Plank ไม่ใช่แค่ลดพุง! เคล็ดลับ Core แน่น บุคลิกดี ไม่ปวดหลัง จากโค้ชตัวจริง

[1] Plank ท่านี้คืออะไร?

มุมมองจากโค้ชปูนิ่ม ผู้ประกวดเพาะกายระดับประเทศ และนักวิ่งสายเทรล

“ท่าแพลงก์เนี่ยนะ… อย่าดูถูกค่ะ!” โค้ชพูดเลย เพราะนี่คือหนึ่งในท่าที่โค้ชใช้เตรียมตัวประกวด Mr. Thailand 2025 และใช้กับลูกศิษย์วัย 40+ ที่ไม่อยากเล่นอะไรยุ่งยากแต่ก็อยาก “หน้าท้องเฟิร์ม–หลังไม่พัง”

ท่า Plank หรือที่หลายคนเรียกว่า “ท่าลดพุง” จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ลดพุงค่ะ แต่มันคือการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวทั้งหมด (Core) ตั้งแต่หน้าท้อง กล้ามเนื้อหลังลึก ไปจนถึงไหล่และสะโพก ซึ่งมีประโยชน์มากต่อ “การยืน การเดิน การยกของ” และช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ โดยเฉพาะในคนวัย 40+ ที่เริ่มมีอาการปวดหลัง หรือรู้สึกว่ายืนแล้วหลังแอ่น

โค้ชปูนิ่มเล่น Plank ตั้งแต่สมัยวิ่งเทรลใหม่ ๆ ที่เขาใหญ่ตอนปี 2019 เพราะตอนนั้นรู้เลยว่า ถ้ากล้ามเนื้อ Core ไม่แข็งแรง เราจะ “ทรงพัง” ตอนลงเขา และเจ็บหลังได้ง่ายมาก

ในเวทีประกวดเพาะกาย โค้ชเองก็ใช้ Plank เป็นหนึ่งในท่า Warm-up ก่อนซ้อมจริง เพราะมันช่วย “ล็อกแกนกลาง” ให้เราเก็บหน้าท้องได้ดี และเวลาถ่ายรูปโชว์กล้ามช่วงเอวจะเห็นเส้นชัดกว่าเดิม

ทำไมท่านี้จึงกลายเป็นท่าอันดับหนึ่งที่โค้ชมักสอนลูกศิษย์ทุกวัย?

เพราะว่า…

  • ไม่ต้องใช้อุปกรณ์
  • ปลอดภัยแม้กับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน
  • เห็นผลเรื่อง “กระชับ” ได้ไวที่สุดภายใน 4-6 สัปดาห์
  • และเป็นท่าที่ “ฝึกความอดทน” ได้อย่างดี เพราะใครที่ Plank ครั้งแรกแล้วอยู่ได้เกิน 30 วินาทีโดยไม่สั่น โค้ชขอปรบมือให้เลย!

Plank ไม่ใช่แค่ “ท่าลดพุง” แต่คือท่าป้องกันหลังพังในระยะยาวและนั่นคือเหตุผลที่โค้ชใช้ท่านี้มาเกิน 20 ปีค่ะ ตั้งแต่ยังอายุ 20 กว่า ๆ จนถึงวันนี้ที่ขึ้นเวทีระดับประเทศตอนอายุ 45 ก็ยังไม่เคยเลิกใช้เลย


[2] 5 วิธีการทำที่ถูกต้อง

โค้ชปูนิ่มสอนจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามตำรา
เพราะถ้าทำผิด ท่านี้จะไม่เวิร์ก และอาจปวดหลังเพิ่มได้!

Step-by-step วิธีทำท่า Plank ที่ถูกต้อง (แบบโค้ชปูนิ่ม)

โค้ชไม่ได้ให้ทำแค่ “ยืนเกร็งเฉย ๆ” แต่ต้องเข้าใจ “ภายในร่างกายตัวเอง” ด้วย

Step 1: เริ่มจากพื้นฐานที่มั่นคง — ข้อมือ/ศอกวางตรงไหล่

ถ้าคุณเป็นมือใหม่ ให้เริ่มจากท่า Forearm Plank หรือ “แพลงก์บนศอก” เพราะจะลดแรงกดจากข้อมือ ซึ่งโค้ชใช้ท่านี้สอนลูกศิษย์วัย 50+ ทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาข้อมืออักเสบจากงานออฟฟิศหรือต้องใช้เมาส์เยอะ ๆ

  • ข้อศอกต้องอยู่ใต้หัวไหล่ตรง ๆ
  • ไม่กางศอก เพราะจะทำให้ลำตัวพังทลายตอนเกร็ง
  • ฝ่ามือแตะพื้น หรือจับกำเบา ๆ ก็ได้

จากโค้ชปูนิ่ม:

หลายคนพยายาม “เกร็งตัว” ตั้งแต่เริ่ม จนลืม “จัดโครงสร้าง” โค้ชเคยเจอลูกศิษย์อายุ 60 ทำได้แค่ 5 วินาทีตอนเริ่ม แต่พอจัดศอกและหลังให้ตรง อยู่ได้เกือบนาทีใน 3 วันแรก!

Step 2: ขาเหยียดตรง ส้นเท้ากดลง — อย่าแอ่น อย่าลอย!

จุดสำคัญของการ Plank คือ “ลำตัวต้องเป็นเส้นตรง” ตั้งแต่ศีรษะถึงส้นเท้า อย่าทิ้งสะโพกลงหรือยกก้นขึ้นสูง

  • เหยียดขาตรง เกร็งหน้าขาให้แน่น
  • ส้นเท้าควรพยายามดันไปด้านหลัง เพื่อยืดตัวและกระตุ้น Core มากขึ้น
  • ก้นต้องอยู่ระดับเดียวกับไหล่ ไม่งั้น Core ไม่ได้ทำงาน!

