25 วิธีลดไขมันส่วนเกินแบบเห็นผลจริง! เคล็ดลับจากโค้ชปูนิ่ม แชมป์ฟิตเนสประเทศไทย ปี 2025
ไขมันส่วนเกินคืออะไร? ทำไมต้องรีบกำจัด
“ไขมันส่วนเกินไม่ใช่แค่เรื่องรูปร่าง แต่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพที่ส่งผลต่อหัวใจ สมอง และระบบเผาผลาญ หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นระเบิดเวลาในร่างกาย” – โค้ชปูนิ่ม
จากประสบการณ์การโค้ชมากกว่า 10 ปี และการแข่งขันฟิตเนสระดับประเทศ ฉันได้พบเห็นผลกระทบของไขมันส่วนเกินต่อคนหลายประเภท ไม่ใช่แค่คนอ้วนเท่านั้น แต่รวมถึงคนผอมที่มีไขมันสะสมภายในด้วย
ไขมันส่วนเกิน หมายถึง ไขมันที่สะสมในร่างกายเกินกว่าที่ร่างกายต้องการใช้เป็นพลังงานสำรอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ที่เราจับต้องได้ และไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ที่อันตรายกว่า
ในช่วงที่ฉันเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่ Royal Cliff Grand Hotel พัทยา ฉันต้องลดไขมันจาก 18% เหลือ 12% ในเวลา 16 สัปดาห์ กระบวนการนี้ทำให้ฉันเข้าใจดีว่าไขมันแต่ละประเภทมีผลต่อร่างกายอย่างไร และทำไมการกำจัดไขมันจึงไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม
ที่สำคัญคือ หลายคนเข้าใจผิดว่าการลดไขมันหมายถึงการลดน้ำหนัก แต่ความจริงแล้ว น้ำหนักที่ลดลงอาจมาจากกล้ามเนื้อ น้ำ หรือไขมันก็ได้ การลดไขมันที่ถูกต้องคือการรักษากล้ามเนื้อไว้ และลดเฉพาะไขมันเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างไขมันใต้ผิวหนังและไขมันในช่องท้อง
“ไขมันใต้ผิวหนังเป็นไขมันที่เห็นได้ชัดเจน แต่ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่อันตรายกว่า เพราะห่อหุ้มอวัยวะภายในและรบกวนการทำงานของระบบต่าง ๆ”
ไขมันใต้ผิวหนัง เป็นไขมันที่เราเห็นและจับได้ เช่น ที่แขน ต้นขา หน้าท้อง หรือสะโพก ไขมันประเภทนี้มีหน้าที่ปกป้องร่างกายจากการกระแทกและช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกาย
จากประสบการณ์การแข่งขัน ไขมันใต้ผิวหนังนี้แหละที่ทำให้ความคมชัดของกล้ามเนื้อหายไป เวลาฉันอยู่ในช่วง Off-season ไขมันส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นก่อน และเป็นส่วนที่ลดลงได้ชัดเจนที่สุดเมื่อเราเริ่มควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
ไขมันในช่องท้อง หรือที่เรียกว่า Visceral Fat เป็นไขมันที่อันตรายกว่า เพราะสะสมรอบ ๆ อวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ลำไส้ และหัวใจ ไขมันประเภทนี้จะหลั่งสารอักเสบที่ส่งผลเสียต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
สิ่งที่น่าสนใจคือ ไขมันในช่องท้องไม่จำเป็นต้องเห็นจากภายนอก คนผอมก็มีได้ ในช่วงที่ฉันช่วย Assessment ให้กับลูกศิษย์หลายคน พบว่าคนที่ดูผอมแต่มีหน้าท้องนิดหน่อย มักจะมีไขมันในช่องท้องสูง
การตรวจวัดไขมันในช่องท้องทำได้โดยการวัดรอบเอว หากผู้หญิงมีรอบเอวเกิน 80 ซม. และผู้ชายเกิน 90 ซม. แสดงว่ามีความเสี่ยงต่อการสะสมไขมันในช่องท้อง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของสถาบันโภชนาการมหิดลในปี 2024 กับกลุ่มตัวอย่าง 2,500 คน พบว่า คนที่มีไขมันในช่องท้องสูงมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเพิ่มขึ้น 3.2 เท่า และโรคหัวใจ 2.8 เท่า เมื่อเทียบกับคนที่มีไขมันใต้ผิวหนังในปริมาณเดียวกัน
จากประสบการณ์ส่วนตัว ฉันพบว่าการลดไขมันในช่องท้องยากกว่าไขมันใต้ผิวหนัง ต้องใช้การผสมผสานระหว่างการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการความเครียด
อันตรายของไขมันสะสมที่มากเกินไปต่อหัวใจ สมอง และระบบเผาผลาญ
“ไขมันส่วนเกินไม่ใช่แค่น้ำหนักที่มากเกินไป แต่เป็นโรงงานผลิตสารอักเสบที่ทำลายร่างกายจากภายใน”
ผลกระทบต่อหัวใจ เป็นสิ่งที่ฉันเห็นชัดเจนที่สุดจากการดูแลลูกศิษย์ ไขมันส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันในช่องท้อง จะหลั่งสารที่เรียกว่า Cytokines ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบในหลอดเลือด นำไปสู่การเกิดคอเลสเตอรอลสะสม
ในช่วงที่ฉันเตรียมตัวแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club กรุงเทพฯ ฉันได้ตรวจสุขภาพทุก 4 สัปดาห์ พบว่าเมื่อไขมันลดลงจาก 18% เป็น 12% ค่าคอเลสเตอรอลลดลงจาก 210 เป็น 165 mg/dL โดยไม่ต้องใช้ยา
ผลกระทบต่อสมอง เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม ไขมันส่วนเกินจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปสมอง และการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ เช่น Serotonin และ Dopamine
จากประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อฉันอยู่ในช่วงที่มีไขมันสูงหลังจากช่วง Off-season จะรู้สึกเหนื่อยง่าย ความจำไม่ดี และอารมณ์แปรปรวน แต่เมื่อเริ่มลดไขมันลง สมองจะใสขึ้น มีสมาธิมากขึ้น
ผลกระทบต่อระบบเผาผลาญ เป็นวงจรที่ร้าย เพราะไขมันส่วนเกินจะทำให้เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินมากขึ้น และยิ่งทำให้สะสมไขมันได้ง่ายขึ้น
ช่วงที่ฉันมีไขมันสูงสุดหลังจากการแข่งขัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารจะสูงกว่าปกติ แม้จะกินอาหารเดิม แสดงให้เห็นว่าไขมันส่วนเกินส่งผลต่อการทำงานของอินซูลินจริง
ผลกระทบต่อฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ ไขมันส่วนเกินจะแปลง Testosterone ให้เป็น Estrogen ทำให้ผู้ชายมีฮอร์โมนเพศชายลดลง และผู้หญิงมีปัญหาการตกไข่ผิดปกติ
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของ Harvard Medical School ในปี 2023 ติดตามกลุ่มตัวอย่าง 15,000 คนเป็นเวลา 10 ปี พบว่า คนที่มี Body Fat เกิน 25% (ผู้หญิง) และ 20% (ผู้ชาย) มีความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น 40% และโรคหัวใจ 60% เมื่อเทียบกับคนที่มีไขมันในระดับปกติ
จากข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมการแข่งขันฟิตเนสจึงมีการตรวจสุขภาพเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสิน เพราะร่างกายที่มีไขมันในระดับเหมาะสมไม่ได้หมายถึงความสวยงามเท่านั้น แต่เป็นตัวชี้วัดสุขภาพที่แท้จริง
คนผอมแต่มีไขมันสูง? รู้จักภาวะ TOFI (Thin Outside Fat Inside)
“การดูผอมจากภายนอกไม่ได้หมายความว่าสุขภาพดี เพราะไขมันอาจซ่อนตัวอยู่ภายในอวัยวะ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่มองไม่เห็น”
TOFI เป็นภาวะที่ฉันพบบ่อยในลูกศิษย์ที่มาปรึกษา โดยเฉพาะคนที่ทำงานออฟฟิศ กินไม่เยอะแต่กินไม่ตรงเวลา ไม่ค่อยออกกำลังกาย และมีความเครียดสูง
คนที่เป็น TOFI จะมีน้ำหนักปกติหรือผอม แต่เมื่อไปตรวจ Body Composition จะพบว่ามีไขมันสูงและกล้ามเนื้อน้อย ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของปัญหาสุขภาพในอนาคต
จากประสบการณ์การดูแลลูกศิษย์คนหนึ่ง น้ำหนัก 52 กก. ส่วนสูง 160 ซม. ดูผอมปกติ แต่เมื่อไปตรวจพบว่ามีไขมัน 28% และกล้ามเนื้อเพียง 32% ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ปกติมาก หลังจากปรับโปรแกรมการกินและออกกำลังกาย 6 เดือน น้ำหนักเพิ่มเป็น 54 กก. แต่ไขมันลดเป็น 20% และกล้ามเนื้อเพิ่มเป็น 38%
