1. ท่า Dumbbell Row คืออะไร?
มุมมองจากโค้ชปุนิ่ม ผู้ประกวดเพาะกายระดับประเทศ และนักวิ่งสายเทรล ความหมายและความเป็นมาเบื้องต้น
Dumbbell Row คือหนึ่งในท่าฝึก “หลัง” ที่สำคัญที่สุดในโปรแกรมสร้างกล้ามเนื้อระดับฟิตเนสโมเดล ท่านี้ไม่ได้ใช้แค่กับผู้ชายเล่นกล้ามใหญ่อย่างเดียวนะคะ ผู้หญิงอย่างเราก็ต้องฝึก! ท่านี้เน้นการดึงดัมเบลขึ้นจากพื้นในขณะลำตัวก้ม เรียกได้ว่าเป็น “ท่าดึงแนวขนานกับพื้น” ซึ่งจะฝึกกล้ามเนื้อหลังช่วงกลางไปจนถึงหลังล่าง และช่วยเสริมความแข็งแรงของแขนไปพร้อมกัน
ทำไม Dumbbell Row จึงสำคัญ?
- ช่วยดึงไหล่ให้ตั้ง คนที่นั่งนาน ๆ หลังค่อม ไหล่ห่อ มักกล้ามเนื้อด้านหน้าตึง (Pec) และกล้ามเนื้อด้านหลังอ่อนแอ ท่านี้จะช่วยบาลานซ์กลับมา
- เพิ่มการเผาผลาญ เพราะใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่หลายมัดร่วมกัน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังที่ใหญ่มากในร่างกาย
- พัฒนา Posture ให้เรายืนตรง เดินสง่า เหมือนนักกีฬา ไม่แอ่น ไม่ห่อ
- เสริมกล้ามแขนโดยไม่ต้อง Curl เพราะท่านี้ใช้ Biceps ดึงควบคู่ไปด้วย ทำให้ได้แขนเฟิร์มแบบแนบเนียน
ด้านเทคนิค: Dumbbell Row ฝึกกล้ามเนื้อมัดไหนบ้าง?
- Latissimus Dorsi (หลังด้านข้าง) – กล้ามเนื้อหลักที่ดึงเข้าตัว
- Rhomboids & Trapezius (กลางหลัง-สะบัก) – ทำให้หลังดูตั้ง มีร่องตรงกลาง
- Posterior Deltoid (หัวไหล่ด้านหลัง) – เพิ่มความสมดุลให้หัวไหล่
- Biceps Brachii (ต้นแขน) – เสริมแรงดึง โดยไม่ต้องเล่น Curl เพิ่ม
ตัวอย่างจริงจากเวที:
ก่อนขึ้นเวทีประกวด Thailand Open Masters Games 2025 โค้ชปุนิ่มต้องปรับโครงสร้างไหล่กับหลังให้ “เปิด” และดูตั้ง Dumbbell Row จึงเป็นท่าหลักในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนแข่ง โดยเน้นน้ำหนักเบาปานกลาง แต่ “ฟอร์มเป๊ะ” เพื่อเก็บลายกล้ามเนื้อหลังให้ชัด
2. 5 วิธีการทำที่ถูกต้อง
โค้ชปุนิ่มสอนจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามตำรา
✅ วิธีที่ 1: เริ่มจาก “จัดแกนกลางลำตัวให้มั่น” ก่อนเสมอ
หลายคนพลาดตั้งแต่ยังไม่หยิบดัมเบลค่ะ เพราะไม่รู้จักการ “เก็บสะโพก + เกร็งหน้าท้อง” หรือที่เรียกว่า Bracing Core ซึ่งเป็นหัวใจของการควบคุมหลังไม่ให้แอ่น
เทคนิคของโค้ช:
โค้ชจะให้ลูกศิษย์ “เป่าลมออกแรง ๆ ผ่านฟัน” ขณะเกร็งหน้าท้อง เพื่อให้รู้ว่า Core ถูกเก็บอยู่ตลอดเวลาในจังหวะดึง
✅ วิธีที่ 2: วางเข่า-มือ-หลัง “เป็นสามเหลี่ยมมั่นคง”
ถ้าเป็นแบบ One Arm Row (ท่ามาตรฐาน):
- มือซ้ายวางบนม้านั่ง
- เข่าซ้ายวางตรงกันข้ามกับมือ
- หลังขนานกับพื้น
❌ ไม่ควรวางมือ-เข่าแนวเดียวกัน เพราะจะทำให้ลำตัวแกว่งตอนดึง
Insight จากสนาม:
โค้ชเคยทำพลาดตอนฝึกปีแรก ๆ แล้วพบว่า “กล้ามหลังไม่โตเลย” เพราะมือกับเข่าวางไม่สมดุล ทำให้แรงลงผิดจุด
✅ วิธีที่ 3: ดึงแบบ “ลากศอกถูไปข้างลำตัว” ไม่ใช่ยกขึ้นตรง ๆ
สิ่งที่โค้ชสอนเสมอคือ
“ดึงด้วยศอก ไม่ใช่ด้วยมือ”
ในจินตนาการ ให้เราคิดว่า “ศอกกำลังลากพื้นผิวลำตัวด้านข้าง” ไปจนถึงแนวเอว จะทำให้แรงดึงมาจาก Latissimus Dorsi แทนที่จะใช้แค่แขน
✅ วิธีที่ 4: จังหวะ “บีบสะบัก” ให้สุด แล้วหยุดนิ่ง 1 วิ
นี่คือช่วงที่โค้ชเรียกว่า “กล้ามหลังถูกล็อก” ให้เกิด Hypertrophy หรือการเพิ่มขนาดกล้ามเนื้ออย่างแท้จริง
วิธีการคือ:
- ดึงขึ้นจนดัมเบลใกล้แนวสะโพก
- บีบสะบักด้านในเข้าหากัน “เหมือนหนีบดินสอ”
- ค้าง 1 วินาที แบบ ไม่เกร็งคอ
💬 จากประสบการณ์จริง:
ลูกศิษย์อายุ 47 ปี ที่ฝึกหลังไม่ขึ้นมา 6 เดือน โค้ชแค่ให้ “หยุด 1 วิ” ในจังหวะบน ผลคือหลังเปลี่ยนใน 4 สัปดาห์
✅ วิธีที่ 5: ปล่อยดัมเบลลง “แบบมีสติ” ไม่ใช่ทิ้งเฉย ๆ
การปล่อยลงคือจังหวะ “สร้างกล้ามเนื้อแท้จริง” เพราะเกิดการยืดตัวของกล้ามในขณะควบคุมแรง
โค้ชมักพูดว่า “ยิ่งลงช้า หลังยิ่งเฟิร์ม”
❌ อย่าปล่อยดัมเบลร่วง ❌ อย่าผ่อนด้วยแรงโน้มถ่วง
✅ ให้กล้ามเนื้อหลังต้านแรงลงช้า ๆ โดยไม่เปลี่ยนแนวลำตัว
สาระน่ารู้: การคุม Tempo ที่โค้ชใช้จริง
จังหวะ | ระยะเวลา (วินาที) | ความหมาย |
---|---|---|
ดึงขึ้น | 1 | ใช้แรงดึง (ดึงด้วยศอก) |
หยุดค้างบน | 1 | บีบสะบัก สร้าง Peak Contraction |
ปล่อยลง | 2–3 | เน้นยืดกล้ามหลัง คุมฟอร์ม |
สูตรนี้โค้ชใช้ทุกครั้งก่อนขึ้นเวทีประกวด เพื่อให้หลังดูเต็มและมีลายชัด โดยไม่ต้องใช้ดัมเบลหนักเกินไป
Tips จากเวทีจริง:
ตอนที่เตรียมตัวสำหรับเวที Payap Classic 2023 โค้ชปุนิ่มฝึก Dumbbell Row แค่ข้างละ 7–10 ครั้ง × 3 เซต ด้วยน้ำหนัก 6–8 กก. แต่โฟกัสกับฟอร์ม คุมจังหวะ และบีบสะบักจนสุด
ผลคือหลังชัดขึ้นมากโดยไม่ต้องเล่น Deadlift หนัก ๆ เลยค่ะ
3. 2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรง
สิ่งที่โค้ชปุนิ่มใช้ในการฝึกซ้อมจริง ก่อนขึ้นเวทีและสนามแข่ง
เคล็ดลับที่ 1: “ใช้ตัวช่วยแบบพาไปเชื่อมกับแกนกลาง”
หลังจากที่โค้ชปุนิ่มเริ่มฝึก Dumbbell Row อย่างจริงจัง ปัญหาหลัก ๆ ที่พบคือ การใช้กล้ามเนื้อแขนมากเกินไป ทำให้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ—หลังไม่ฟิต แขนใหญ่เกินไป
วิธีที่โค้ชปรับปรุงได้ผลคือการ “ใช้ยางยืดหรือสายต้านแรง (Resistance Band)” เข้ามาช่วยในบางเซต:
- ให้พาตัวเองดึงดัมเบลพร้อมกับการดึงยางยืดด้วย
- ในช่วง Top Range (ช่วงที่ดึงดัมเบลขึ้นมา) ให้ยางยืดช่วยต้าน
- วิธีนี้จะช่วยให้แผ่นหลังไม่สามารถใช้แขนแทนได้ ทำให้สามารถบีบสะบักได้เต็มที่
Insight จากโค้ช:
การใช้ยางยืดช่วยสร้างแรงต้านระหว่างที่ดึงดัมเบลขึ้นไป ทำให้ กล้ามหลัง ทำงานเต็มที่มากขึ้น และช่วยให้คุณไม่ใช้แรงจากแขนโดยไม่รู้ตัว
ทำไมโค้ชแนะนำให้ใช้ยางยืด:
- ช่วยให้กล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ทำงานหนักขึ้น
- เพิ่มความต้านทานในช่วงที่ดึงสุด (Peak Contraction)
- ป้องกันการ “ดึง” แทนการ “ใช้หลัง”
เคล็ดลับที่ 2: “ฝึกควบคุมช่วงปล่อย (Negative Phase)”
หลายคนเข้าใจผิดว่า Dumbbell Row คือการ ดึงขึ้น ให้เร็วที่สุด แต่ความจริงคือ ช่วงที่ปล่อยลงช้า ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีที่สุด
สิ่งที่โค้ชปุนิ่มทำคือ
- หลังจากดึงดัมเบลขึ้นแล้ว ให้ปล่อยลงช้า ระหว่าง 2–3 วินาที
- โฟกัสที่การ ต้านแรงโน้มถ่วง ขณะปล่อยดัมเบลลง
- ในการฝึกแต่ละเซต โค้ชจะตั้งเวลาตามนี้:
- ดึงขึ้น 1 วินาที
- ค้าง 1 วินาที
- ปล่อยลง 2–3 วินาที
💡 Insight จากโค้ช:
ช่วง Negative Phase เป็นช่วงที่ กล้ามเนื้อถูกยืด ซึ่งเป็นจุดที่การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งการทำให้ช้าจะเพิ่มเวลาในการยืดของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ
งานวิจัยเกี่ยวกับการปล่อยช้า:
งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research (2017) ระบุว่า:
การควบคุมช่วงปล่อยช้า ช่วยให้เกิด muscle hypertrophy มากกว่า การดึงขึ้นเร็ว เนื่องจากมีการกระตุ้นการยืดตัวของกล้ามเนื้อให้มากขึ้น
ใช้เคล็ดลับนี้สำหรับผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น:
- ฝึกแบบ Controlled Negative ทุกครั้งที่ดึงดัมเบล
- ห้ามปล่อยดัมเบลลงแบบ ทิ้ง ๆ เพราะจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
- หากเราฝึกควบคุมทุกจังหวะ ร่างกายจะได้รับสัญญาณที่ชัดเจนให้กล้ามเนื้อทำงานเต็มที่
บทเรียนจากสนามแข่ง:
“ก่อนจะขึ้นเวที Thailand Open Masters Games 2025 โค้ชใช้วิธีนี้ในการฝึกวันเว้นวัน โดยฝึก Dumbbell Row 3 เซต × 12 ครั้ง ใช้น้ำหนักเบา ๆ ใน 4 สัปดาห์ก่อนแข่ง ผลคือ หลังดูชัดและดูกระชับขึ้นมาก”
4. 5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย + วิธีแก้
จากคนที่เทรนเอง และเทรนลูกศิษย์มาหลายวัย ตั้งแต่ 20 จนถึงวัย 60+
❌ ข้อผิดพลาดที่ 1: “หลังโก่งเกินไป”
เหตุผล: คนที่เพิ่งเริ่มฝึก Dumbbell Row มักทำท่าผิดจากการที่ไม่รู้วิธีจัดลำตัว
วิธีแก้:
- รักษาลำตัวให้อยู่ในมุม 45–60 องศาจากพื้น (หากทำ One Arm Row)
- เก็บ Core ให้แน่นและไม่ให้สะโพกแอ่นหรือล่างสุด
- “นึกถึงว่าหลังของเราต้องเป็นเส้นตรง” ขณะที่ดึงดัมเบลขึ้น
💡 Insight จากโค้ช:
ถ้าเราแอ่นหลังหรือโก่งเกินไป จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานไม่ได้เต็มที่ และเกิดอาการปวดหลังจากการฝึกไม่ถูกท่าได้ค่ะ
❌ ข้อผิดพลาดที่ 2: “ดึงด้วยแขน”
เหตุผล: คนส่วนใหญ่มักดึงดัมเบลขึ้นด้วยแรงแขนล้วน ๆ โดยไม่ใช่หลัง
วิธีแก้:
- เมื่อดึงดัมเบลขึ้น ให้ “คิดว่าใช้ศอกดึง” มากกว่าการดึงด้วยมือ
- ต้องพยายามทำให้มือ “เป็นเพียงตัวเชื่อม” สำหรับดึงน้ำหนัก
- อย่าทิ้งศอกออกไปข้างหลัง ใช้ “ศอกเลื่อนข้างลำตัว”
💡 Insight จากโค้ช:
โค้ชเคยเห็นลูกศิษย์หลายคนที่พยายามยกดัมเบลหนัก ๆ แต่มือจับผิดวิธี จนไม่ได้ผลลัพธ์เลยค่ะ ถ้าคิดแบบนี้ กล้ามหลังจะไม่ได้ทำงานจริง ๆ และกล้ามแขนกลับใหญ่ขึ้น
❌ ข้อผิดพลาดที่ 3: “ปล่อยดัมเบลลงเร็ว”
เหตุผล: คนหลายคนพอทำช่วงดึงเสร็จ ก็ปล่อยดัมเบลลงเร็วเพื่อไปดึงใหม่
วิธีแก้:
- ให้ปล่อยช้า ควบคุมการลงช้า 2–3 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังยืดและทำงานต่อ
- ห้ามปล่อยดัมเบลลงด้วยการทิ้งลงโดยใช้แรงโน้มถ่วง
💡 Insight จากโค้ช:
การปล่อยลงเร็วจะทำให้ช่วงนี้ “ไม่ได้ทำงาน” และส่งผลให้กล้ามหลังไม่แข็งแรง พลังหลังจะไม่พัฒนาหากไม่ควบคุมการปล่อย
❌ ข้อผิดพลาดที่ 4: “ไม่บีบสะบัก”
เหตุผล: หลายคนรู้สึกเหมือนทำท่านี้ถูกแล้ว แต่พอจะบีบสะบักจริง ๆ กลับไม่สามารถทำได้
วิธีแก้:
- ทุกครั้งที่ดึงดัมเบลขึ้น ให้ “บีบสะบัก” เข้าใกล้กัน ก่อนปล่อย
- คิดว่าเรากำลัง “หนีบดินสอ” ตรงกลางหลัง
- ห้ามให้แขนดึงจากท่า “ยืด” ตลอดเวลา เพราะสะบักจะไม่ทำงาน
💡 Insight จากโค้ช:
การบีบสะบักจะช่วยสร้างรูปทรงหลังที่ชัดเจน และทำให้ได้ลายกล้ามที่สวยงาม โดยเฉพาะในท่าประกวด
❌ ข้อผิดพลาดที่ 5: “การจัดท่าทางไม่เหมาะสมกับร่างกาย”
เหตุผล: แต่ละคนมีลักษณะร่างกายไม่เหมือนกัน บางคนจะไม่สามารถก้มตัวได้ตามมาตรฐานการฝึกที่ใช้กันทั่วไป
วิธีแก้:
- ปรับท่าทางให้เหมาะสมกับตัวเอง โดยอาจต้องเพิ่มการงอเข่าหรือยืดแขนออกไปบ้าง
- หากรู้สึกว่าไม่สามารถทำท่าตามปกติได้ ให้ลองปรับมุมการก้มตัวหรือลดความลึก
💡 Insight จากโค้ช:
โค้ชเคยมีลูกศิษย์ที่มีปัญหาข้อเข่า ทำให้ไม่สามารถก้มได้ลึกพอในการทำท่านี้ โค้ชจึงปรับท่าทางโดยให้เขงอเข่ามากขึ้นเล็กน้อย และทุกอย่างก็ออกมาดี
บทเรียนจากสนามแข่ง:
การฝึก Dumbbell Row แบบถูกต้อง ใน 2 เดือนก่อนการประกวด Thailand Open Masters Games 2024 ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังดูเต็มขึ้นมาก ก่อนขึ้นเวทีจริง ๆ โค้ชใช้เวลาฝึกไม่เกิน 40 นาทีในแต่ละสัปดาห์เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหลัง, ลดปัญหาหลังค่อม และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเวที
สรุปข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย
ข้อผิดพลาด | วิธีแก้ |
---|---|
หลังโก่งเกินไป | จัดท่าลำตัวให้ตรง 45–60 องศา |