จากเวที:

บนเวทีประกวดโค้ชใช้เทคนิค “ดันส้นเท้า” กับ “เกร็งหน้าขา” เพื่อกระชับลำตัวและล็อกหน้าท้อง ทำให้เส้นเอวชัดขึ้นมาก โค้ชได้ที่ 1 เวที Payap Classic 2023 ก็เพราะ Plank + เทคนิคนี้

Step 3: เก็บหน้าท้องเหมือนถูกชก — “ดูดสะดือเข้า” ไม่ใช่แค่เกร็ง

ตรงนี้สำคัญที่สุด และเป็น “จุดพลาด” ของคนส่วนใหญ่! การ Plank ไม่ใช่แค่เกร็งหน้าท้องเฉย ๆ
แต่ต้อง ดูดสะดือเข้าแน่น ๆ เหมือนมีคนจะชกท้องเรา

  • หายใจเข้า → เกร็งหน้าท้อง
  • หายใจออก → ดูดสะดือเข้าหาหลัง

Tips ที่โค้ชใช้จริง:

ตอนโค้ชฝึกเพื่อขึ้นเวที Mr.Thailand 2024 โค้ชใช้เทคนิค “Plank + ดูดสะดือ” ทุกเช้า หลังคาร์ดิโอ โดยวัดจากกระจกว่าท้องแบนแค่ไหน ใช้เวลาฝึกแค่ 60 วินาที ก็รู้เลยว่าทำถูกหรือไม่
ถ้าดูดสะดือไม่เป็น ลองนอนหงายแล้วเอามือวางบนท้อง → หายใจเข้า-ออกจนรู้สึกว่า “ท้องแฟบลง” — แบบนี้แหละใช่เลย

Step 4: “เกร็งก้น” ด้วยเสมอ

คนทั่วไปมักมองข้ามการเกร็งก้น (glutes) เวลาแพลงก์ โค้ชบอกเลยว่าผิดมาก!
เพราะถ้าคุณไม่เกร็งก้น → สะโพกจะตก → หลังจะแอ่น → Core จะไม่ทำงานเต็มที่

  • เกร็งก้นไว้เสมอเหมือนบีบเหรียญไว้ระหว่างแก้มก้น
  • อย่าเกร็งแค่ท้อง เพราะโครงสร้างไม่สมดุล

Step 5: สายตาตรง ไม่ก้ม-ไม่เงย

ตำแหน่งคอมีผลต่อแนวกระดูกสันหลัง ถ้าก้มหน้ามากเกินไป หรือเงยเกินไป จะทำให้หลังแอ่นหรือคอตึง

  • สายตาให้มองพื้นห่างออกไปประมาณ 1 ฟุต
  • คออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง ไม่ก้ม ไม่เงย
  • อย่าเผลอกัดฟันหรือตั้งไหล่ ให้ผ่อนคลายแต่มั่นคง

จากการประกวด:

ตอนถ่ายรูปเก็บกล้าม โค้ชฝึก Plank แบบ “ล็อกคอ” และฝึกการหายใจไปพร้อมกัน เพราะมันช่วยให้ไลน์ของคอสวย และลดการเกร็งที่ไม่จำเป็น

ตารางสรุปเคล็ดลับ Plank แบบเข้าใจง่าย

ลำดับ จุดโฟกัส ทำไมต้องใส่ใจ เคล็ดลับจากโค้ชปูนิ่ม
1 ศอกตรงใต้หัวไหล่ เพื่อให้ลำตัวมั่นคง ไม่ล้ม อย่ากางศอก จัดให้พอดี
2 ขาตรง ส้นเท้ายืด เพื่อให้ Core ทำงานเต็มที่ ดันส้นเท้าหลังเหมือนจะเตะกำแพง
3 ดูดสะดือเข้า ทำให้หน้าท้องกระชับจริง หายใจออกแรง ๆ แล้วดูดสะดือเข้า
4 เกร็งก้น ป้องกันหลังแอ่น สะโพกตก บีบเหมือนหนีบเหรียญไว้
5 คอตรง เพื่อให้หลังไม่แอ่น มองพื้นห่าง 1 ฟุต ไม่เงย ไม่ก้ม

หากทำได้ครบ 5 ข้อนี้ คุณจะสามารถ Plank ได้อย่างปลอดภัย เห็นผลจริง และไม่เจ็บหลัง ไม่ว่าคุณจะอายุ 20 หรือ 55!


[3] 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรง

สิ่งที่โค้ชปูนิ่มใช้ในการฝึกซ้อมจริง ก่อนขึ้นเวทีและสนามแข่ง

เคล็ดลับที่ 1: ฝึก Plank ตอนหัวใจเต้นแรง (หลังคาร์ดิโอ)

นี่คือหนึ่งในเทคนิคที่โค้ชใช้ก่อนขึ้นเวทีประกวดเพาะกายระดับประเทศ เช่น Payap Classic หรือ Mr. Thailand โดยเฉพาะช่วง “คาร์ดิโอเช้า” ที่ต้องเร่งเบิร์นไขมัน เพราะอะไร?

เพราะตอนที่ร่างกายเพิ่งคาร์ดิโอเสร็จ หัวใจจะยังเต้นแรง กล้ามเนื้อจะ “ตื่นตัวสูงสุด” และระบบหายใจทำงานเต็มที่ ถ้าเราเข้า Plank ในช่วงนี้ → ร่างกายจะรีบ “หายใจลึก” → ดึง Core มาทำงานได้ดีขึ้น

โค้ชใช้สูตรนี้กับลูกศิษย์อายุ 44 ที่เพิ่งเริ่มเล่นฟิตเนส เขาบอกว่า: “แค่เดินเร็วบนลู่วิ่ง 10 นาที แล้วลงมา Plank ต่อ 30 วินาที รู้เลยว่าหน้าท้องเกร็งจริง ๆ ไม่ต้องยกเวทก็รู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนแล้ว”

เคล็ดลับย้ำอีกครั้ง:

  • ทำคาร์ดิโอเบา ๆ 8-10 นาที (เดินเร็ว หรือปั่นจักรยาน)
  • ต่อด้วย Plank แบบ Full Tension = เกร็งทั้งท้อง ก้น ขา
  • อยู่ให้ได้ 30 วินาที–1 นาทีพอ อย่าฝืน
  • ทำ 2–3 เซต ไม่ต้องเยอะ แต่ต้อง “ตั้งใจเกร็ง”