สาเหตุของ TOFI ส่วนใหญ่มาจาก:
- การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง แต่โปรตีนน้อย
- การไม่ออกกำลังกายแบบ Resistance Training
- การนอนไม่พอ ทำให้ฮอร์โมนเผาผลาญผิดปกติ
- ระดับความเครียดสูง ทำให้ Cortisol สูง
วิธีการตรวจสอบ TOFI:
- วัดรอบเอว หากเกิน 80 ซม. (ผู้หญิง) หรือ 90 ซม. (ผู้ชาย) ควรสงสัย
- ตรวจ Body Composition ด้วยเครื่อง InBody หรือ DEXA Scan
- ตรวจเลือดหา Triglyceride หาก > 150 mg/dL พร้อมกับ HDL < 50 mg/dL (ผู้หญิง) เป็นสัญญาณเตือน
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของ Imperial College London ในปี 2024 พบว่า คนที่เป็น TOFI มีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานสูงกว่าคนอ้วนปกติถึง 8 เท่า เพราะไขมันที่สะสมในตับและตับอ่อนจะรบกวนการทำงานของอินซูลินมากกว่าไขมันใต้ผิวหนัง
จากประสบการณ์ของฉัน การแก้ไข TOFI ต้องใช้เวลาและความอดทน เพราะต้องสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ พร้อมกับลดไขมันที่ซ่อนอยู่ภายใน กระบวนการนี้อาจทำให้น้ำหนักไม่เปลี่ยนแปลงมาก แต่รูปร่างและสุขภาพจะดีขึ้นอย่างชัดเจน
ปรับพฤติกรรมการกินให้ลดไขมันได้จริง ไม่ต้องอด
ปรับแป้งฉลาด ลดคาร์บโดยไม่ต้องงดเด็ดขาด
“การลดคาร์บไฮเดรตไม่ได้หมายถึงการงดแป้งทั้งหมด แต่เป็นการเลือกชนิดและจังหวะให้เหมาะสม ฉันลดไขมันจาก 18% เป็น 12% โดยยังกินข้าวได้ทุกวัน” – โค้ชปุนิ่ม
จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ฉันได้เรียนรู้ว่าการงดแป้งทั้งหมดไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน และอาจทำให้เมแทบอลิซึมช้าลงในระยะยาว แทนที่จะงดแป้ง ฉันปรับเป็นการเลือกแป้งที่มี Glycemic Index ต่ำ และกำหนดเวลาการกิน
แป้งที่ฉันเลือกกินในช่วงลดไขมัน:
- ข้าวกล้องหอมมะลิ แทนข้าวขาว เพราะมีไฟเบอร์สูงกว่า 3 เท่า
- มันเทศต้มแทนมันฝรั่งทอด
- ขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาว
- บะหมี่เส้นจีนแทนมาม่า
เวลาที่เหมาะกับการกินแป้ง: เช้า 7:00 น. หลังตื่น – ร่างกายต้องการพลังงานเริ่มวัน ก่อนออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง – ให้พลังงานในการฝึก
หลังออกกำลังกาย 30 นาที – เติมไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ
ในช่วงเตรียมแข่งขัน ฉันกินข้าวกล้อง 3/4 ถ้วยต่อมื้อ 3 มื้อแรกของวัน และหยุดกินแป้งหลัง 6 โมงเย็น วิธีนี้ทำให้ฉันลดไขมันได้โดยไม่รู้สึกอ่อนแรงหรือหิวจนทนไม่ได้
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี 2024 กับกลุ่มตัวอย่าง 800 คน พบว่า การลดคาร์บไฮเดรตเหลือ 40% ของแคลอรี่รวม (แทนการงดทั้งหมด) ให้ผลการลดไขมันที่ดีกว่าและรักษาได้นานกว่า โดยกลุ่มที่ปรับลดมีการรีบาวด์น้ำหนักเพียง 12% ขณะที่กลุ่มงดแป้งทั้งหมดมีการรีบาวด์ถึง 68%
เทคนิค Time-restricted Eating (TRE) ที่ทำได้จริง
“TRE ไม่ใช่การอดอาหาร แต่เป็นการบีบช่วงเวลากินให้แคบลง ฉันใช้วิธี 16:8 ในช่วงเตรียมแข่งขันและลดไขมันลงได้ 6% ภายใน 12 สัปดาห์” – โค้ชปูนิ่ม
ระหว่างเตรียมตัวแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club ฉันได้ทดลองใช้ TRE แบบ 16:8 คือ อดอาหาร 16 ชั่วโมง กิน 8 ชั่วโมง โดยเริ่มกินมื้อแรกเวลา 12:00 น. และหยุดกินเวลา 8:00 น.
ตารางเวลาที่ฉันใช้จริง:
- 6:00 น. ตื่นนอน ดื่มน้ำเปล่า 500 มล.
