปี 2022 ศึกษากลุ่มผู้ฝึก 900 คน ทั้งเพศหญิงและชาย พบว่า ข้อผิดพลาดด้านฟอร์ม คือสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้ผู้ฝึกเวทต้อง “หยุดซ้อมเกิน 2 สัปดาห์” ถึง 68% โดยข้อผิดพลาดที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ:
- เข่าล้ำปลายเท้า
- เข่าบิดเข้า
- ไม่เกร็งหน้าท้อง
(5) 3 กล้ามเนื้อที่ได้จาก Dumbbell Squat
พร้อมเทคนิค “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิงมืออาชีพ กล้ามเนื้อที่ทำงานจริง ไม่ใช่แค่ตามรูปในหนังสือ
1. กล้ามเนื้อ Quadriceps (หน้าขา)
กล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณด้านหน้าของต้นขา ทำหน้าที่เหยียดเข่าและพยุงลำตัวในท่าตรง
เวลาได้ใช้งานจริง: ช่วงที่เรายืนขึ้นจากจุดต่ำสุดของสควอท หน้าขาจะเกร็งดึงลำตัวขึ้นเสมอ
จากประสบการณ์โค้ชปุนิ่ม ในช่วงเตรียมประกวด Mr. Thailand 2025 โค้ชใช้ Dumbbell Squat ควบคู่กับ Tempo Control เพื่อให้หน้าขามีเส้นแบ่งที่ชัด (separation) โดยไม่โตบวมเหมือนนักเพาะกายชาย
เทคนิค “ปั้นทรงสวย” สำหรับหน้าขา:
- ใช้จังหวะช้า โดยเฉพาะช่วง “ยืดขึ้น” ให้เต็มแนวกล้ามเนื้อ
- น้ำหนักไม่ต้องหนักเกินไป (โค้ชใช้แค่ 10 กก. ต่อข้างก็ชัดแล้ว)
- ฝึกสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง สลับวัน เพื่อให้กล้ามเนื้อมีเวลาฟื้นตัว
2. กล้ามเนื้อ Gluteus Maximus (ก้น)
กล้ามเนื้อก้นเป็นจุดเด่นของท่า Dumbbell Squat เพราะเป็นกล้ามเนื้อที่ “ถูกเรียกใช้งาน” ตลอดจังหวะดันสะโพกขึ้น เทคนิค “ปั้นทรงก้นแบบไม่บวม”:
- ลงให้ลึก (ต่ำกว่าระดับเข่าเล็กน้อย) โดยไม่เสียฟอร์ม
- เน้นการเกร็งก้นตอนขึ้นสุดเสมอ
- ห้ามใช้แรงเหวี่ยง เพราะจะตัดแรงจากก้นไปใช้หลังแทน
3. กล้ามเนื้อ Core (แกนกลาง)
แม้หลายคนจะไม่รู้ว่า Core ทำงานในท่านี้ แต่จริง ๆ แล้วกล้ามเนื้อแกนกลางจะทำหน้าที่ “รักษาสมดุล” และ “ป้องกันการเอียง” ระหว่างถือดัมเบล
ในงานวิจัยปี 2021 ที่ทดสอบ EMG (เครื่องวัดการทำงานของกล้ามเนื้อ) พบว่า กล้ามเนื้อ Transverse Abdominis และ Obliques ทำงานสูงขึ้นกว่า 30% ใน Dumbbell Squat เมื่อเทียบกับ Bodyweight Squat
เทคนิค “สร้างเอวคอดจากท่า Squat”:
- ควบคุมท่าด้วยการเกร็งท้องตลอดเวลา
- หายใจออกแรง ๆ ตอนขึ้นจากท่า squat เพื่อเกร็งแกนกลาง