เคล็ดลับที่ 2: ฝึกแบบ Superset ร่วมกับท่า Posture แก้หลังค่อม

หนึ่งในปัญหาหนักของคนวัยทำงานคือ “หลังค่อม–คอยื่น–พุงล้ำ” โค้ชเจอมาหลายเคสมาก จึงออกแบบให้ลูกศิษย์ Plank สลับกับท่ากางแขน–ยืดอก (Scapular Retraction) เพื่อเปิดช่วงอกและกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังส่วนบนให้กลับมาใช้งานร่วมกัน

ชุดที่โค้ชใช้จริง (Superset):

  1. Plank 40 วินาที
  2. Wall Angel หรือ Scapula Slide 10 ครั้ง
  3. พัก 45 วินาที → ทำ 3 รอบ

ผลลัพธ์:

  • ช่วงอกเปิดมากขึ้น
  • ปรับสมดุลการใช้กล้ามเนื้อหน้าหลัง
  • ทรงตัวดีขึ้นแบบไม่ต้อง “พยายามยืดหลังตลอดเวลา”
  • กล้ามหน้าท้องกระชับขึ้นเพราะทำงาน “ร่วมกับหลัง” ได้ถูกต้อง

เทคนิคนี้โค้ชใช้ตอนเตรียมขึ้นเวที Elite Physique USA ปี 2022 เพราะต้องโชว์หุ่นข้างลำตัวที่เห็นไลน์เอว-แผ่นหลังชัด

Tips ที่คนทั่วไปมักมองข้าม:

Plank ไม่ใช่ท่าเดี่ยว ๆ ค่ะ ถ้าคุณจับมันไป “ประกบ” กับท่าที่ช่วยเปิดอก–ปรับ Posture คุณจะเห็นผลไวขึ้นอีกเท่าตัว
ลองคิดดูสิคะ: คุณยืดตัวดีขึ้น → หายใจดีขึ้น → Core ทำงานดีขึ้น → เบิร์นดีขึ้น
ทั้งหมดเชื่อมโยงกันหมดค่ะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ตารางสูตรฝึกแบบโค้ชปูนิ่ม (เวอร์ชันจริงจากช่วงเตรียมแข่ง)

วัน คาร์ดิโอเบา ๆ Plank ท่าประกบ Superset
จันทร์ เดินเร็ว 10 นาที Plank 3 เซต x 40 วินาที Scapula Slide 10 ครั้ง
พุธ ปั่นเบา 8 นาที Plank 2 เซต x 1 นาที Wall Angel 10 ครั้ง
ศุกร์ เดินบนชัน 6% 12 นาที Plank 3 เซต x 30 วินาที ยืดอก + Dumbbell Fly ท่านอนเบา ๆ

บทนี้คือสิ่งที่ “โค้ชตัวจริง” ใช้กับร่างกายตัวเองในการเตรียมเวทีใหญ่ค่ะ ไม่ใช่แค่แนวคิดลอย ๆ แต่เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากการฝึกจริง


[4] 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (ที่เคยเห็นจริง ๆ) + วิธีแก้

❌ ข้อผิดพลาดที่ 1: “ทำตัวแอ่น” เพราะไม่เกร็งก้น

นี่คือความผิดพลาดอันดับหนึ่งเลยค่ะ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัย 30+ ที่มีอาชีพนั่งทำงานนาน ๆ หรือเคยมีอาการปวดหลังช่วงล่าง

  • ถ้าไม่เกร็งก้น → สะโพกจะตก → หลังแอ่น → แทนที่จะฝึก Core กลายเป็นฝึก “เส้นประสาท”
  • โค้ชเคยเจอลูกศิษย์อายุ 43 ปวดหลังหลัง Plank แค่ 15 วินาที พอตรวจดู พบว่าสะโพกตกแบบชัดเจน

วิธีแก้:

  • ให้ “เกร็งก้นเหมือนบีบเหรียญไว้” ตอนเข้า Plank
  • ลองถ่ายวิดีโอตัวเองด้านข้างดูว่า “หลังตรงจริงไหม?”
  • ถ้าไม่มั่นใจ ให้เริ่มจากท่า Knee Plank (แพลงก์วางเข่า) เพื่อฝึกควบคุมสะโพกก่อน

❌ ข้อผิดพลาดที่ 2: “พยายามทำนาน” แต่ท่าไม่ถูก

หลายคนภูมิใจว่า Plank ได้ 2 นาที 3 นาที

แต่พอถ่ายคลิป → ตัวแอ่น ท้องไม่เกร็ง คอเงย สะโพกตก

จำไว้ค่ะ “Plank นาน แต่ท่าผิด = ไม่เกิดอะไรขึ้น”

โค้ชขอยืนยันว่า Plank แค่ 30 วินาทีแบบแน่น ๆ จะได้ผลมากกว่า 3 นาทีที่ไม่เกร็งอะไรเลย

วิธีแก้:

  • เน้น “คุณภาพ” ไม่ใช่ “ความทน”
  • เริ่มจาก 20–30 วินาที → ทำ 3 เซต → จบ
  • เพิ่มเวลาเฉพาะเมื่อแน่ใจว่า ทุกกล้ามเนื้อเกร็งพร้อมกัน

❌ ข้อผิดพลาดที่ 3: มองคอผิด มองพื้นผิด → “ปวดต้นคอ”

คนวัย 40+ มักจะก้มหน้ามากเกินไปตอน Plank หรือเงยไปดูนาฬิกาบ่อย ๆ

ทำให้กล้ามเนื้อคอตึง–ปวดบ่า–หรือรู้สึกเวียนหัว

วิธีแก้:

  • มองพื้นห่างจากศีรษะประมาณ 1 ฟุต
  • คอต้องอยู่แนวเดียวกับหลัง
  • ถ้าเริ่มรู้สึกตึงคอเร็ว ให้วางหมอนผ้าขนหนูไว้รองใต้ศอกเล็กน้อยเพื่อปรับระดับ

Insight จากสนามแข่ง: โค้ชเองเคยพลาดจุดนี้ตอนฝึกหนักช่วง Payap 2022 → ทำให้ต้องพักคอไป 1 สัปดาห์เต็มก่อนแข่ง

❌ ข้อผิดพลาดที่ 4: หายใจผิด “กลั้นหายใจ”

พอเกร็งหนัก ๆ หลายคนลืมหายใจไปเลยค่ะ!