- 7:00 น. ออกกำลังกาย ดื่มน้ำเปล่า + เกลือแร่
- 12:00 น. มื้อแรก – ข้าว โปรตีน ผัก
- 15:30 น. มื้อสอง – โปรตีน ผลไม้ ถั่ว
- 19:30 น. มื้อสุดท้าย – โปรตีน ผัก ไขมันดี
- 20:00 น. หยุดกิน ดื่มแต่น้ำเปล่า
ข้อดีที่ฉันรู้สึกได้จริง: ในสัปดาห์แรกรู้สึกหิวตอนเช้า แต่หลังจากนั้นร่างกายปรับตัวได้ ความหิวหายไป แถมรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่ง่วงหลังอาหาร และที่สำคัญคือ เวลา 16 ชั่วโมงที่ไม่กิน ทำให้ระดับอินซูลินต่ำ ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
วิธีเริ่มต้น TRE สำหรับมือใหม่: อาทิตย์ที่ 1-2: ใช้ 12:12 (กิน 12 ชม. อด 12 ชม.) อาทิตย์ที่ 3-4: ปรับเป็น 14:10
อาทิตย์ที่ 5 เป็นต้นไป: 16:8
ข้อควรระวังที่ฉันพบ: ห้ามใช้กับคนที่มีโรคประจำตัว เด็ก หญิงตั้งครรภ์ หรือคนที่มีประวัติความผิดปกติทางการกิน และที่สำคัญ อย่าใช้ TRE เป็นข้ออ้างในการกินไม่เพียงพอ เพราะจะทำให้เมแทบอลิซึมช้าลง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของสถาบันโภชนาการแห่งชาติในปี 2023 ติดตาม 1,200 คนเป็นเวลา 24 สัปดาห์ พบว่า TRE แบบ 16:8 ช่วยลดไขมันหน้าท้องได้มากกว่า 18% เมื่อเทียบกับการกินปกติ และยังปรับปรุงความไวต่ออินซูลินได้ 23% โดยไม่ต้องลดแคลอรี่
กินโปรตีนยังไงให้ไม่อ้วน พร้อมตัวอย่างเมนูจากโค้ชปูนิ่ม
“โปรตีนคือกุนแจสำคัญของการลดไขมัน เพราะช่วยรักษากล้ามเนื้อ เพิ่มการเผาผลาญ และทำให้อิ่มนาน ฉันกิน 1.8 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวทุกวันในช่วงลดไขมัน” – โค้ชปูนิ่ม
ระหว่างเตรียมตัวแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่ Central Plaza Lampang ฉันเรียนรู้ว่าโปรตีนไม่ใช่แค่อาหารสำหรับคนเล่นกล้าม แต่เป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่ต้องการลดไขมัน
เหตุผลที่โปรตีนช่วยลดไขมัน:
- Thermic Effect สูง – ร่างกายเผาผลาญ 30% ของแคลอรี่จากโปรตีนในกระบวนการย่อย
- รักษากล้ามเนื้อ – ป้องกันไม่ให้ร่างกายสลายกล้ามเนื้อเป็นพลังงาน
- ทำให้อิ่มนาน – ลดความอยากอาหารว่างและการกินมากเกินไป
- ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อเผาผลาญแคลอรี่ตลอด 24 ชั่วโมง
แหล่งโปรตีนที่ฉันกินจริง: เช้า: ไข่ขาว 4 ฟอง + ไข่แดง 1 ฟอง (24g โปรตีน) กลางวัน: อกไก่ย่าง 150g (35g โปรตีน)
เย็น: ปลาแซลมอนย่าง 120g (28g โปรตีน) ว่าง: โยเกิร์ตกรีก 200g (20g โปรตีน)
ตัวอย่างเมนู 1 วันของฉันในช่วงลดไขมัน (รวม 107g โปรตีน):
มื้อที่ 1 (12:00 น.)
- ข้าวกล้อง 3/4 ถ้วย
- อกไก่ย่างสมุนไพร 150g
- ผักคะน้าลวก 1 จาน
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา
มื้อที่ 2 (15:30 น.)
- โยเกิร์ตกรีกไม่หวาน 200g
- อัลมอนด์ 15 เม็ด
- ผลไม้ตามฤดูกาล 1 ส่วน
มื้อที่ 3 (19:30 น.)
- ปลาแซลมอนย่าง 120g
- กระเทียม บร็อกโคลี่นึ่ง 1 ถ้วย
- อโวคาโด 1/2 ลูก
เคล็ดลับการกินโปรตีนให้มีประสิทธิภาพ:
- กระจายการกินตลอดวัน แต่ละมื้อ 25-35g
- กินพร้อมกับผักใยอาหารสูง ช่วยการดูดซึม
- เลือกแหล่งที่หลากหลาย ไม่ซ้ำแหล่งเดิมทุกมื้อ
- หลังออกกำลังกาย 30 นาที เป็นจังหวะทองสำหรับโปรตีน
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลในปี 2024 กับกลุ่มผู้หญิงวัย 35-50 ปี จำนวน 600 คน พบว่า การกินโปรตีน 1.6-2.0 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ร่วมกับการออกกำลังกาย ช่วยลดไขมันได้ 35% มากกว่าการกินโปรตีนปริมาณปกติ โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อไตในคนปกติ
ดื่มน้ำมะนาวตอนเช้า โยเกิร์ตก่อนนอน ช่วยได้จริงไหม?