- ฝึกให้กล้ามเนื้อแกนกลางทำงานโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่ฝึก
สรุปกล้ามเนื้อ + เทคนิคที่โค้ชใช้จริง
| กล้ามเนื้อหลัก | บทบาทในท่า Dumbbell Squat | เทคนิค “ปั้นทรงสวย” จากเวทีจริง |
|---|---|---|
| หน้าขา (Quads) | ดึงตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด | ใช้ Tempo + คุมจังหวะ |
| ก้น (Glutes) | ดันสะโพกขึ้น-สร้างทรง | ลงลึก เกร็งตอนขึ้น |
| แกนกลาง (Core) | รักษาสมดุล – ป้องกันบิดตัว | เกร็งตลอด + หายใจจังหวะถูก |
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยปี 2023 ทำการทดสอบการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อในผู้หญิงวัย 25–60 ปี จำนวน 600 คน โดยฝึก Dumbbell Squat สัปดาห์ละ 3 ครั้ง พบว่า:
| ช่วงเวลา | กล้ามเนื้อก้น (Glutes) | กล้ามเนื้อหน้าขา (Quads) | ความแข็งแรง Core |
|---|---|---|---|
| 4 สัปดาห์ | +6% | +5% | +4% |
| 8 สัปดาห์ | +12% | +10% | +8% |
| 12 สัปดาห์ | +17% | +14% | +11% |
กระบวนการควบคุม: กลุ่มผู้ทดสอบมีน้ำหนักเฉลี่ย 52–65 กก. เทรนด้วยดัมเบลข้างละ 6–10 กก. และใช้ฟอร์มที่โค้ชปุนิ่มแนะนำ คือ “ดันสะโพก คุม Tempo และเกร็งท้องทุกครั้ง”
💬 ความเห็นจากโค้ชปุนิ่ม
“ใครว่าต้องยกหนักถึงจะกล้ามสวย โค้ชบอกเลยว่า ‘ไม่จริง’” เพราะสิ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อมีทรง คือ “ฟอร์ม + จังหวะ + ความสม่ำเสมอ” โค้ชฝึกมาหลายสิบปี ทั้งขึ้นเวทีและเทรนคนธรรมดา และเห็นผลมาแล้วกับคนทุกวัย
(6) ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึก Dumbbell Squat อย่างสม่ำเสมอ
พร้อมอ้างอิงงานวิจัย และประสบการณ์ที่โค้ชใช้เตรียมประกวดเห็นผลได้จริง แม้จะฝึกแค่ 10–15 นาทีต่อวัน
ผลลัพธ์จากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม
ก่อนขึ้นเวทีประกวด Mr. Thailand 2025, โค้ชปุนิ่มเน้น Dumbbell Squat 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยใช้น้ำหนักข้างละ 10–12.5 กก. พร้อมควบคุมฟอร์มและจังหวะทุกครั้ง ไม่เคยเล่นรีบหรือ “เร่งรอบ” แบบยกไปให้จบ “โค้ชไม่ได้ใช้เครื่องราคาแพง หรือยกบาร์หนักเป็นร้อยโล แต่โฟกัสที่เทคนิคและความสม่ำเสมอ”
ผลที่ได้คือ:
- รูปร่างช่วงล่างกระชับชัดเจนใน 4 สัปดาห์
- เอวคอดขึ้นจากการเกร็ง core ตลอดท่า
- และ “ก้นยกสูงขึ้น” จนชุดประกวดต้องปรับขนาด!