ผลคือ หน้ามืด เวียนหัว และหมดแรงไวขึ้นเยอะ

จำไว้เสมอว่า “การเกร็งกล้ามเนื้อที่ดีที่สุด = ต้องมีลมหายใจเข้าออกที่คุมได้”

วิธีแก้:

  • ฝึกหายใจแบบ 4-4 (หายใจเข้า 4 วินาที / ออก 4 วินาที) ระหว่าง Plank
  • ไม่ต้องรีบหายใจ แต่อย่ากลั้นเด็ดขาด
  • ใช้ “เสียงหายใจ” ช่วยคุมจังหวะจะดีมาก

❌ ข้อผิดพลาดที่ 5: ไม่ Warm-Up ก่อนเข้า Plank

หลายคนเข้า Plank ทันทีหลังจากตื่นนอน หรือหลังจากนั่งโต๊ะมาทั้งวัน → กล้ามเนื้อยังแข็ง ยังไม่ยืด → ทำให้เกร็งไม่ติด และเสี่ยงบาดเจ็บ

วิธีแก้:

  • วอร์มเบา ๆ 3 นาที เช่น หมุนแขน หมุนเอว เดินที่พื้น
  • ทำ “Cat-Cow” หรือ “Child’s Pose” สักเล็กน้อยก่อน
  • ยิ่งอายุเกิน 40+ ยิ่งต้องให้กล้ามเนื้อ “ตื่น” ก่อนใช้งาน

ตารางสรุปข้อผิดพลาดและวิธีแก้ (แบบเข้าใจง่าย)

ข้อผิดพลาด ผลเสีย วิธีแก้ทันที
หลังแอ่นเพราะไม่เกร็งก้น ปวดหลัง, Core ไม่ทำงาน เกร็งก้นทันทีตอนเข้า Plank
ทำนานแต่ท่าเพี้ยน ไม่เห็นผล, เจ็บ ลดเวลา เน้นคุณภาพ เกร็งแน่น
คอก้ม/เงยเกินไป ปวดต้นคอ, เวียนหัว มองพื้นห่าง 1 ฟุต คออยู่แนวหลัง
กลั้นหายใจ หน้ามืด, หมดแรงไว หายใจลึก 4 วินาที เข้า-ออก
ไม่วอร์มก่อน บาดเจ็บ, เกร็งไม่ติด เดินเบา ๆ / ยืดกล้ามเนื้อ 3 นาที

ข้อผิดพลาดเหล่านี้ โค้ชไม่อยากให้ลูกศิษย์คนไหนต้องเจออีกแล้วค่ะ


[5] 3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่านี้

และวิธีใช้ท่านี้ “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิง

กล้ามเนื้อที่ 1: กล้ามท้องลึก (Transverse Abdominis)

หลายคนเข้าใจผิดว่าการมี “ซิกแพ็ก” มาจากการซิทอัพรัว ๆ แต่จริง ๆ แล้ว “กล้ามท้องลึก” (Transverse Abdominis) ต่างหาก ที่ช่วยให้หน้าท้อง แบนราบแบบธรรมชาติ เหมือนเวลาใส่ชุดรัดรูปแล้วดูพอดี ไม่โป่ง
Plank จะกระตุ้นกล้ามเนื้อชั้นนี้ได้ดีที่สุด เพราะ:

  • เป็นการเกร็งแบบ Isometric (ไม่เคลื่อนไหว แต่ใช้แรงเต็มที่)
  • ทำให้หน้าท้อง “รัดแน่น” เหมือนใส่เข็มขัดตลอดเวลา

เทคนิคจากเวทีจริง:

ก่อนขึ้นเวที Mr. Thailand โค้ชจะฝึก Plank ตอนเช้าในขณะ “ดูดสะดือ” แล้วใช้กระจกดูแนวเส้นเอวว่าเรียบหรือยัง → ทำแบบนี้วันละ 2 เซ็ต ก็พอแล้ว

กล้ามเนื้อที่ 2: กล้ามเนื้อหลังลึก (Erector Spinae + Multifidus)

หลายคนเล่นหน้าท้องจน Core พัง เพราะลืมฝึก “หลังลึก” แต่ Plank จะกระตุ้นหลังลึกตลอดแนวแกนกลาง ตั้งแต่กลางหลังถึงเอวล่าง

ประโยชน์:

  • ทำให้หลังตรงโดยธรรมชาติ
  • ลดโอกาสปวดหลังช่วงล่าง
  • ปรับบุคลิกให้ดูมั่นใจขึ้น

กล้ามเนื้อที่ 3: ไหล่และสะบัก (Shoulder Stabilizers)

กล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงท่า Plank โดยตรงคือ “ไหล่” กับ “กลุ่มสะบัก” ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเล็กแต่จำเป็นมาก โดยเฉพาะถ้าคุณไม่อยากปวดบ่า หรือแขนตกเวลาอุ้มของ เวลาเราทำ Plank ได้ถูกต้อง ไหล่จะต้องอยู่ตรง และไม่ยุบ กล้ามเนื้อรอบข้อไหล่จะถูกฝึกให้ “แข็งแรงแต่ไม่เกร็ง” → นี่คือหัวใจของความสมดุลร่างกาย

ตาราง: กล้ามเนื้อที่ได้ + ทรงที่เกิดขึ้นจริง

กล้ามเนื้อ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริง ทรงที่เห็น
กล้ามท้องลึก หน้าท้องแน่นแบบไม่ต้องซิกแพ็ก เอวคอด เรียบ พุงไม่ล้ำ
กล้ามหลังลึก ปรับบุคลิก ลดปวดหลัง หลังตรง เดินมั่นใจ
กล้ามไหล่ + สะบัก พยุงแขน–ไหล่ให้แข็งแรง หัวไหล่กลม แขนดูเฟิร์ม

โค้ชปูนิ่มแชร์มุมมองจากเวที:

“เวลาเดินบนเวที ทุกก้าวที่เหยียบ พี่จะนึกถึง Plank” เพราะมันคือท่าที่สอนให้เราคุมท้อง คุมไหล่ คุมหลัง — ถ้าคุมตรงนี้ได้ โพสท่าไหนก็มั่นใจ ไม่หลุดทรงเลยค่ะ


[6] ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึกสม่ำเสมอ

พร้อมอ้างอิงงานวิจัย และประสบการณ์ที่โค้ชใช้เตรียมประกวด

ผลลัพธ์ที่ 1: หน้าท้องแน่นขึ้นโดยไม่ต้อง Crunch

โค้ชขอบอกเลยว่า: “หน้าท้องเฟิร์ม ไม่ได้แปลว่า ‘ต้องมีซิกแพ็ก’ เสมอไป” Plank คือท่าที่ช่วย “รวบ” หน้าท้องและทำให้แกนกลางแข็งแรง

ประสบการณ์ตรง:

ตอนโค้ชเตรียมประกวด Thailand Open Masters Games ปี 2025 โค้ชไม่ทำ Crunch เลย เพราะกลัวกล้ามขึ้นแข็ง

  • → ใช้แค่ Plank 5 วัน/สัปดาห์ เช้า–เย็น ครั้งละ 40–60 วินาที
  • → ผลคือ หน้าท้อง “แน่นแต่ไม่ปูด” ตามที่ต้องการ แถมไม่มีอาการปวดหลังเลยตลอดช่วงแข่ง

ผลลัพธ์ที่ 2: ปรับบุคลิกให้ดูสูงและมั่นใจขึ้น

Plank ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังลึก และ Core ทั้งแนวลำตัว → ทำให้เรา “ยืนตรงโดยไม่ต้องฝืน”

  • ท่ายืนดี → ทรงร่างกายสวย → ไม่ต้องลดน้ำหนักก็ยังดูผอมลงได้ในสายตาคนอื่น

ผลลัพธ์ที่ 3: ลดอาการปวดหลัง–เอวล่าง

งานวิจัยรองรับอย่างชัดเจนค่ะ

สาระน่ารู้จากงานวิจัย:

Plank ลดอาการปวดหลังได้จริง (วิจัยปี 2021)

กลุ่มผู้เข้าร่วมอายุ 35–60 ปี จำนวน 120 คน
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งทำ Plank 3 วัน/สัปดาห์ อีกกลุ่มไม่ได้ออกกำลังกาย ระยะเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า…

  • กลุ่มที่ทำ Plank มีอาการปวดหลังลดลงเฉลี่ย 45%
  • กล้ามเนื้อแกนกลางมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นชัดเจนจากการวัด EMG (เครื่องวัดไฟฟ้ากล้ามเนื้อ)
  • 92% รายงานว่า “รู้สึกตัวตรงขึ้น” และ “ขับรถ-ทำงานได้นานโดยไม่ปวดหลัง”

สรุป: การฝึก Plank ช่วยเสริมกล้ามเนื้อที่พยุงกระดูกสันหลังอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษเลยค่ะ

ผลลัพธ์ที่ 4: เพิ่มพลังระหว่างออกกำลังกายท่าอื่น

นักวิ่ง – นักยกเวท – หรือคนชอบเต้นแอโรบิก → ถ้า Core ไม่แข็งแรงจะ “หลุดฟอร์มเร็วมาก” Plank จะทำให้คุณ “ยืดหลัง–เกร็งท้อง” ได้อัตโนมัติเวลาทำท่าอื่น

ประสบการณ์จริง:

โค้ชใช้ Plank ช่วงเตรียมวิ่งเทรลที่เขาใหญ่ 2019 → วิ่งลงเขาได้มั่นคงกว่าเดิม ไม่เจ็บหลังหลังแข่งเลย

ผลลัพธ์ที่ 5: ฟื้นฟูความมั่นใจของผู้หญิงวัย 40–60+

มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อ “พี่ต้อย” อายุ 45  ปี เคยบอกว่า “ตอนแรกไม่คิดว่าจะทำได้ แค่ยืนให้ตรงยังยากเลย แต่พอ Plank ได้ 30 วินาทีครั้งแรก รู้สึกเหมือนได้รางวัล”

6 เดือนต่อมา พี่ต้อยสามารถ Plank ได้ 1 นาทีเต็ม และกลายเป็น “แรงบันดาลใจให้หลานสาว” อยากออกกำลังกายตาม นี่แหละค่ะ… Plank ไม่ได้แค่เปลี่ยนร่างกาย แต่ “เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง” ด้วย

ตาราง: ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงจากการฝึก Plank

ผลลัพธ์ ระยะเวลาเห็นผล กลุ่มคนที่ได้ผลจริง
หน้าท้องแน่น 2–4 สัปดาห์ ผู้หญิงทุกวัย
บุคลิกดีขึ้น 1 เดือน วัยทำงาน / ออฟฟิศ
ปวดหลังลดลง 6 สัปดาห์ วัย 40–60+
คุมท่าระหว่างเล่นเวท / วิ่ง 3 สัปดาห์ นักวิ่ง / เล่นเวท
ฟื้นฟูความมั่นใจ เริ่มตั้งแต่สัปดาห์แรก วัยเกษียณ / น้ำหนักเกิน

“ถ้าคุณเริ่มวันนี้ อีก 30 วันข้างหน้า คุณจะขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ตั้งแต่วันแรก”


[7] 3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่านี้ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)

โค้ชปูนิ่มสอนว่า ถ้าไม่มีเครื่อง ก็เล่นได้เหมือนกัน ขอแค่เข้าใจหลัก

เครื่องที่ 1: Bosu Ball (โบซูบอล)

Bosu คืออุปกรณ์ทรงครึ่งลูกบอล ที่ช่วยเพิ่มความไม่มั่นคงให้ร่างกายขณะฝึก Plank

ประโยชน์:

  • ทำให้กล้ามเนื้อ Core ทำงานมากขึ้น เพราะต้อง “รักษาสมดุล”
  • เหมาะกับคนที่อยากพัฒนาไปอีกขั้น หลังฝึก Plank พื้นเรียบได้แล้ว
  • เสริมความแข็งแรงให้ข้อไหล่–ข้อมือ

วิธีใช้:

  • วางแขนหรือมือบนพื้นผิวโค้งของ Bosu
  • เข้าท่า Plank ปกติ แต่จะรู้สึกว่า “สั่นนิด ๆ” ซึ่งดีมาก เพราะร่างกายกำลังเรียนรู้การควบคุม

จากการฝึกจริง:

โค้ชใช้ Bosu ฝึกก่อนขึ้นเวที Chiangmai Classic 2024 เพื่อให้ Core “ล็อกได้แน่น” เวลาโพสต์ท่าหมุนตัว ซึ่งต้องใช้ Balance มาก

เครื่องที่ 2: Suspension Trainer (TRX)

TRX หรือเชือกฝึกแรงต้านที่แขวนจากผนัง/เสา สามารถใช้ฝึก Plank ได้หลายแบบ เช่น:

  • Feet in TRX: ใส่เท้าไว้ในห่วง แล้ววางแขนบนพื้น
  • Hands in TRX: ใส่มือในห่วง วางเท้าบนพื้น

ประโยชน์:

  • ฝึก Core ในขณะที่ “ร่างกายเคลื่อนไหวเล็กน้อย”
  • ทำให้กล้ามเนื้อ “ตื่นตัวสูง” แม้เวลาเล่นน้อย
  • เหมาะกับคนที่เบื่อง่าย เพราะท่าเล่นหลากหลาย

เครื่องที่ 3: ฟิตบอล (Exercise Ball)

ลูกบอลยักษ์ที่ทุกฟิตเนสมี — ราคาหลักร้อยแต่ใช้ประโยชน์ได้คุ้มมาก

ใช้สำหรับฝึก Plank โดยวางแขนบนบอล หรือวางเท้าบนบอลก็ได้

ประโยชน์:

  • เหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่ม → ลดแรงกดข้อศอก
  • ใช้ช่วยฝึก “ความนิ่ง” และฝึกหายใจระหว่าง Plank
  • เสริมกล้ามเนื้อรอบสะบักและแกนกลางพร้อมกัน

เทคนิคจากโค้ช:

ถ้ารู้สึกว่าตัว “ไหลไปข้างหน้า” ให้เอามือวางบนบอลแล้วเกร็งหน้าท้อง คอยหายใจลึกช้า ๆ ฝึก 20 วินาทีพอ → ดีต่อคนที่เพิ่งหัดมากค่ะ

แล้วถ้าไม่มีอุปกรณ์เลยล่ะ? ฝึกยังไง?

ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะ “โค้ชปูนิ่มก็เริ่มจากพื้นกระเบื้องบ้านแม่” เช่นกัน

สิ่งที่ใช้ได้มีดังนี้:

  • ผ้าขนหนูพับรองศอก → ลดแรงกระแทก
  • กระจกตั้งพื้นหรือมือถือถ่ายวิดีโอ → เช็กฟอร์ม
  • ขวดน้ำ 1.5 ลิตร → ใช้แทนดัมเบลใน Superset

ท่าฝึกเพิ่มเติม:

  • Plank + ยกขาข้างละ 5 วินาที
  • Plank บนศอก + หมุนสะโพกซ้าย–ขวา
  • Plank สลับแตะไหล่

ฝึกแค่ 10 นาทีต่อวัน ก็เปลี่ยนร่างกายได้จริง ขอแค่ตั้งใจ

ตารางเปรียบเทียบเครื่อง + เหมาะกับใคร

อุปกรณ์ ระดับผู้เล่น จุดเด่น เหมาะกับใคร
Bosu Ball กลาง–สูง เพิ่มสมดุล คนเคยฝึก Plank มาแล้ว
TRX กลาง–สูง เพิ่มแรงต้านแบบเคลื่อนไหว คนที่อยากพัฒนาแกนกลางขั้นสูง
ฟิตบอล เริ่มต้น–กลาง ฝึกความนิ่ง + หายใจ มือใหม่ / ผู้สูงวัย / มีอาการบาดเจ็บ

ไม่มีเครื่องไม่ใช่ข้ออ้าง ขอแค่เข้าใจหลัก และตั้งใจใช้ “ร่างกายตัวเอง” ให้ถูกจุด ก็เห็นผลได้ 100% ค่ะ


[8] ท่านี้เหมาะกับใคร?

แต่เราจะมาเจาะลึกกันแบบโค้ชปูนิ่ม เพราะคนแต่ละกลุ่ม ต้องเริ่มไม่เหมือนกัน เพื่อ “ไม่บาดเจ็บ” และ “ได้ผลจริง”

กลุ่มที่ 1: คนวัยทำงาน (30–50 ปี) ที่มีออฟฟิศซินโดรม

กลุ่มนี้มักจะมี 3 ปัญหาหลัก:

  • นั่งนาน
  • หลังค่อม
  • ปวดเอวล่าง

Plank คือ “ยาคลายหลังค่อม” โดยไม่ต้องไปนวดทุกสัปดาห์ เพราะมันจะเปิดไหล่ เกร็ง Core และจัดกระดูกสันหลังให้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ

กลุ่มที่ 2: คนวัย 50+ ที่ไม่เคยออกกำลังกาย

หลายคนคิดว่าต้องแข็งแรงก่อนถึงจะ Plank ได้

แต่โค้ชขอย้ำเลยว่า “Plank คือจุดเริ่มต้นของความแข็งแรง”

เพราะ…

  • ไม่ต้องกระโดด ไม่เสี่ยงหัวเข่า
  • ใช้แค่แรงจากร่างกายเรา
  • ปรับท่าให้เบาได้ เช่น วางเข่า / วางแขนบนโต๊ะ / เริ่มจาก 10 วินาที

กลุ่มที่ 3: คนที่มีน้ำหนักเกิน หรือเริ่มออกกำลังกายใหม่

ถ้าคุณรู้สึกว่า “ลุก–นั่งยังเหนื่อย” Plank จะเป็นจุดเริ่มที่ไม่ทำให้เหนื่อยจนถอดใจ

  • แค่ 10–20 วินาทีต่อวัน กล้ามเนื้อหน้าท้อง–หลังลึกจะเริ่มทำงาน
  • และเมื่อ Core แข็งแรง → การเดิน–ยืนจะง่ายขึ้น → เผาผลาญเพิ่มขึ้น → น้ำหนักค่อย ๆ ลดลงเอง