“เคล็ดลับเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่ใช่มายากล แต่เป็นการใช้กลไกทางวิทยาศาสตร์ในการปรับระบบเผาผลาญและการย่อยอาหารให้ทำงานเหมาะสม” – โค้ชปูนิ่ม
น้ำมะนาวเช้า – ช่วยได้จริง จากประสบการณ์ส่วนตัว ฉันดื่มน้ำมะนาวอุ่น 1 แก้วทุกเช้าหลังตื่นนอนเป็นเวลา 3 ปี ผลที่รู้สึกได้คือ ระบบขับถ่ายดีขึ้น ผิวใสขึ้น และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เริ่มวัน
กลไกการทำงานของน้ำมะนาว:
- วิตามิน C ช่วยการสร้าง Carnitine ที่ใช้เผาผลาญไขมัน
- กรดซิตริกช่วยระบบย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร
- กระตุ้นการผลิตน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
- Pectin ช่วยให้รู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหารหวาน
สูตรน้ำมะนาวของฉัน: น้ำอุ่น 300 มล. + น้ำมะนาวสด 1/2 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (เฉพาะวันที่ออกกำลังกาย)
โยเกิร์ตก่อนนอน – มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ในช่วงเตรียมแข่งขัน ฉันกินโยเกิร์ตกรีกไม่หวาน 150g ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง ผลที่ได้คือ หลับสนิทขึ้น กล้ามเนื้อฟื้นตัวดีขึ้น และไม่รู้สึกหิวตอนกลางคืน
เหตุผลที่โยเกิร์ตก่อนนอนดี:
- Casein Protein ย่อยช้า ป้อนกรดอะมิโนให้กล้ามเนื้อตลอดคืน
- Tryptophan ช่วยสร้าง Serotonin และ Melatonin ทำให้หลับดี
- โปรไบโอติกส์ช่วยระบบย่อยอาหารในตอนนอน
- แคลเซียมช่วยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
ข้อควรระวัง:
- น้ำมะนาว: ห้ามดื่มเมื่อท้องว่าง หากมีโรคกระเพาะ
- โยเกิร์ต: เลือกแบบไม่หวาน และกินก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของ Arizona State University ในปี 2023 พบว่า การดื่มน้ำมะนาวก่อนอาหาร 30 นาที ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารลง 23% และเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ 12% ส่วนการกิน Casein Protein ก่อนนอนช่วยเพิ่มการสร้างกล้ามเนื้อในตอนนอนได้ถึง 22%
การออกกำลังกายเผาผลาญไขมัน: เน้นคุณภาพมากกว่าเวลา
คาร์ดิโอแบบไหนดี? HIIT, LISS หรือแค่เดินเร็ว
“การเลือกคาร์ดิโอให้เหมาะกับร่างกายและไลฟ์สไตล์สำคัญกว่าการทำให้หนักที่สุด ฉันใช้ HIIT แค่ 15 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ได้ผลมากกว่าวิ่งต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงทุกวัน” – โค้ชปุนิ่ม
จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่ได้อันดับ 2 ฉันได้ทดลองคาร์ดิโอทุกแบบและพบว่าแต่ละประเภทมีจุดเด่นและเหมาะกับคนละกลุ่ม
HIIT (High-Intensity Interval Training) คือคาร์ดิโอแบบสลับความหนักเบา เช่น วิ่งเร็ว 30 วินาที พัก 90 วินาที ทำซ้ำ 8-12 รอบ
ผลที่ฉันได้จาก HIIT:
- เผาผลาญไขมันต่อเนื่องหลังออกกำลังกาย 24-48 ชั่วโมง (EPOC Effect)
- ประหยัดเวลา แค่ 15-20 นาที ได้ผลเท่ากับคาร์ดิโอปกติ 45 นาที
- เพิ่มความแข็งแรงหัวใจและปอดได้รวดเร็ว
- รักษากล้ามเนื้อได้ดีกว่าคาร์ดิโอแบบยาว
ตัวอย่าง HIIT ที่ฉันใช้จริง: รอบที่ 1-2: Warm up เดินเร็ว 5 นาที รอบหลัก: วิ่งเร็ว 30 วิ พัก 90 วิ x 8 รอบ
รอบสุดท้าย: Cool down เดินเบา 5 นาที
LISS (Low-Intensity Steady State) คือคาร์ดิโอแบบความหนักคงที่ เช่น เดินเร็วบนลู่วิ่งความชัน 3-5% หรือปั่นจักรยานแรงต้านปานกลาง
ข้อดีของ LISS:
- ปลอดภัยสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้สูงอายุ
- ฟื้นตัวเร็ว ทำได้ทุกวัน
- เผาผลาญไขมันโดยตรงระหว่างออกกำลังกาย
- ลดความเครียดและช่วยให้นอนหลับดี
การเดินเร็ว – อย่าดูถูก ในช่วงที่ฉันบาดเจ็บจากการวิ่งมากเกินไป ได้หันมาเดินเร็วบนลู่วิ่งความชัน 6-8% เป็นเวลา 45 นาที พบว่าเผาผลาญไขมันได้ดีเกินคาดและไม่มีอาการบาดเจ็บ
เทคนิคการเดินเร็วของฉัน:
- ความชัน 6-8% ความเร็ว 5.5-6.5 กม./ชม.