ดึงด้วยแขน | ดึงด้วยศอก ข้างลำตัว |
ปล่อยดัมเบลลงเร็ว | ควบคุมการปล่อยลง 2–3 วินาที |
ไม่บีบสะบัก | บีบสะบักให้สนิทในช่วงที่ดึง |
ท่าทางไม่เหมาะสม | ปรับท่าทางให้เหมาะกับร่างกาย |
5. 3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่านี้
และวิธีใช้ท่านี้ “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิง
🔥 กล้ามเนื้อที่ 1: Latissimus Dorsi (หลังด้านข้าง)
หน้าที่: กล้ามเนื้อหลักที่ทำให้หลังของเราดู กว้าง และ มีมิติ การฝึก Dumbbell Row ช่วยให้ Latissimus Dorsi ทำงานเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงที่เรา ดึงดัมเบลขึ้นไป และ บีบสะบัก ซึ่งจะทำให้หลังของเราดูมีความลึกและเรียบเนียน
Insight จากโค้ช:
การที่หลังของเราไม่แบนหรือไม่ราบเรียบเกิดจากการฝึกกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ที่ใช้งานในท่านี้ค่ะ ในการประกวด Thailand Open Masters Games 2024 โค้ชใช้ Dumbbell Row เพื่อสร้างความกว้างให้กับหลัง โดยเฉพาะช่วง V-shape เพื่อให้ดูมีสัดส่วนมากขึ้น
🔥 กล้ามเนื้อที่ 2: Rhomboids & Trapezius (สะบักและกลางหลัง)
หน้าที่:
- Rhomboids ทำให้หลังดู “มีร่องกลาง” และ คม
- Trapezius ทำให้ช่วงไหล่ดู กว้างและแข็งแรง
วิธีการสร้างกล้ามเนื้อนี้จาก Dumbbell Row:
- การบีบสะบักในจังหวะที่ดึงดัมเบลขึ้น จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อในส่วนนี้ให้ทำงาน
- เมื่อดึงขึ้นให้ “รู้สึกเหมือนลากดัมเบลไปตามร่องสะบัก” และบีบให้แน่น
Insight จากโค้ช:
สำหรับโค้ชแล้ว การมี Trapezius ที่แข็งแรงคือสัญลักษณ์ของการฝึกที่มีระเบียบและมีจุดมุ่งหมายชัดเจน เพราะมันทำให้เรามี ทรงหลัง ที่ดีกว่าการฝึกแค่กล้ามเนื้ออื่น ๆ
🔥 กล้ามเนื้อที่ 3: Biceps Brachii (ต้นแขน)
หน้าที่:
ในขณะทำ Dumbbell Row กล้ามเนื้อ Biceps จะถูกใช้ช่วยในการดึงดัมเบล ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ แขนดูเฟิร์มและกระชับ โดยไม่ต้องใช้ท่า Bicep Curl แยกต่างหาก
Insight จากโค้ช:
บางครั้งคนที่อยากมี ต้นแขนกระชับ มักจะหาท่า Bicep Curl แต่การฝึก Dumbbell Row ก็ช่วยเพิ่มความกระชับให้กับ Biceps ได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะในท่าที่เราคุมจังหวะการดึงและปล่อยอย่างมีสติ
ผลลัพธ์จากการฝึก:
หลังจากการฝึก Dumbbell Row 3 ครั้ง/สัปดาห์ มา 6 สัปดาห์
กล้ามเนื้อหลังจะเริ่มชัดเจนและดูมีมิติจาก Latissimus Dorsi, Rhomboids, และ Trapezius ที่ทำงานเต็มที่ ขณะที่ Biceps ก็จะเฟิร์มขึ้นจากการดึง
กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกจริงจากประสบการณ์:
“โค้ชฝึก Dumbbell Row ให้ตัวเองทุกครั้งก่อนการประกวด Mr. Thailand 2025 และได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง เพราะหลังดู เต็ม ขึ้นมากเมื่อทำท่านี้อย่างถูกวิธี พร้อมกับกล้ามเนื้อ Trapezius ที่ยิ่งทำให้ไหล่ดูแข็งแรงและกว้าง”
ตารางแสดงกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกจาก Dumbbell Row:
กล้ามเนื้อ | ประโยชน์ที่ได้รับ |
---|---|
Latissimus Dorsi | กล้ามเนื้อหลังทำให้หลังดู กว้าง และ มีมิติ |
Rhomboids & Trapezius | ช่วยให้หลังดู คม และ เรียบเนียน |
Biceps Brachii | เพิ่มความ กระชับ และ เฟิร์ม ของแขน |
💡 เคล็ดลับจากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row จะเห็นผล ชัดเจนที่สุด ถ้าเราใส่ใจทุกรายละเอียดในจังหวะการดึงและปล่อย ขณะที่เราทำการบีบสะบักและใช้ศอกดึงเป็นหลัก การฝึกอย่างถูกต้องจะช่วยให้ได้ รูปร่างหลังที่สมส่วน และแขนที่ดู กระชับ ขึ้น
6. ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึกสม่ำเสมอ
พร้อมอ้างอิงงานวิจัย และประสบการณ์ที่โค้ชใช้เตรียมประกวด
ผลลัพธ์ 1: หลังกระชับ ดูมีมิติ
จากประสบการณ์จริง:
เมื่อโค้ชเริ่มฝึก Dumbbell Row แบบสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อหลังเริ่มมี มิติชัดเจน ใน 3 สัปดาห์แรก ด้วยการฝึก 3 ครั้ง/สัปดาห์
- Latissimus Dorsi (หลังด้านข้าง) จะเริ่มดู กว้าง และ ดูโค้งเป็นรูปตัว V ทำให้ร่างกายดูสมส่วนมากขึ้น
- Rhomboids & Trapezius (สะบักและกลางหลัง) จะทำให้หลังดู เรียบเนียน และ มีเส้น ชัดเจนเวลาหันข้าง
- Biceps จะทำให้แขนดู กระชับ โดยไม่ต้องฝึก Bicep Curl แยก
💡 Insight จากโค้ช:
หลังจากฝึก Dumbbell Row มาอย่างต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ โค้ชรู้สึกว่า “หลังไม่แบน” และเวลาใส่ชุดประกวดก็ดู เต็ม ขึ้นมาก เพราะกล้ามเนื้อหลังจะบ่งบอกถึงการฝึกที่มีประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเนื้อที่ดี
ผลลัพธ์ 2: การพัฒนาไหล่และทรงตัว
การฝึก Dumbbell Row ยังช่วยให้ Trapezius และ Rhomboids ทำงานเต็มที่ ซึ่งช่วยในเรื่องของการพัฒนา ไหล่ และ ทรงตัว ที่ดี
- การบีบสะบักจะช่วยให้กล้ามเนื้อไหล่ ไม่ตก และดูแข็งแรงขึ้น
- การฝึกกล้ามเนื้อ Trapezius จะทำให้ไหล่ดู กว้างขึ้น เพิ่มความแข็งแรงและการทรงตัวที่ดี
💡 Insight จากโค้ช:
เมื่อฝึก Dumbbell Row อย่างถูกวิธีในช่วง 2 เดือนก่อนการแข่งขัน Mr. Thailand 2025 โค้ชพบว่าไหล่ของตัวเองดู กว้าง และ เต็ม มากขึ้น บางทีการทำ Trapezius และ Rhomboids ให้แข็งแรง ช่วยให้ร่างกายเราดูสมส่วนมากขึ้นกว่าแค่การฝึกไหล่คนเดียว
ผลลัพธ์ 3: การเสริมความแข็งแรงให้กับหลังและกล้ามเนื้อ
จากลูกศิษย์:
ลูกศิษย์หลายคนที่เคยมีปัญหา หลังไม่แข็งแรง จากการนั่งทำงานนาน ๆ หรือหลังเคยบาดเจ็บ พบว่า Dumbbell Row ช่วยให้หลังแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ลูกศิษย์คนหนึ่งที่อายุ 47 ปี บอกว่า “หลังไม่ตึงเวลานั่งทำงาน” หลังฝึกท่านี้เป็นเวลา 4 สัปดาห์
- ลูกศิษย์อายุ 60 ปีที่เคยมีอาการปวดหลังจากการยกของหนัก บอกว่า “สามารถยกของหนักได้มากขึ้น โดยไม่มีอาการปวดหลังล่างอีกเลย”
💡 Insight จากโค้ช:
การฝึกกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงไม่เพียงแต่ช่วยเสริมรูปร่างให้ดูดีขึ้น แต่ยัง ช่วยลดการบาดเจ็บ จากการทำกิจกรรมประจำวัน และช่วยให้เรามี พลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น
งานวิจัยที่สนับสนุนผลลัพธ์:
งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research (2016) พบว่า:
การฝึกท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลัง เช่น Dumbbell Row จะช่วยเสริมความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อหลัง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวที่เราทำในชีวิตประจำวัน เช่น การยกของ การเดินทางไกล การเล่นกีฬา
สรุปผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึก Dumbbell Row
- หลังดูมีมิติและกว้างขึ้น
- ไหล่แข็งแรง ดูกว้างขึ้น
- การเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง ทำให้สามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น และช่วยลดการบาดเจ็บ
7. 3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่านี้ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)
โค้ชปุนิ่มสอนว่า ถ้าไม่มีเครื่อง ก็เล่นได้เหมือนกัน ขอแค่เข้าใจหลัก
เครื่องที่ 1: เครื่องดึงหลัง (Lat Pulldown Machine)
วิธีใช้:
เครื่องดึงหลังที่มีแถบให้จับจะเป็นเครื่องที่สามารถทดแทนการฝึก Dumbbell Row ได้ดี โดยเฉพาะในการฝึก Latissimus Dorsi (หลังด้านข้าง) หากไม่สามารถทำท่าดัมเบลที่พื้นได้
- ในกรณีที่คุณไม่สามารถหาม้านั่งหรือไม่มีดัมเบลหนักพอ เครื่องดึงหลังจะช่วยให้เราฝึกได้เหมือนกัน
- วิธีการ: ให้จับแถบให้มั่นคง หย่อนแขนลงจนสุด แล้วดึงขึ้นจนแถบอยู่ที่ระดับหน้าอก
Insight จากโค้ช:
เครื่องนี้ใช้ได้ดีสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถควบคุมท่าดึงใน Dumbbell Row ได้ เพราะจะช่วยให้สามารถโฟกัสกับกล้ามเนื้อหลังได้มากขึ้น และยังเป็นเครื่องที่ดีสำหรับการฝึกกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ในรูปแบบที่ปลอดภัย
เครื่องที่ 2: Seated Row Machine
วิธีใช้:
หากคุณต้องการฝึก Rhomboids และ Trapezius (กล้ามเนื้อกลางหลังและสะบัก) เครื่อง Seated Row ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เครื่องนี้จะให้แรงต้านในลักษณะเดียวกับ Dumbbell Row แต่ว่ามีแรงต้านเสถียรกว่า
- วิธีการ: นั่งบนเครื่องแล้วใช้มือจับที่แถบหรือจับเป็นกรงเล็บดึงไปข้างหลังจนกระทั่งศอกเลื่อนข้างลำตัว
Insight จากโค้ช:
เครื่องนี้ช่วยให้การฝึกกล้ามเนื้อหลังที่เป็น “คอมพาวด์มูฟเมนต์” ได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับ Dumbbell Row โดยเครื่องช่วยให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการรักษาท่าทางและสามารถฝึกได้ตรงจุดมากขึ้น
เครื่องที่ 3: Smith Machine (สำหรับทำ Single Arm Row)
วิธีใช้:
หากคุณต้องการการฝึกที่ปลอดภัยและคงที่มากขึ้น Smith Machine เป็นเครื่องที่ดีในการฝึก Single Arm Row โดยมีการกำหนดเส้นทางการเคลื่อนไหวของบาร์ให้ตรง
- วิธีการ: วางเข่าข้างหนึ่งบนม้านั่งที่มีการรองรับ แล้วจับบาร์ด้วยมือข้างที่ต้องการฝึก ดึงบาร์ขึ้นไปตามแนวของลำตัวและบีบสะบักในช่วงสุดท้าย
Insight จากโค้ช:
เครื่อง Smith จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในท่าการฝึกและเหมาะสมกับผู้ที่ฝึกในรูปแบบที่คุมการเคลื่อนไหวได้ง่าย แต่ยังสามารถทำให้หลังแข็งแรงได้เช่นเดียวกับ Dumbbell Row
ถ้าไม่มีเครื่อง?
ไม่ต้องกังวลค่ะ! หากในยิมไม่มีเครื่องที่กล่าวถึง โค้ชยังคงแนะนำให้ฝึก Dumbbell Row แบบ One Arm Row ด้วยการใช้ดัมเบลหรือเหล็กยกขึ้นลงบนพื้น
- วิธีการ: ใช้ดัมเบลวางบนพื้นแล้วทำท่าดึงด้วยการเก็บแกนกลางอย่างมั่นคง บีบสะบักและดึงด้วยศอกที่ข้างลำตัว
- ท่านี้จะได้ผลเช่นเดียวกันเพราะเน้นการฝึกกล้ามเนื้อหลังและแขนไปพร้อม ๆ กัน
💡 Insight จากโค้ช:
การฝึก One Arm Row ให้ดีไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ สามารถฝึกได้ในทุกที่ถ้ามีแค่ดัมเบลเบา ๆ และม้านั่งรองรับ
สรุปเครื่องที่ใช้ฝึก Dumbbell Row ได้:
เครื่อง | วิธีการใช้ | กล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึก |
---|---|---|
Lat Pulldown Machine | ดึงแถบขึ้นและลง | Latissimus Dorsi (หลังด้านข้าง) |
Seated Row Machine | ดึงแถบไปข้างหลัง | Rhomboids & Trapezius (สะบักและกลางหลัง) |
Smith Machine | ดึงบาร์ขึ้นในแนวเดิม | Latissimus Dorsi, Rhomboids & Trapezius |
Dumbbell One Arm Row | ดึงดัมเบลขึ้นด้วยศอก | กล้ามเนื้อหลังทั้งหมด |
Insight จากโค้ช:
โค้ชเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องมีเครื่องครบทุกตัวในยิมเพื่อฝึก Dumbbell Row ค่ะ ถ้าเราเข้าใจหลักการฝึก กล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi, Rhomboids, และ Trapezius ก็สามารถพัฒนาได้ทั้งจากการใช้เครื่องหรือดัมเบลแบบพื้นฐาน
8. ท่านี้เหมาะกับใคร?