เทคนิคโค้ชปูนิ่ม:

ให้ใช้ “ผ้าขนหนูม้วน” รองศอก และ “มือถือถ่ายวิดีโอ” เช็กฟอร์ม เพื่อให้รู้สึกไม่เจ็บ ไม่อึดอัด และมีกำลังใจจากการเห็นพัฒนาการ

กลุ่มที่ 4: คนที่ฟิตร่างกายอยู่แล้ว แต่อยาก “ลีน–คม”

Plank เหมาะมากสำหรับคนที่ “ไม่อยากเพิ่มกล้ามเยอะ แต่เน้นเส้นชัด” โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยากโชว์ทรงเอว เอวคอด หน้าอกตั้ง หลังตรง

จากการประกวด:

โค้ชใช้ Plank + ดูดสะดือ ทุกวันหลังคาร์ดิโอเช้า ช่วงเตรียมแข่ง Mr. Thailand 2025

  • → ได้เส้น V-line ชัดแบบไม่ต้องยกเวทหนัก
  • → หลังแข่ง กลับมาใส่เสื้อครอปได้พอดี โดยไม่ต้องซิตอัพเลย

กลุ่มที่ 5: ผู้ปกครองที่อยากฝึกพร้อมลูกหลาน

Plank คือ “ท่าครอบครัว” ค่ะ เพราะไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีเสียงดัง ไม่มีอุปกรณ์ เด็กก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ และสามารถจับเวลาแข่งกันเป็นกิจกรรมสนุกได้ด้วย

🎯 ตารางสรุป: ท่านี้เหมาะกับใคร + วิธีเริ่มต้นที่ปลอดภัย

กลุ่มเป้าหมาย วิธีเริ่มฝึกที่เหมาะสม สิ่งที่ได้
วัยทำงาน Plank พื้นเรียบ 30 วินาที x 2 ลดปวดหลัง-เปิดไหล่
วัย 50+ Plank วางเข่า 15 วินาที ยืนตรง-ลดเอวล่าง
น้ำหนักเกิน วางแขนบนโต๊ะ + ยืดตัว ฝึก Core เบื้องต้น
ฟิตอยู่แล้ว Plank + TRX/Bosu สร้างลีน-ทรงเอวชัด
ครอบครัว Plank แข่งเวลา 10–30 วินาที สนุก-ใกล้ชิดกัน

“ไม่มีคำว่าแก่เกินไป ถ้าใจคุณยังอยากเริ่ม” และโค้ชปูนิ่มขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน…เริ่มต้นให้ได้นะคะ


[9] ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด

สูตรการฝึกที่โค้ชปูนิ่มใช้ในการเทรนตัวเองก่อนขึ้นเวที หลักการสำคัญ: Plank เหมือน “แกนหลัก” ต้องมีท่าเสริมรอบข้างเพื่อให้ “ดันผลลัพธ์ออกมาเต็มที่” เหมือนคุณมีเข็มขัดรัดเอว แต่ไม่รัดให้แน่นมันก็ไม่ช่วยอะไร การฝึก Plank ให้ได้ผลเร็ว ต้องจับมารวมกับท่าอื่นที่ “ส่งเสริม Core” และ “กระตุ้นกล้ามเนื้อรอบตัว” ไปพร้อมกันค่ะ

1️⃣ จับคู่กับ “ท่าเปิดไหล่” → หลังตรงเร็วขึ้น

คนส่วนใหญ่มักเกร็งหน้าท้องได้ แต่หลังยังค่อมเพราะไหล่ห่อ โค้ชจึงให้ฝึก Plank คู่กับ Wall Angel / Scapula Slide เพื่อเปิดช่วงอกและหลังบน

สูตรโค้ชปูนิ่ม:

  • Plank 30 วินาที
  • พัก 30 วินาที
  • Wall Angel 10 ครั้ง
  • ทำวน 3 รอบ

ตอนโค้ชเตรียมเวที Payap Classic 2023 ใช้สูตรนี้ทุกเช้า หลังตรงขึ้น, เส้นหลังชัดเจน และทรงพรีเซนต์ช่วงไหล่ดู “สง่า” มากขึ้นตอนขึ้นเวที

2️⃣ จับคู่กับ “Cardio เบา ๆ” → ช่วยเบิร์นไขมันเฉพาะจุด

หลายคนบอก “Plank แล้วพุงไม่ยุบ” โค้ชขอเสริมว่า… Plank ต้องจับคู่กับคาร์ดิโอเบา ๆ เช่น เดินเร็ว 10–15 นาที เพื่อให้เกิดการไหลเวียนโลหิตดี → ดึงไขมันรอบพุงมาใช้ขณะ Core ทำงาน

สูตรโค้ช:

  • เดินเร็ว 12 นาที → Plank 2 เซต x 45 วินาที
  • ทำ 5 วัน/สัปดาห์ → เห็นผลใน 3 สัปดาห์

3️⃣ จับคู่กับ “ท่าบาลานซ์ตัวเอง” → เพิ่มการเกร็งแบบลึก (Deep Core)

Plank ฝึก Core แต่ถ้าอยากให้ “Core ทำงานทั้งแนว” → ต้องเสริมด้วยท่าที่ร่างกาย “ต้องควบคุมหลายกล้ามเนื้อพร้อมกัน” ท่าที่แนะนำคือ Bird-Dog หรือ Dead Bug (ใครทำในคลาสโยคะจะรู้จักดี)

สูตรโค้ช:

  • Plank 30 วินาที
  • Bird-Dog สลับข้าง 10 ครั้ง
  • พัก 45 วินาที → ทำวน 3 รอบ

ท่านี้โค้ชใช้ตอนเตรียมขึ้นเวที Mr. Thailand 2025 เพราะต้องโชว์คุมลำตัวช่วงโพสต์ท่าหันข้าง → ช่วยให้ “ไม่สั่น–ไม่หลุด” เวลาอยู่กลางไฟสปอตไลต์