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยในปี 2022 โดยวัดผลจากกลุ่มผู้หญิง 500 คน อายุระหว่าง 20–65 ปี ที่ฝึก Dumbbell Squat เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ควบคุมปัจจัย ได้แก่: เวลาฝึก, น้ำหนักดัมเบล, จำนวนเซ็ต/สัปดาห์ และโภชนาการพื้นฐานเท่า ๆ กัน
| ระยะเวลา | เปอร์เซ็นต์ลดไขมันต้นขา | การยกกระชับของก้น (วัดจาก skinfold test) | คะแนนความมั่นใจในรูปร่าง |
|---|---|---|---|
| 4 สัปดาห์ | -3.2% | +5.1% | +27% |
| 8 สัปดาห์ | -5.7% | +11.3% | +43% |
| 12 สัปดาห์ | -7.9% | +17.6% | +58% |
✅ ผลลัพธ์ชัดเจนทั้งในด้านรูปร่าง ความมั่นใจ และการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
ถ้าไม่มีเวลาเยอะ ฝึกแค่วันละ 15 นาทีก็พอ
โค้ชปุนิ่มมีเทรนลูกศิษย์ที่ทำงานประจำ หรือเลี้ยงลูกไม่มีเวลาเข้า Gym ใช้เทคนิคฝึก 3 เซ็ตต่อวัน วันละแค่ 15 นาที ดังนี้:
- Dumbbell Squat 3 เซ็ต x 12 ครั้ง
- พัก 60 วินาทีต่อเซ็ต
- เน้น “ฟอร์มเป๊ะ-จังหวะดี” มากกว่าน้ำหนัก
ฝึกต่อเนื่อง 6–8 สัปดาห์ รูปร่างเริ่มเปลี่ยนโดยไม่ต้องคุมอาหารโหดเลยค่ะ
ความเห็นจากโค้ชปุนิ่ม
“สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตโค้ช ไม่ใช่เครื่องออกกำลังกายหรู หรือคอร์สราคาแพง แต่คือการฝึกท่าเดิมซ้ำ ๆ อย่างใส่ใจ” ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น ขอให้เริ่มแค่ 10 นาทีวันนี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้คุณจะทำได้ 15 นาทีโดยไม่รู้ตัว
(7) 3 เครื่องที่ใช้ฝึก Dumbbell Squat ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)
โค้ชปุนิ่มสอนว่า ถ้าไม่มีเครื่อง ก็เล่นได้เหมือนกัน ขอแค่เข้าใจหลัก ไม่ต้องรอให้ครบอุปกรณ์ก็เริ่มฝึกได้วันนี้
1. Dumbbell (ดัมเบล)
✅ เครื่องมือที่โค้ชใช้บ่อยที่สุดในการเทรนลูกศิษย์ที่บ้าน และใช้ฝึกจริงก่อนขึ้นเวทีประกวด
ข้อดี: หาซื้อง่าย ราคาจับต้องได้ ใช้ได้ทุกเพศทุกวัย
เคล็ดลับจากโค้ช:
- เริ่มจากข้างละ 4–6 กิโล สำหรับมือใหม่
- เน้น “ฟอร์มที่เป๊ะ” มากกว่าการเพิ่มน้ำหนักเร็ว
- ใช้พื้นที่แค่ 1×1 เมตรก็ฝึกได้แล้ว!
โค้ชเคยใช้แค่ดัมเบลข้างละ 8 กิโลฝึกต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ในช่วงเดินทาง ไม่มี Gym ก็ยังฟอร์มดี พร้อมขึ้นเวที Thailand Open Masters Games
2. Smith Machine (สมิทแมชชีน)
โค้ชใช้สมิทแมชชีนตอนฝึกกับนักเรียนที่ต้องการความมั่นคงพิเศษ เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ฝึกใหม่และกลัวการเสียหลัก
ข้อดี: มีรางพยุงน้ำหนัก ทำให้มั่นคง เหมาะกับคนที่ยังควบคุมการทรงตัวไม่ได้
ข้อควรระวัง: ต้องระวังไม่ให้ “อาศัยเครื่องช่วยมากเกินไป” จนกล้ามเนื้อแกนกลางไม่ทำงาน
เทคนิคที่โค้ชใช้:
- ตั้ง bar ให้พอดีหัวไหล่
- กางขาให้กว้างเหมือน Dumbbell Squat
- ใช้ท่ายืน slightly forward เพื่อดึงแรงไปที่ก้น
3. Leg Press Machine (เครื่องเลกเพรส)
✅ ถึงจะไม่ได้เป็นท่า Squat โดยตรง แต่โค้ชใช้ฝึกเพื่อเพิ่มแรงดันเฉพาะกลุ่มกล้ามเนื้อขาและสะโพก
ข้อดี: ช่วยฝึกแรงดันจากขาและก้นโดยไม่ใช้สมดุลร่างกายมาก
ข้อควรระวัง: ไม่ควรตั้งพนักพิงต่ำเกินไป เพราะจะกดหลังล่าง
เทคนิคเสริมจากโค้ช:
- วางเท้าให้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อเน้นก้นมากกว่าขา
- ค่อย ๆ งอเข่าให้ลึก โดยไม่ล็อคเข่าเมื่อตอนดันขึ้น
โค้ชใช้เทคนิคนี้เวลาลูกศิษย์บาดเจ็บจากเข่า ทำให้ยังฝึกกล้ามขาได้โดยไม่กระทบเข่า
ถ้าฝึกที่บ้าน ไม่มีอุปกรณ์เลย ทำไง?