โค้ชอายุ 45 ปีบอกเลยว่า “ไม่สายเกินไป ถ้าคุณอยากเริ่มตอนนี้”
1. ผู้ที่ต้องการเพิ่มกล้ามหลังให้ดูสมส่วน
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทุกคนสามารถฝึก Dumbbell Row ได้ค่ะ เพราะท่านี้ช่วย สร้างกล้ามหลังที่แข็งแรง และ เสริมสร้างความสมส่วน ของร่างกาย
- การฝึกท่านี้จะช่วยให้หลังของเราดู ไม่แบน และ มีมิติ มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่คุณต้องการ V-shape หรือ S-curve สำหรับผู้หญิง
- สำหรับผู้ชาย Dumbbell Row จะช่วยเพิ่มความ กว้าง และ หนา ให้กับกล้ามเนื้อหลัง ทำให้รูปร่างโดยรวมดูสมส่วนและแข็งแรง
Insight จากโค้ช:
ในช่วง 2 เดือนที่โค้ชเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2025, การฝึก Dumbbell Row ช่วยให้หลังของโค้ชมี มิติที่ชัดเจน โดยไม่ต้องฝึก Deadlift หนัก ๆ
2. นักวิ่งที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงให้กับลำตัว
การวิ่งต้องการการทรงตัวที่ดี การมี แกนกลางที่แข็งแรง และ หลังที่แข็งแรง จะช่วยให้การวิ่งของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการบาดเจ็บจากการวิ่งระยะไกล
- Dumbbell Row ช่วยฝึกกล้ามเนื้อหลังและ Core ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่สำคัญในการทรงตัวขณะวิ่ง
- การฝึกหลังให้แข็งแรงจะช่วยให้กล้ามเนื้อขาของเราได้แรงในการผลักตัวขณะวิ่ง และช่วยในการ ทรงตัว ในการเคลื่อนไหวทุกทิศทาง
💡 Insight จากโค้ช:
เมื่อโค้ชเตรียมตัวสำหรับ Garmin Run Asia Series 2024, โค้ชใช้ Dumbbell Row เป็นหนึ่งในท่าฝึกหลักเพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับหลังและ Core ซึ่งช่วยให้โค้ชวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ผู้ที่นั่งทำงานนาน ๆ และรู้สึกปวดหลัง
หากคุณเป็นคนที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การฝึก Dumbbell Row จะช่วยแก้ปัญหาหลังค่อม ไหล่ห่อ และ ลดอาการปวดหลังจากการนั่งทำงานนาน ได้อย่างดี
- ท่านี้ช่วย กระตุ้นกล้ามเนื้อหลังส่วนกลาง และ บีบสะบัก ช่วยแก้ไขท่าทางที่ไม่ดีจากการนั่งนาน
- เมื่อฝึกบ่อย ๆ จะช่วยให้ กล้ามเนื้อหลังของคุณ แข็งแรงขึ้น และลดอาการปวดหลังได้
4. นักกีฬาในประเภทฟิตเนสหรือเพาะกาย
การฝึก Dumbbell Row ถือเป็นท่าพื้นฐานที่ทุกคนในวงการฟิตเนสต้องฝึก เนื่องจากมันช่วยเสริมความแข็งแรงของ หลัง, ไหล่, และ แขน รวมถึงเป็นท่าที่ช่วยให้ กล้ามเนื้อหลังดูเด่น ในการประกวด
- ท่านี้สำคัญในการพัฒนา Trapezius และ Latissimus Dorsi ให้มีเส้นกล้ามที่ชัดเจน
- หากทำท่านี้ได้ถูกต้องจะช่วยเพิ่ม ความสมดุล ของร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อหลัง, หน้าอก, และแขนไม่ล่าช้าในการพัฒนา
💡 Insight จากโค้ช:
ในการเตรียมตัวสำหรับการประกวดฟิตเนส Mr. Thailand 2025, โค้ชปุนิ่มฝึก Dumbbell Row เพื่อเสริมหลังและไหล่ให้ดู แข็งแรงและกว้าง พร้อมกับการฝึก Core ที่มั่นคง
5. ผู้ที่อยากมีรูปร่างที่สมส่วนและแข็งแรงในทุกส่วน
หากคุณต้องการกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงและ เพิ่มทรงสวยให้กับร่างกาย ท่านี้เหมาะมากค่ะ เพราะมันช่วยให้ หลัง, ไหล่, และแขน ดูดี และกล้ามเนื้อหลังจะช่วยทำให้คุณมี S-shape ที่สมส่วน
สรุปว่า Dumbbell Row เหมาะกับใคร:
- ผู้ที่ต้องการ เพิ่มกล้ามหลัง ให้ดูสมส่วนและแข็งแรง
- นักวิ่งที่ต้องการ เสริมความแข็งแรงให้กับลำตัว และลดการบาดเจ็บ
- ผู้ที่นั่งทำงานนาน ๆ และต้องการ ลดอาการปวดหลัง
- นักกีฬาในประเภทฟิตเนสและเพาะกายที่ต้องการ เสริมกล้ามเนื้อหลัง
- ผู้ที่ต้องการมี รูปร่างที่สมส่วน และแข็งแรงในทุกส่วน
9. ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด
สูตรการฝึกที่โค้ชปุนิ่มใช้ในการเทรนตัวเองก่อนขึ้นเวที
สูตรฝึกที่ 1: การฝึกแบบ Full Body Workout
โค้ชปุนิ่มมักใช้การฝึก Full Body Workout ที่ประกอบด้วยท่าพื้นฐานที่ใช้กล้ามเนื้อหลายมัดร่วมกัน เช่น Squats, Deadlifts, Push-ups, และ Dumbbell Row โดยเฉพาะ Dumbbell Row ที่ช่วยฝึก กล้ามเนื้อหลัง และ แขน ไปพร้อมกัน
Insight จากโค้ช:
การฝึกเต็มตัวแบบนี้ทำให้ร่างกายเราใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับทั้งตัว Core แข็งแรงขึ้นและช่วยในการ ปรับสมดุล ของร่างกาย
ทำไม Full Body ถึงดี:
- ช่วยให้ การสร้างกล้ามเนื้อ เป็นไปได้เร็วขึ้น
- เพิ่มการ เผาผลาญไขมัน ในระหว่างการฝึก
- ใช้ กล้ามเนื้อทุกส่วน ทำให้เราพัฒนาได้ครบทุกมัด
เคล็ดลับ:
โค้ชแนะนำให้ฝึกแบบ Full Body 3 ครั้ง/สัปดาห์ โดยเลือกท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลักๆ และฝึก Dumbbell Row ในวันเว้นวัน สำหรับคนที่อยากมี กล้ามหลังที่กระชับ และ ไหล่ที่แข็งแรง
สูตรฝึกที่ 2: การฝึกแบบ Split Training
สำหรับคนที่อยากเน้น การพัฒนากล้ามหลัง อย่างจริงจัง โค้ชแนะนำให้ฝึกแบบ Split Training โดยแยกการฝึกในแต่ละวันเพื่อให้มีกล้ามเนื้อที่ได้การฝึกอย่างเต็มที่ เช่น:
- วันจันทร์: หลัง และ ไหล่ — ทำ Dumbbell Row, Seated Row, Shoulder Press
- วันพุธ: ขา และ ท้อง — ทำ Squats, Lunges, Plank
- วันศุกร์: แขน และ หน้าอก — ทำ Push-ups, Bicep Curls, Tricep Dips
Insight จากโค้ช:
การแยกวันฝึกจะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนได้รับการฝึกอย่างเต็มที่ และเราไม่ต้องฝึกทุกอย่างในวันเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ พักฟื้น และเติบโตได้ดีขึ้น
ทำไม Split Training ถึงเหมาะ:
- ช่วยให้การฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนดีขึ้น
- เพิ่ม การฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หลังการฝึกหนัก
- ฝึกได้เน้น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
เคล็ดลับ:
หากคุณฝึกตาม Split Training โค้ชแนะนำให้มีวันพักระหว่างการฝึก เช่น วันพุธ หรือวันอาทิตย์ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักเต็มที่และเติบโตได้ดีที่สุด
สูตรฝึกที่ 3: การฝึกแบบ High-Intensity Interval Training (HIIT)
สำหรับคนที่มีเวลาไม่มากหรืออยากได้ ผลลัพธ์เร็ว โค้ชแนะนำการฝึกแบบ HIIT ที่ผสมการฝึกแบบ Cardio กับ Strength Training โดยการฝึก Dumbbell Row ที่มีช่วงสั้นๆ แต่ท่าทางต้องทำให้ถูกต้องและเน้น ความหนัก ทุกเซต
- ตัวอย่าง HIIT:
- Dumbbell Row x 30 วินาที
- Push-ups x 30 วินาที
- Mountain Climbers x 30 วินาที
- Plank x 30 วินาที
- พัก 30 วินาที
Insight จากโค้ช:
การฝึกแบบ HIIT นอกจากจะช่วยในเรื่อง การเผาผลาญไขมัน ได้ดีแล้ว ยังช่วยให้ การฟิตกล้ามหลัง มีประสิทธิภาพและสามารถ สังเกตผลลัพธ์ได้เร็ว ด้วยการผสมความหนักและระยะเวลาการฝึกที่มีประสิทธิภาพ
ทำไม HIIT ถึงมีผลลัพธ์ดี:
- เผาผลาญไขมัน ได้มากขึ้นในเวลาที่จำกัด
- เพิ่มการ ทำงานของหัวใจ และ ระบบการไหลเวียนเลือด
- ฟื้นฟูกล้ามเนื้อและช่วยให้ กล้ามเนื้อ ทำงานได้เต็มที่
เคล็ดลับ:
โค้ชแนะนำให้ฝึก HIIT 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หากอยากเห็นผลลัพธ์ใน ความแข็งแรง และ รูปร่างที่ชัดเจน
สรุปการฝึกที่ได้ผลเร็ว:
- Full Body Workout: ฝึกทุกส่วนของร่างกายในวันเดียว เพิ่มการเผาผลาญและเสริมความแข็งแรง
- Split Training: เน้นการฝึกกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนโดยแยกการฝึกในแต่ละวัน
- HIIT: การฝึกแบบความเข้มข้นสูงในระยะเวลา짧ให้ผลลัพธ์ที่ดีในเวลาที่จำกัด
10. Special Tip จากเวทีจริง & สนามแข่ง
บทเรียนที่ไม่มีใน YouTube แต่โค้ชเจอมาเองกับตัว
Tip 1: “การฝึก Dumbbell Row ไม่ใช่แค่การดึงขึ้น แต่ต้องคุมการปล่อยลง”
Insight จากโค้ช:
ในการเตรียมตัวสำหรับ Thailand Open Masters Games 2025, โค้ชใช้เวลาฝึก Dumbbell Row เน้นการควบคุมช่วงการปล่อยดัมเบล (Negative Phase) ช้า ๆ เพราะนี่คือช่วงที่กล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi และ Rhomboids ทำงานหนักที่สุด การคุมจังหวะนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลัง มีความหนาและฟิต มากขึ้นในเวลาไม่นาน
“ใครจะไปคิดว่าการปล่อยดัมเบลลงช้า ๆ เป็นส่วนสำคัญในการได้กล้ามหลังที่เต็มและมีมิติแบบนี้”
จากประสบการณ์ของโค้ชเอง การฝึกการปล่อยช้าช่วยให้กล้ามเนื้อไม่เพียงแค่แข็งแรง แต่ เพิ่มความละเอียดในเส้นกล้ามเนื้อ อย่างเห็นได้ชัด
Tip 2: “การบีบสะบักให้เต็มที่จะทำให้หลังคุณดู ‘มีมิติ’ มากขึ้น”
Insight จากโค้ช:
อีกหนึ่ง Tip ที่โค้ชใช้ก่อนขึ้นเวที คือการบีบสะบักให้แน่นในช่วงที่ดึงดัมเบลขึ้น บางครั้งคนฝึก Dumbbell Row จะมองข้ามขั้นตอนนี้ แต่การบีบสะบักจะช่วย เปิดหลัง และทำให้กล้ามเนื้อหลังด้านกลางและสะบักดูคมชัดขึ้น
“ตอนโค้ชขึ้นเวทีประกวด ฟีดแบคจากกรรมการคือ หลังของโค้ชดูดีมากค่ะ—นี่คือผลจากการฝึก Dumbbell Row และการบีบสะบักที่แน่นในจังหวะดึง”
โดยเฉพาะในเวทีประกวดฟิตเนส บางครั้งการมี เส้นกล้ามที่ชัดเจน คือกุญแจที่ทำให้เราชนะในการแข่งขัน การบีบสะบักอย่างเต็มที่ในทุกท่า Dumbbell Row จะทำให้เราได้ หลังที่แหลมคม ขึ้น
Tip 3: “ฝึก Dumbbell Row แบบ ‘Slow Burn’ จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน”
Insight จากโค้ช:
หนึ่งในเทคนิคที่โค้ชใช้ในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2025 คือการฝึก Dumbbell Row แบบ “Slow Burn” โดยการทำท่าช้า ๆ อย่างมีสติในทุก ๆ เซต
“การฝึกช้า ๆ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานมากขึ้นและไม่เกิดความล้าเร็ว ช่วยให้เส้นกล้ามเนื้อชัดและหลังไม่เสียรูปในระหว่างการแข่งขัน”
การใช้จังหวะช้า ๆ ทำให้กล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi ได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ เพราะมันทำให้เราไม่แค่ยกน้ำหนักไปข้างหน้า แต่ ควบคุมทุกการเคลื่อนไหว ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Tip 4: “ฝึก Dumbbell Row ข้างละ 3 เซตให้สมบูรณ์ จะเห็นผลชัดเจนใน 4 สัปดาห์”
Insight จากโค้ช:
ในช่วงก่อนการประกวด Thailand Open Masters Games 2024, โค้ชปุนิ่มฝึก Dumbbell Row โดยแบ่งเซตให้ครบทั้งสองข้างอย่างสมบูรณ์ในแต่ละวัน และเน้นการฝึกทุกเซต 3 เซต ต่อข้าง
“การฝึกข้างละ 3 เซตทำให้ ทั้งสองข้างทำงานเท่ากัน และกล้ามเนื้อมีความสมดุลกัน ดีที่สุดสำหรับการเตรียมตัวก่อนขึ้นเวทีประกวด”
หลายคนที่ฝึก Dumbbell Row แบบข้างเดียวอาจเจอปัญหาความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อทั้งสองข้าง หากคุณฝึกข้างละ 3 เซต มันจะช่วยให้ กล้ามเนื้อหลัง ของเราดูเท่ากันและสมบูรณ์
Tip 5: “Dumbbell Row ควบคู่กับการฝึก Core คือเคล็ดลับที่ทำให้คุณมีทรงหลังที่ดี”
Insight จากโค้ช:
การฝึก Core (หน้าท้อง) ควบคู่กับ Dumbbell Row จะทำให้หลังของเรามีความ แข็งแรง และ ดูสมดุล มากขึ้น
“การมี Core ที่แข็งแรงจะช่วยให้เราทำท่า Dumbbell Row ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการฝึก Core ทำให้เราไม่แอ่นหลังและมีการควบคุมที่ดีในทุกท่า”
การเสริมการฝึก Core เช่น Plank, Russian Twist หรือ Leg Raise ร่วมกับการฝึก Dumbbell Row จะช่วยให้เรามี ความแข็งแรงของแกนกลาง และทำให้การฝึกกล้ามเนื้อหลังทำงานได้เต็มที่
สรุป Special Tip ที่โค้ชใช้จริง:
- ควบคุมการปล่อยลงช้า ๆ (Negative Phase) ช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานเต็มที่
- บีบสะบักให้แน่น ทุกครั้งที่ดึงดัมเบลขึ้นเพื่อเพิ่มมิติให้กับหลัง
- การฝึก “Slow Burn” จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเห็นผลในระยะยาว
- ฝึกข้างละ 3 เซต เพื่อให้กล้ามเนื้อทั้งสองข้างมีการพัฒนาเท่ากัน
- ควบคู่กับการฝึก Core เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับการฝึกท่าดัมเบล
11. สรุปการฝึก Dumbbell Row เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
เคล็ดลับที่โค้ชปุนิ่มใช้ในการฝึก Dumbbell Row เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อหลังและรูปร่างที่สมส่วน
1. ฝึกท่าดัมเบลให้ถูกต้องก่อนเริ่มฝึกหนัก
Insight จากโค้ช:
ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้ฝึกมานานแล้ว การตั้งท่าฝึกที่ถูกต้อง คือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด หากเราฝึกท่าไม่ถูกต้อง กล้ามเนื้อที่เราต้องการฝึกก็จะไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่ การรักษาท่าทางให้ถูกต้องในช่วง Negative Phase และการ บีบสะบักให้เต็มที่ จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยมากขึ้น
“โค้ชเคยพลาดตั้งแต่ตอนแรก ๆ ในการฝึก Dumbbell Row แล้วรู้สึกว่า หลังยังไม่ฟิต เพราะทำท่าไม่ถูก โค้ชจึงต้องเน้นการควบคุมฟอร์มให้สมบูรณ์ก่อน จะได้กล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงจริง ๆ”
2. ควรเริ่มจากน้ำหนักที่เบาก่อน เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังทำงานเต็มที่
Insight จากโค้ช:
อย่ารีบเลือกน้ำหนักหนักเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น โค้ชแนะนำให้เริ่มฝึกด้วยน้ำหนักที่ เบา เพื่อเน้นการทำให้ฟอร์มสมบูรณ์ ก่อนที่จะเพิ่มน้ำหนักขึ้นตามความสามารถ เมื่อฝึกหนักโดยที่ท่าทางไม่ถูกต้อง กล้ามเนื้อหลังจะไม่ได้รับการกระตุ้นที่ดีที่สุด