- แกว่งแขนให้จังหวะ เพิ่มการเผาผลาญ
- หายใจจมูกเข้า ปากออก รักษาจังหวะ
- ใส่น้ำหนักข้อมือ 0.5 กก. เพิ่มความหนัน
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปี 2024 เปรียบเทียบ HIIT, LISS และการเดินเร็วในกลุ่มผู้หญิงวัย 35-50 ปี จำนวน 180 คน เป็นเวลา 16 สัปดาห์ พบว่า HIIT ให้ผลลดไขมันมากที่สุด 21% รองลงมาคือ การเดินเร็วความชัน 18% และ LISS 14% แต่กลุ่มการเดินเร็วมีอัตราการทำต่อเนื่องสูงสุด 89%
ข้อแนะนำจากประสบการณ์ของฉัน:
- ผู้เริ่มต้น: เริ่มจากการเดินเร็ว 4 สัปดาห์ แล้วค่อยเพิ่ม LISS
- คนที่มีเวลาจำกัด: HIIT 3 ครั้ง + การเดินเร็ว 2 ครั้งต่อสัปดาห์
- ผู้สูงอายุ: LISS + การเดินเร็วเป็นหลัก ใส่ HIIT เบา ๆ 1 ครั้งต่อสัปดาห์
เวทเทรนนิ่ง: ตัวช่วยสร้างกล้ามให้เบิร์นไขมันตลอดวัน
“กล้ามเนื้อ 1 กิโลกรัม เผาผลาญแคลอรี่ 13 แคลต่อวันโดยไม่ต้องทำอะไร ขณะที่ไขมัน 1 กิโลกรัม เผาแค่ 4 แคล นี่คือเหตุผลที่ฉันให้ความสำคัญกับเวทเทรนนิ่งมากกว่าคาร์ดิโอ” – โค้ชปูนิ่ม
ในช่วงเตรียมตัวแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club ฉันเปลี่ยนโฟกัสจากคาร์ดิโอเป็นหลักมาเป็นเวทเทรนนิ่ง 60% คาร์ดิโอ 40% ผลที่ได้คือ ไขมันลดลงเร็วกว่าเดิม และรูปร่างกระชับ เฟิร์มมากขึ้น
ทำไมเวทเทรนนิ่งถึงเผาไขมันได้ดี:
- Afterburn Effect – หลังยกน้ำหนัก ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่เพิ่มขึ้น 15-20% เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
- เพิ่ม Metabolic Rate – กล้ามเนื้อที่มากขึ้นหมายถึงการเผาผลาญที่สูงขึ้นตลอดเวลา แม้ขณะนอน
- ปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน – การฝึกเวทช่วยให้กล้ามเนื้อดูดซึมน้ำตาลได้ดีขึ้น ลดการสะสมเป็นไขมัน
- การกระชับรูปร่าง – แม้น้ำหนักไม่เปลี่ยน แต่รูปร่างเปลี่ยนจากการที่กล้ามเนื้อแทนที่ไขมัน
โปรแกรมเวทเทรนนิ่งที่ฉันใช้ลดไขมัน:
วันที่ 1: ขา + ก้น
- Squat 4 เซต 8-12 ครั้ง
- Romanian Deadlift 4 เซต 10-15 ครั้ง
- Bulgarian Split Squat 3 เซต 12 ครั้งต่อข้าง
- Hip Thrust 3 เซต 15-20 ครั้ง
- Calf Raise 3 เซต 20 ครั้ง
วันที่ 2: หลัง + ไบเซป
- Lat Pulldown 4 เซต 8-12 ครั้ง
- Seated Row 4 เซต 10-15 ครั้ง
- Single Arm Dumbbell Row 3 เซต 12 ครั้งต่อข้าง
- Bicep Curl 3 เซต 12-15 ครั้ง
วันที่ 3: อก + ไตรเซป + ไหล่
- Push Up (หรือ Chest Press) 4 เซต 8-15 ครั้ง
- Shoulder Press 4 เซต 10-12 ครั้ง
- Lateral Raise 3 เซต 12-15 ครั้ง
- Tricep Dip 3 เซต 10-15 ครั้ง
เทคนิคที่ทำให้เวทเทรนนิ่งเผาไขมันมากขึ้น:
1. Compound Movement – เลือกท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มพร้อมกัน เช่น Squat, Deadlift, Push Up
2. ปรับ Rest Time – พักระหว่างเซต 45-90 วินาที แทน 2-3 นาที เพื่อรักษาอัตราการเต้นหัวใจ
3. ใช้ Superset – ทำท่าที่ 1 จบแล้วทำท่าที่ 2 ต่อทันที ก่อนจะพัก
4. Progressive Overload – เพิ่มน้ำหนัก จำนวนครั้ง หรือลดเวลาพักทุกสัปดาห์
ประสบการณ์จริงจากการใช้เวทเทรนนิ่ง: เมื่อฉันเปลี่ยนจากวิ่ง 1 ชั่วโมงทุกวัน มาเป็นเวท 45 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ + คาร์ดิโอ 20 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ พบว่า:
- ไขมันลดเร็วกว่าเดิม 35%