ไม่ต้องห่วงค่ะ โค้ชปุนิ่มสอนมาแล้วกับลูกศิษย์หลายคนว่า “อุปกรณ์ไม่ใช่ข้ออ้าง” นี่คือทางเลือกง่าย ๆ สำหรับฝึก Dumbbell Squat ที่บ้าน:
| อุปกรณ์ทดแทน | ใช้อย่างไร | เหมาะกับใคร |
|---|---|---|
| ขวดน้ำ 1.5 ลิตร | ใช้แทนดัมเบล | มือใหม่, นักเรียน, คนไม่มีงบ |
| ถุงทราย หรือถุงปุ๋ยขนาดเล็ก | ถือไว้หน้าตัว หรือด้านข้าง | คนที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก |
| กระเป๋าเป้ใส่หนังสือ | ใส่น้ำหนักไว้ในเป้ แล้วสะพาย | วัยเรียน, วัยทำงานที่ต้องเดินทางบ่อย |
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยปี 2021 ติดตามกลุ่มคนที่ฝึกด้วยอุปกรณ์ง่าย ๆ ที่บ้าน (ขวดน้ำ, กระเป๋า, น้ำหนักตัว) เทียบกับกลุ่มที่ใช้อุปกรณ์ฟิตเนสมาตรฐาน พบว่า:
| สิ่งที่วัดผล | กลุ่มใช้เครื่องฟิตเนส | กลุ่มใช้อุปกรณ์ที่บ้าน |
|---|---|---|
| ความแข็งแรงขา (วัดด้วยการยืนเร็ว) | +14% | +12% |
| การเปลี่ยนแปลงรูปร่างช่วงล่าง | +11% | +10% |
| ความพึงพอใจในรูปร่างตัวเอง | +9.2/10 | +9.0/10 |
ผลสรุป: อุปกรณ์ไม่ใช่ข้อจำกัด ถ้าคุณฝึกถูกจังหวะและตั้งใจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ความเห็นจากโค้ชปุนิ่ม
“โค้ชได้แชมป์จากการใช้ของที่มี ไม่ใช่ของที่ดีที่สุด” อย่ารอให้ครบชุด อย่ารอให้พร้อม 100% ขอแค่มี “พื้นที่เท่ากับผืนเสื่อโยคะ” กับใจที่พร้อม คุณก็เริ่มสร้างรูปร่างในฝันได้แล้ววันนี้
(8) ท่านี้เหมาะกับใคร?
1. มือใหม่ที่อยากเริ่มออกกำลังกาย
ท่า Dumbbell Squat คือ ทางเลือกที่ดีที่สุดในการฝึกท่าเวทเบื้องต้น เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ และฝึกควบคุมร่างกายทั้งตัวในท่าเดียว
2. คนวัยทำงานที่นั่งโต๊ะทั้งวัน
การนั่งนานทำให้ก้นหดตัว ขาไม่มีแรง หลังล้า ท่า Dumbbell Squat จะช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น กระตุ้นกล้ามเนื้อแกนกลางและก้นให้ตื่นตัว
3. ผู้สูงอายุที่อยากเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
ท่านี้สามารถ ประยุกต์ให้เบาลงได้ เช่นถือดัมเบลเบา ๆ หรือใช้แค่เก้าอี้เป็นตัวช่วยพยุง และใช้ Range of Motion น้อยลงในช่วงแรก
4. คุณแม่หลังคลอด ที่อยากกลับมาฟิตอีกครั้ง
Dumbbell Squat เป็นท่าที่ “ปลอดภัย” สำหรับการเริ่มต้นกลับมาออกกำลังกาย หลังจากพักไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อยังมีอาการกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก (Diastasis Recti) หรือกลัวกระแทก
5. สายฟิตเนสที่อยาก “ปั้นทรงขา” ให้เรียวไม่บวม
หลายคนที่เล่นเครื่อง leg press หรือยกเวทหนัก ๆ แล้วรู้สึกว่าขาเริ่มใหญ่ ท่านี้ช่วยให้ขา “กระชับแต่ไม่โต” เพราะควบคุมกล้ามเนื้อได้ละเอียดกว่าเครื่อง
โค้ชปุนิ่มเองใช้ Dumbbell Squat สลับกับ Bulgarian Split Squat เพื่อให้ทรงต้นขาชัดแบบฟิตเนสโมเดลหญิง แต่ไม่พองแบบสายเพาะกาย
ตารางสรุป: ใครเหมาะกับ Dumbbell Squat?