“โค้ชแนะนำให้น้ำหนักไม่เกิน 50% ของน้ำหนักที่เราทำได้สบาย ๆ ในช่วงแรก ๆ แล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักเมื่อเราเริ่มเก่งขึ้น”
3. ฝึก Dumbbell Row ร่วมกับการฝึก Core
Insight จากโค้ช:
การฝึก Core ควบคู่กับ Dumbbell Row จะช่วยให้การฝึกของเรา มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการมี Core ที่แข็งแรงจะช่วยให้เรามั่นคงในทุกท่าทาง
- โค้ชแนะนำการฝึก Plank, Russian Twist, หรือ Leg Raises เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมฝึก
- เมื่อแกนกลางของร่างกายแข็งแรง เราสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดีขึ้น และไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
4. ฝึก Dumbbell Row เป็นประจำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row ทุกสัปดาห์ 2-3 ครั้งจะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังของเรา แข็งแรง และ ดูมีมิติ มากขึ้น หากฝึกต่อเนื่องเป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดเจน แต่โค้ชยังคงแนะนำให้พักระหว่างการฝึกเพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นฟูได้ดี
“โค้ชทำ Dumbbell Row ทุกสัปดาห์ในโปรแกรมฝึก 2–3 ครั้ง เพื่อให้หลังแข็งแรงและเพิ่มกล้ามเนื้อได้เต็มที่”
5. การควบคุมการปล่อยลงช้า ๆ (Negative Phase) เป็นหัวใจสำคัญ
Insight จากโค้ช:
ในขณะที่ดึงดัมเบลขึ้นมาไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อทำงานเต็มที่จริง ๆ แต่การ ปล่อยลงช้า ๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่โค้ชให้ความสำคัญกับ Negative Phase ซึ่งเป็นการยืดกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่
“การปล่อยลงช้า ๆ ช่วยให้กล้ามเนื้อหลังยืดตัวและทำงานได้ดีขึ้น ในระยะยาวจะช่วยเพิ่มความหนาให้กับกล้ามเนื้อหลังอย่างมีประสิทธิภาพ”
สรุปเคล็ดลับในการฝึก Dumbbell Row:
- เริ่มจากน้ำหนักเบา และค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักเมื่อฟอร์มถูกต้อง
- ฝึกควบคู่กับการฝึก Core เพื่อความสมดุลของร่างกาย
- เน้นการปล่อยลงช้า ๆ (Negative Phase) เพื่อเพิ่มการกระตุ้นกล้ามเนื้อ
- ฝึก Dumbbell Row ทุกสัปดาห์ 2-3 ครั้ง เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
บทเรียนจากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row ไม่เพียงแต่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหลังให้ดูสวยและแข็งแรง แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับ Core และ ไหล่ ทำให้คุณมี ทรงหลัง ที่แข็งแรงและเหมาะสมในทุก ๆ ท่าทางที่ฝึก
12. สรุปข้อดีและข้อเสียของการฝึก Dumbbell Row
ให้คำแนะนำจากโค้ชสำหรับผู้ฝึกที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อดีของการฝึก Dumbbell Row
1. เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi, Rhomboids, และ Trapezius ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วย ทรงตัว และ การเคลื่อนไหว ของร่างกายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการยกของหนัก
- ทำให้หลังดู กว้างขึ้น และ มีมิติ
- ช่วยให้รูปร่างโดยรวมดู สมส่วน และมี ทรงหลัง ที่ดีขึ้น
“หลังที่แข็งแรงช่วยให้การทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปได้ดี เช่น การยกของหนัก การเล่นกีฬา และการวิ่ง”
2. เสริมสร้างความสมดุลของร่างกาย
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row มีผลดีทั้งกับกล้ามเนื้อหลังและแขน รวมถึงช่วยปรับสมดุลร่างกายให้ทำงานได้เต็มที่ เช่น การดึงแรงจาก หลัง, บ่า, และ แขน พร้อม ๆ กัน
- ช่วยให้ ท่าทาง ของเราดูดีขึ้น เพราะช่วยให้ไหล่ไม่ตกและหลังตรง
- การฝึกกล้ามเนื้อหลังอย่างสม่ำเสมอทำให้การ เคลื่อนไหวทุกทิศทาง ของร่างกายราบรื่นขึ้น
3. สามารถฝึกได้ทุกที่
Insight จากโค้ช:
Dumbbell Row สามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์แค่ ดัมเบล และ ม้านั่ง เท่านั้น ถ้าไม่มีก็สามารถทำ One Arm Row บนพื้นได้ ซึ่งสะดวกและสามารถทำได้ทุกที่
- เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาน้อยหรือคนที่ฝึกที่บ้าน
- คุณไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่หรือยุ่งยาก
❌ ข้อเสียของการฝึก Dumbbell Row
1. การควบคุมท่าทางที่ยากสำหรับผู้เริ่มต้น
Insight จากโค้ช:
หนึ่งในข้อเสียที่พบคือ การควบคุมท่าทาง ในช่วงแรกของการฝึก ซึ่งบางคนมักจะ ดึงด้วยแขน หรือ แอ่นหลัง ทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่ได้ทำงานเต็มที่
- หากไม่ควบคุมท่าทางอย่างถูกต้องอาจเกิดอาการ บาดเจ็บ ที่หลัง
- ควรเริ่มฝึกด้วยน้ำหนักเบาและ เน้นท่าทางให้ถูกต้อง ก่อนจะเพิ่มน้ำหนัก
เคล็ดลับจากโค้ช:
โค้ชแนะนำให้เริ่มจากการฝึกที่ น้ำหนักเบา และ ควบคุมการดึง ด้วย ศอก แทนการดึงด้วยมือ เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังทำงานได้เต็มที่
2. การฝึกซ้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดการเบื่อ
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row บ่อย ๆ โดยไม่มีความหลากหลายอาจทำให้เกิดความ เบื่อ หรือ ซ้ำซาก เนื่องจากท่านี้ไม่สามารถทดแทนการฝึกกล้ามเนื้อทั้งหมดได้
- ควรมีการปรับโปรแกรมฝึกอย่างสม่ำเสมอ
- ผสมผสานการฝึกท่าอื่น ๆ เช่น Lat Pulldown, Seated Row, หรือ Deadlift เพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับร่างกาย
เคล็ดลับจากโค้ช:
โค้ชแนะนำให้ฝึก Dumbbell Row ควบคู่กับท่าอื่น ๆ ที่ใช้กล้ามเนื้อหลังเพื่อป้องกันการเบื่อ และให้ร่างกายได้พัฒนากล้ามเนื้ออย่างสมดุล
สรุปข้อดีและข้อเสียของการฝึก Dumbbell Row:
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง | ควบคุมท่าทางยากสำหรับผู้เริ่มต้น |
เสริมสร้างความสมดุลของร่างกาย | การฝึกซ้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดการเบื่อ |
สามารถฝึกได้ทุกที่ | ต้องควบคุมการฝึกอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ |
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row เป็นท่าที่สำคัญในการสร้างความแข็งแรงของร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังและไหล่ แม้ว่าจะมีข้อเสียบางประการ แต่ถ้าเราฝึกอย่างมีสติและควบคุมท่าทางให้ถูกต้อง จะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจแน่นอน