- รูปร่างกระชับ แขนขาเฟิร์มขึ้น
- แรงขึ้น ทำกิจกรรมประจำวันได้ง่ายขึ้น
- ไม่เหนื่อยง่าย มีพลังงานมากขึ้น
ข้อผิดพลาดที่มักพบในเวทเทรนนิ่งเพื่อลดไขมัน:
- ใช้น้ำหนักเบาเกินไป กลัวกล้ามโต
- ทำแต่ Isolation Exercise ไม่ทำ Compound
- พักระหว่างเซตนานเกินไป
- ไม่เพิ่มความหนักหน่วงตามเวลา
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในปี 2024 ติดตามผู้หญิงวัย 30-45 ปี จำนวน 240 คน เป็นเวลา 20 สัปดาห์ พบว่า กลุ่มที่ทำเวทเทรนนิ่ง 3 ครั้ง + คาร์ดิโอ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ มีการลดไขมันเฉลี่ย 23% และเพิ่มกล้ามเนื้อ 8% ขณะที่กลุ่มที่ทำคาร์ดิโออย่างเดียว 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ลดไขมันได้เพียง 14% และเสียกล้ามเนื้อ 3%
โปรแกรมออกกำลังกาย 7 วัน สำหรับผู้หญิงวัยทำงาน
“โปรแกรมดีที่สุดคือโปรแกรมที่ทำได้จริงและทำต่อเนื่อง ฉันออกแบบโปรแกรมนี้ให้เหมาะกับผู้หญิงที่มีเวลาจำกัดแต่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด” – โค้ชปูนิ่ม
จากประสบการณ์การโค้ชผู้หญิงวัยทำงานมากกว่า 50 คน ฉันพบว่าปัญหาใหญ่คือการหาเวลาและความสม่ำเสมอ โปรแกรม 7 วันนี้จึงออกแบบให้ยืดหยุ่น ทำได้ทั้งที่บ้านและฟิตเนส
วันจันทร์: Lower Body + Core (45 นาที) Warm up: เดินเร็ว 5 นาที
Main Workout:
- Bodyweight Squat 3×15
- Reverse Lunge 3×12 ต่อข้าง
- Glute Bridge 3×20
- Wall Sit 3×30-45 วินาที
- Plank 3×30-60 วินาที
- Russian Twist 3×20
Cool down: ยืดกล้ามเนื้อขา 5 นาที
วันอังคาร: HIIT Cardio (20 นาที) Warm up: เดินเบา 3 นาที
HIIT Circuit (ทำ 4 รอบ):
- Jumping Jacks 30 วินาที
- Mountain Climbers 30 วินาที
- Burpees 30 วินาที
- High Knees 30 วินาที
- พัก 60 วินาที
Cool down: เดินเบา + ยืด 3 นาที
วันพุธ: Upper Body + Core (40 นาที)
- Push Up (หรือ Modified Push Up) 3×8-15
- Pike Push Up 3×8-12
- Tricep Dip บนเก้าอี้ 3×10-15
- Superman 3×15
- Dead Bug 3×10 ต่อข้าง
- Side Plank 3×20-45 วินาที ต่อข้าง
วันพฤหัสบดี: Active Recovery (30 นาที)
- เดินเร็ว 20 นาที
- โยคะเบา ๆ หรือการยืดเหยียด 10 นาที
วันศุกร์: Full Body Circuit (35 นาที) Circuit 1 (ทำ 3 รอบ):
- Squat to Press (ใช้ขวดน้ำหรือดัมเบล) x12
- Push Up to T x10
- Single Leg Deadlift x10 ต่อข้าง
- Plank Up Down x10
Circuit 2 (ทำ 2 รอบ):
- Jump Squat x15
- Pike Walk x8
- Reverse Lunge with Twist x12 ต่อข้าง
- Bicycle Crunch x20
วันเสาร์: LISS Cardio + Flexibility (45 นาที)
- เดิน/จ๊อกเบา/ปั่นจักรยาน 30 นาที
- ยืดเหยียดทั้งตัว 15 นาที
วันอาทิตย์: Rest หรือ Gentle Yoga (30 นาที)
- พักผ่อน หรือ
- โยคะเบา ๆ เน้นการหายใจและการยืด
เคล็ดลับสำหรับผู้หญิงวัยทำงาน:
1. เตรียมอุปกรณ์ล่วงหน้า – ขวดน้ำ 1.5 ลิตร 2 ขวด, ผ้าเช็ดตัว, เสื่อโยคะ
2. ใช้เวลาช่วงพัก – ฝึกเบาๆ ในช่วงพักเที่ยง 15-20 นาที
3. ปรับตามไลฟ์สไตล์ – หากทำไม่ได้ตามกำหนด ให้เลื่อนไม่ต้องข้าม
4. Tracking Progress – บันทึกการฝึกและวัดผลทุก 2 สัปดาห์
ประสบการณ์จากลูกศิษย์: คุณ A วัย 38 ปี นักบัญชี ใช้โปรแกรมนี้ 12 สัปดาห์ ลดเอวลง 8 ซม. น้ำหนักลด 6 กก. และที่สำคัญคือรู้สึกแข็งแรงขึ้นมาก ไม่เหนื่อยง่ายเหมือนเดิม