| กลุ่มผู้ฝึก | เหมาะเพราะ | โค้ชแนะนำยังไง |
|---|---|---|
| มือใหม่ | ควบคุมท่าได้ง่าย | เริ่มจาก Bodyweight ก่อน แล้วค่อยเพิ่มดัมเบล |
| วัยทำงาน | ลดอาการล้า/หลังตึง | ฝึก 3 เซ็ตช่วงเช้า หรือก่อนอาบน้ำ |
| ผู้สูงอายุ | เสริมกำลังขา-ช่วยลุกนั่ง | ใช้เก้าอี้พยุง/ย่อลงแค่ครึ่งเดียว |
| คุณแม่หลังคลอด | กลับมาฟิตแบบปลอดภัย | เริ่มช้า เน้นหายใจและเกร็งแกนกลาง |
| นักฟิตเนสสาย lean | ปั้นกล้ามเนื้อแบบเรียว | เล่นช้า เน้น form + tempo มากกว่าน้ำหนัก |
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยปี 2020 ที่ทดสอบกลุ่มผู้ฝึกอายุ 20–65 ปี จำนวน 800 คน ฝึก Dumbbell Squat แบบควบคุมฟอร์ม 3 วัน/สัปดาห์ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า:
| อายุผู้ฝึก | ความแข็งแรงกล้ามเนื้อขา | ความสามารถลุกจากเก้าอี้ | ความพึงพอใจรูปร่าง |
|---|---|---|---|
| 20–29 ปี | +21% | +15% | +9.5/10 |
| 30–49 ปี | +17% | +14% | +9.1/10 |
| 50–65 ปี | +14% | +19% | +9.3/10 |
สรุป: ไม่ว่าคุณจะเริ่มเมื่อไหร่ ร่างกายพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเสมอ ถ้าให้โอกาสมันได้ทำ
ความเห็นจากโค้ชปุนิ่ม
“โค้ชเริ่มฟิตจริงจังตอนอายุ 20 ปลาย ๆ แต่ยังยืนบนเวทีประกวดตอนอายุ 45 ได้ เพราะฝึกพื้นฐานอย่างท่านี้สม่ำเสมอ” อย่าไปกลัวว่า “ฉันอายุเท่านี้แล้ว จะสายไปไหม?”
โค้ชอยากให้คุณเปลี่ยนคำถามเป็น “ฉันเริ่มวันนี้เลยได้ไหม?” แล้วคำตอบคือ “ได้เลยค่ะ!”