13. สรุปทั้งหมด: เคล็ดลับการฝึก Dumbbell Row อย่างมีประสิทธิภาพ
ให้คุณฝึกท่านี้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
1. ฝึกให้ถูกต้องก่อนเพิ่มน้ำหนัก
Insight จากโค้ช:
การเริ่มต้นฝึก Dumbbell Row อย่างถูกต้องสำคัญมาก เพราะท่านี้ใช้กล้ามเนื้อหลายมัดในการดึงน้ำหนักขึ้น ดังนั้นการเริ่มจากน้ำหนักเบาและ โฟกัสที่ท่าทาง ก่อนเป็นสิ่งที่โค้ชแนะนำเสมอ
- ให้ ควบคุมการดึง ด้วย ศอก และ เก็บแกนกลางให้แน่น
- ค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักเมื่อมั่นใจในท่าทางแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
“หากฝึกท่าด้วยน้ำหนักหนักเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น อาจทำให้กล้ามเนื้อที่เราต้องการฝึกไม่ได้ทำงานเต็มที่”
2. ควบคุมการปล่อยลงให้ช้า (Negative Phase)
Insight จากโค้ช:
การปล่อยดัมเบลลงช้า จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมากขึ้นในช่วงที่กล้ามเนื้อยืดหรือที่เรียกว่า Negative Phase โค้ชปุนิ่มเน้นการฝึกช้า ๆ ในท่านี้ เพราะการทำให้ช้าช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
- ควบคุมการปล่อยลง 2-3 วินาที เพื่อกระตุ้นการยืดของกล้ามเนื้อ
- กล้ามเนื้อหลัง จะได้แรงต้านอย่างเต็มที่
“การทำ Negative Phase ช้า ๆ ถือเป็นตัวช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อให้หนาขึ้น โดยไม่ต้องใช้น้ำหนักมากเกินไป”
3. ฝึกร่วมกับท่าฝึกอื่น ๆ สำหรับกล้ามเนื้อหลัง
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโปรแกรมฝึกกล้ามเนื้อหลัง โค้ชแนะนำให้ฝึกท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลังหลาย ๆ ท่า เช่น Lat Pulldown, Seated Row, หรือ Pull-Ups เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วน
- การผสมผสานท่าฝึก จะทำให้กล้ามเนื้อหลังได้รับการฝึกในทุกมิติ
- ควรฝึกอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการฝึกท่าเดียวซ้ำ ๆ เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อไม่พัฒนา
4. การฝึก Core ควบคู่กับ Dumbbell Row
Insight จากโค้ช:
การมี Core ที่แข็งแรงจะช่วยให้การฝึก Dumbbell Row ทำได้ดีขึ้น เพราะ Core ที่แข็งแรงจะช่วยให้ แกนกลาง ของร่างกายมั่นคงในทุกท่าทาง และลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ
- ฝึก Plank, Russian Twist, และ Leg Raise ควบคู่กับ Dumbbell Row เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของ Core
- Core ที่แข็งแรง จะช่วยให้คุณ ควบคุมท่าทาง และ เพิ่มความมั่นคง ในการฝึก
“การฝึก Core จะช่วยให้เราทำท่าฟิตเนสทุกท่าได้ดีขึ้นและลดการบาดเจ็บ”
5. ฝึก Dumbbell Row สม่ำเสมอเพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
Insight จากโค้ช:
การฝึก Dumbbell Row อย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์จะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์ที่ ยั่งยืน และ มั่นคง ในการเพิ่มกล้ามเนื้อหลัง โค้ชแนะนำให้ฝึกท่านี้ร่วมกับท่าอื่น ๆ เพื่อเสริมความแข็งแรงของร่างกาย
- Dumbbell Row ทำให้ได้กล้ามเนื้อหลังที่ดู กระชับ และ แข็งแรง
- ควบคู่กับการฝึกที่สมดุล และการพักผ่อนที่เพียงพอเพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นฟู
สรุปเคล็ดลับการฝึก Dumbbell Row อย่างมีประสิทธิภาพ:
- เริ่มจากน้ำหนักเบา และ ควบคุมท่าทางให้ถูกต้อง ก่อนเพิ่มน้ำหนัก
- เน้น การควบคุมการปล่อยลงช้า (Negative Phase) เพื่อกระตุ้นการยืดของกล้ามเนื้อ
- ผสมท่าฝึกอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ครบถ้วนในกล้ามเนื้อหลัง
- ฝึก Core ควบคู่กับ Dumbbell Row เพื่อเพิ่มความมั่นคงและลดการบาดเจ็บ
- ฝึก Dumbbell Row สม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การฝึก Dumbbell Row เป็นท่าที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อหลังให้ดู สวยงาม และ แข็งแรง โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย เมื่อฝึกอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ร่างกายเรามี ความสมดุล และ หลังที่แข็งแรง ซึ่งสำคัญมากในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
สรุปจบจากโค้ชปุนิ่ม: เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงด้วย Dumbbell Row วันนี้
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว แปลว่าพวกคุณเองก็มีความสนใจและตรงใจกับเรื่องการออกกำลังกายเอามากๆ ค่ะ!
จากประสบการณ์การฝึกและขึ้นเวทีมาหลายปี โค้ชปุนิ่มอยากให้ทุกคนรู้ว่า Dumbbell Row ไม่ใช่แค่ท่าฝึกหลัง แต่เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างร่างกายที่แข็งแรงและสมส่วน การมีกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรงจะช่วยให้การฝึกท่าอื่นๆ เป็นไปได้ดีขึ้น และเป็นรากฐานสำคัญของนักกีฬาทุกประเภท
หากสนใจเรื่องการออกกำลังกายเพิ่มเติม โค้ชยังมีบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายส่วนต่างๆ อยู่อีก:
สำหรับกล้ามเนื้อแขน:
- Tricep Extension – ปั้นต้นแขนด้านหลังให้กระชับ
- Bicep Curl – สร้างต้นแขนด้านหน้าที่แข็งแรง
- Hammer Curl – เทคนิคพิเศษสำหรับแขนที่สมส่วน
- Arnold Press – ท่าโปรดของ Arnold Schwarzenegger
สำหรับกล้ามเนื้อหลังเพิ่มเติม:
- Bent Over Row – ท่าคู่หูของ Dumbbell Row
- T-Bar Row – สำหรับหลังที่หนาและแข็งแรง
- Barbell Row – เวอร์ชั่นขั้นสูง
สำหรับไหล่ที่แข็งแรง:
- Shoulder Press – ท่าหลักสำหรับไหล่
- Lateral Raise – ไหล่กว้างแบบนักกีฬา
- Front Raise – เสริมความแข็งแรงไหล่ด้านหน้า
โปรแกรมการฝึกแบบครบครัน:
- 30 Day Workout Plan สำหรับผู้ชาย – โปรแกรม 1 เดือนเต็ม
- 15 นาทีต่อวันลดน้ำหนัก – สำหรับคนเวลาน้อย
- การฝึกหลังที่บ้าน 20 ท่า – เพื่อเสริมท่า Dumbbell Row
อุปกรณ์ที่ต้องมี:
หากคุณพร้อมจะเริ่มต้นการฝึกจริงจัง ลองดู ชุดดัมเบลคุณภาพสูง และ อุปกรณ์โฮมยิม ที่โค้ชแนะนำ เพื่อให้การฝึกของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด
💬 ข้อความจากใจของโค้ชปุนิ่ม:
“การออกกำลังกายไม่ใช่แค่การสร้างกล้ามเนื้อ แต่เป็นการสร้างวินัย ความมั่นใจ และคุณภาพชีวิتที่ดีขึ้น ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ หรือเริ่มต้นจากจุดไหน วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น”
เริ่มต้นด้วย Dumbbell Row วันนี้ แล้วมาร่วมเดินทางสู่เป้าหมายการออกกำลังกายไปด้วยกันค่ะ! 🏆