4️⃣ จับคู่กับ “Stretch หลังจบ” → ลดการปวดตึง + ฟื้นตัวไว

ฝึก Plank แล้วไม่ยืด คือจุดพลาดที่โค้ชเห็นบ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงวัย 40+ ที่มักตึงหลัง–ต้นขา–คอ

ยืดที่โค้ชชอบใช้:

  • Child’s Pose
  • Cat-Cow
  • Kneeling Hip Flexor Stretch

ใช้เวลาแค่ 3–5 นาที → แต่ช่วยให้ Plank ครั้งต่อไปทำได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ตารางสูตรฝึก Plank Combo (ใช้ได้ทั้งที่บ้านและในยิม)

วันที่ ชุดฝึก ความยาว จุดโฟกัส
จันทร์ เดินเร็ว 10 นาที → Plank → Bird-Dog 25 นาที เผาผลาญ + คุมลำตัว
พุธ Plank → Wall Angel → Cat-Cow 20 นาที ท่าทางดี + ไหล่เปิด
ศุกร์ เดินเร็ว → Plank 3 เซต → Stretch 30 นาที พุงยุบ + ป้องกันหลังตึง

“ท่าเดียวเปลี่ยนไม่ได้ แต่ถ้าคุณเข้าใจ ‘จังหวะการวาง’ เหมือนโค้ชปูนิ่ม – คุณจะเห็นผลไวกว่าเดิมหลายเท่า


[10] Special Tip จากเวทีจริง & สนามแข่ง

บทเรียนที่ไม่มีใน YouTube แต่โค้ชเจอมาเองกับตัว

ความจริงจากเวที: เวลายืนบนเวทีประกวด คุณมีเวลาแค่ “5 วินาที” ให้คนดูประทับใจ
และช่วงเวลานั้น ท่า Plank ที่คุณฝึกอยู่ทุกวัน จะเป็น “กล้ามเนื้อที่สั่งสมมานาน” ซึ่งทำให้…

  • ยืนตัวตรงได้อย่างไม่ฝืน
  • เก็บหน้าท้องโดยไม่ต้องแขม่ว
  • ก้นเกร็งขึ้นได้โดยไม่ต้องยกเวท
  • ควบคุมไหล่–แผ่นหลัง–ต้นคอ ได้แม้มีสปอตไลต์ 4 ดวงจ้องหน้า

Special Tip 1: อย่าฝึก Plank แบบ “ฝืนทน” ให้ฝึกแบบ “ฝึกควบคุม”

ตอนฝึกอย่าคิดแค่ว่า “ทนให้ได้นาน” แต่ให้คิดว่า: “ร่างกายฉันอยู่ในอำนาจของฉันหรือยัง?”

เช็ก 3 จุดนี้ตอน Plank:

  • ฉันยังควบคุมลมหายใจอยู่ไหม?
  • หน้าท้องยังเกร็งเท่าเดิมไหม?
  • ฉันยังรู้สึกได้ถึงแรงในก้นและต้นขาไหม?

ตอนโค้ชฝึกช่วง Mr. Thailand 2024 โค้ชจำกัดเวลาฝึก Plank ไม่เกิน 45 วินาที แต่ต้อง “เกร็งทุกมัด” ไม่ให้ฟอร์มตกเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผลคือ หลังเวที โค้ชสามารถ “โพสต์ท่าหมุนข้าง” ได้โดยที่ไม่ต้องใช้แรงพยุงเลย → กล้ามเนื้อทำงานอัตโนมัติ

Special Tip 2: ฝึก Plank ตอนใจไม่อยากฝึก

โค้ชเคยฝึก Plank หลังจากฝนตก เดินทางไกล ขาเมื่อย ปวดเข่า และรู้เลยว่า “ช่วงที่ใจไม่อยากฝึก” คือช่วงที่คุณฝึกกล้ามใจมากที่สุด ร่างกายอาจไม่ได้เปลี่ยนในวันนั้น แต่ “วินัย” จะเปลี่ยน

Special Tip 3: ถ่ายวิดีโอ Plank ตัวเองทุกสัปดาห์

นี่คือเทคนิคที่ไม่มีโค้ชคนไหนพูด แต่โค้ชปูนิ่มใช้กับตัวเองตั้งแต่ปี 2019

  • ตั้งกล้องจากด้านข้าง
  • ฝึก Plank แบบเต็มที่ 1 เซต
  • เช็กไลน์หลัง, ตำแหน่งศอก, ระดับก้น

คุณจะตกใจว่า “เราเคยแอ่นหลังขนาดนี้เหรอ?” และพอเห็นพัฒนาการผ่านกล้อง → คุณจะภูมิใจโดยไม่ต้องให้ใครชม นี่คือ Self-Coaching ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะคนที่ฝึกคนเดียวที่บ้าน

ตาราง: Special Tips ที่ใช้จริงบนเวที

เทคนิค ใช้เมื่อไหร่ ผลที่ได้
ฝึกแบบควบคุม ไม่ใช่แค่ทน ทุกครั้งที่ฝึก ร่างกายตอบสนองไว กล้ามเนื้อแน่นจริง
ฝึกตอนใจไม่อยากฝึก วันเหนื่อย–ท้อ ฝึกวินัย + ความแข็งแรงของใจ
ถ่ายวิดีโอตัวเองทุกสัปดาห์ เสาร์/อาทิตย์ เห็นฟอร์มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

สรุปส่งท้ายจากโค้ชปูนิ่ม

“ถ้าคุณยังหายใจอยู่ และยังมีแรงขยับแขนขา… คุณฝึก Plank ได้ค่ะ” ไม่ว่าคุณจะอายุ 20, 40 หรือ 65 ไม่ว่าคุณจะเคยมีพุง, ปวดหลัง, หรือไม่เคยยกเวทเลย Plank จะช่วยให้คุณกลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง โค้ชปูนิ่มอยู่ตรงนี้ เพราะโค้ชเคยฝึกจากพื้นกระเบื้องเก่า ๆ ที่บ้านแม่ ไม่ได้เริ่มจากโรงยิม ไม่ได้มีครูพิเศษ แต่เริ่มจาก “วินาทีแรกที่ไม่ยอมแพ้” และวันนี้โค้ชเชื่อว่าคุณก็ทำได้ 💪