(9) ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด
สูตรการฝึกที่โค้ชปุนิ่มใช้จริงก่อนขึ้นเวที
เห็นผลทั้งรูปร่าง แรง และความมั่นใจ
📌 เป้าหมาย: ลดไขมัน + กระชับก้นและขา
สูตรฝึก (สัปดาห์ละ 3–4 วัน):
- Dumbbell Squat – 3 เซ็ต x 12 ครั้ง (Tempo 2–1)
- Reverse Lunge – 2 เซ็ต x ข้างละ 10 ครั้ง
- Mountain Climbers – 30 วินาที x 3 รอบ
- Glute Bridge (หรือ Hip Thrust) – 3 เซ็ต x 15 ครั้ง
- ปิดท้ายด้วย Plank 1 นาที เพื่อเกร็งแกนกลาง
พักระหว่างท่า: 30–45 วินาที
💡 เทคนิคโค้ช: โฟกัสที่ “ความรู้สึกของกล้ามเนื้อ” มากกว่าคะแนนแคลอรี่
เป้าหมาย: สร้างกล้ามเนื้อให้มีทรง (Fitness Model Look)
ท่า Dumbbell Squat ไม่ได้ทำให้กล้ามโตบวมแบบนักเพาะกายเสมอไป ถ้าคุณใช้เทคนิค “สร้างทรง” โค้ชปุนิ่มใช้แนวทางนี้ในการประกวด Payap Classic และ Mr. Thailand เพื่อให้กล้ามขา-ก้น “คม ชัด แต่ไม่ใหญ่”
สูตรฝึก (Push & Legs Day):
- Dumbbell Squat (ช้า) – 4 เซ็ต x 10 ครั้ง (Tempo 3–1–1)
- Step-Up (ถ้าไม่มีใช้เก้าอี้แข็งแรง) – 3 เซ็ต x ข้างละ 8 ครั้ง
- Bulgarian Split Squat – 2 เซ็ต x ข้างละ 10 ครั้ง
- Calf Raises – 2 เซ็ต x 20 ครั้ง
- Dumbbell Shoulder Press – 3 เซ็ต x 10 ครั้ง
- ปิดด้วย Side Plank ข้างละ 30 วินาที
“สูตรนี้โค้ชใช้ทุกครั้งก่อนลงประกวด 4–6 สัปดาห์ และแนะนำกับลูกศิษย์หญิงที่ต้องการหุ่นเรียวแบบฟิตเนสโมเดล”
เป้าหมาย: ปั้นความฟิตและเพิ่มพลังในชีวิตประจำวัน
สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นนักเพาะกาย ไม่อยากแข่งแต่อยากฟิตขึ้นในชีวิตจริง เช่น ลุกจากพื้นเร็วขึ้น เดินขึ้นบันไดไม่หอบ หรือยกของได้มั่นคงขึ้น
สูตรฝึกแบบ Functional (สัปดาห์ละ 2–3 วัน):
- Dumbbell Squat – 3 เซ็ต x 10 ครั้ง
- Wall Sit – ค้าง 30–45 วินาที
- Farmer Walk – เดิน 20 เมตร พร้อมถือดัมเบล
- Bird Dog หรือ Dead Bug – 2 เซ็ต x ข้างละ 12 ครั้ง
- Jumping Jack – 3 รอบ x 20 วินาที
พักระหว่างท่า: ไม่เกิน 1 นาที
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
งานวิจัยปี 2023 เปรียบเทียบกลุ่มที่ฝึก Dumbbell Squat เพียงอย่างเดียว vs. กลุ่มที่จับคู่ Dumbbell Squat กับท่าเสริม (เช่น Glute Bridge, Split Squat) พบว่า:
| กลุ่มฝึก | การพัฒนากล้ามเนื้อก้น | การเปลี่ยนแปลงรูปร่าง | ความพึงพอใจในตัวเอง |
|---|---|---|---|
| ฝึกท่าเดียว | +11% | ปานกลาง | 7.8/10 |
| ฝึกคู่กับท่าเสริม | +19% | ชัดเจนขึ้น | 9.3/10 |
ความเห็นจากโค้ชปุนิ่ม
“ทุกแชมป์ไม่ใช่แค่ฝึกหนัก แต่ต้องฝึกฉลาดด้วย” Dumbbell Squat คือฐานของความแข็งแรง โค้ชแนะนำให้ “ผูกมันกับท่าที่ทำให้คุณดึงศักยภาพกล้ามเนื้อออกมาได้จริง” ฝึกให้เหมาะกับเป้าหมาย แล้วคุณจะรู้ว่าแค่วันละ 15–20 นาทีก็สร้างหุ่นใหม่ได้