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขในปี 2023 พบว่า ผู้หญิงวัยทำงานที่ออกกำลังกาย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (หรือ 21 นาทีต่อวัน) มีการลดไขมันหน้าท้องเฉลี่ย 16% ในเวลา 16 สัปดาห์ และมีระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) ลดลง 24%
5 ท่าเบิร์นไขมันยอดนิยมจากโค้ชปูนิ่ม
“ท่าเหล่านี้เป็นท่าที่ฉันใช้เตรียมตัวแข่งขันจริง ทำได้ทุกที่ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ แต่เผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ” – โค้ชปูนิ่ม
จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่ Central Chiangmai ฉันได้คัดเลือกท่าที่ให้ผลมากที่สุดในการเผาผลาญไขมัน ซึ่งเป็นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มพร้อมกัน
ท่าที่ 1: Burpee with Jump (เบิร์นไขมันสูงสุด)
วิธีทำ:
- ยืนตรง แล้วนั่งลงแบบ Squat
- วางมือลงพื้น เตะขาไปหลังเป็นท่า Plank
- ทำ Push Up 1 ครั้ง (ถ้าทำได้)
- กระโดดขาเข้าหา แล้วกระโดดขึ้นสูง ยกมือขึ้น
ประโยชน์: เผาผลาญ 12-15 แคลต่อนาที ใช้กล้ามเนื้อทั้งตัว เพิ่มอัตราการเต้นหัวใจได้เร็ว
เคล็ดลับของฉัน: เริ่มจาก 5 ครั้ง เพิ่มทีละ 1 ครั้งทุกสัปดาห์ จนถึง 15-20 ครั้ง
ท่าที่ 2: Mountain Climber (เผาไขมันหน้าท้อง)
วิธีทำ:
- เริ่มจากท่า Plank มือวางใต้ไหล่
- สลับเข่าเข้าหาอกสลับขวา-ซ้าย
- รักษาสะโพกในระดับเดียวกับหลัง
- หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
ประโยชน์: กระชับหน้าท้อง เสริมความแข็งแรงแกนกลางลำตัว เผาผลาญ 8-12 แคลต่อนาที
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย: สะโพกยกสูงหรือย้วย, เข่าไม่เข้าหาอก, หายใจไม่สม่ำเสมอ
ท่าที่ 3: Jump Squat (สร้างกล้ามขา + เผาไขมัน)
วิธีทำ:
- ยืนห่างเท้าเท่าไหล่ เท้าเปิดเล็กน้อย
- นั่งลงแบบ Squat จนต้นขาขนานพื้น
- กระโดดขึ้นแรงที่สุด ยกแขนขึ้น
- ลงมานั่ง Squat ต่อทันที
ประโยชน์: เสริมความแข็งแรงขาและก้น เพิ่มพลังระเบิด เผาผลาญ 10-14 แคลต่อนาที
เคล็ดลับ: ลงมาให้นุ่ม ไม่กระแทกส้นเท้า และรักษาหลังตรงตลอด
ท่าที่ 4: Plank Up Down (แกนกลาง + แขน)
วิธีทำ:
- เริ่มจากท่า Plank ท้องแขน
- ยกตัวขึ้นเป็น High Plank (เท้าไม้เท้าขวา)
- ลงมาเป็นท่า Plank ท้องแขนเหมือนเดิม
- สลับมือที่ขึ้นก่อนทุกครั้ง
ประโยชน์: กระชับแขน หลัง และหน้าท้องพร้อมกัน เพิ่มความมั่นคงแกนกลางลำตัว
ความผิดพลาด: สะโพกแกว่งไปมา, มือไม่อยู่ใต้ไหล่
ท่าที่ 5: High Knees (คาร์ดิโอเข้มข้น)
วิธีทำ:
- ยืนในที่ หลังตรง
- วิ่งในที่ ยกเข่าให้สูงจนใกล้อก
- แกว่งแขนไปมาให้จังหวะ
- พยายามเร็วที่สุดที่ทำได้
ประโยชน์: เพิ่มอัตราการเต้นหัวใจเร็ว เผาผลาญสูง 9-13 แคลต่อนาที ปรับปรุงการประสานงานของร่างกาย
โปรแกรมการฝึก 5 ท่า (ใช้เวลา 15 นาที):
Circuit 1 (ทำ 3 รอบ):
- Burpee x8-12 ครั้ง
- Mountain Climber x20 ครั้ง (10 ต่อข้าง)
- พัก 30 วินาที
Circuit 2 (ทำ 3 รอบ):
- Jump Squat x12-15 ครั้ง
- Plank Up Down x10-12 ครั้ง
- พัก 30 วินาที
Circuit 3 (ทำ 2 รอบ):
- High Knees x30 วินาที
- พักครบ 60 วินาที
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของสถาบันการกีฬาแห่งชาติในปี 2024 เปรียบเทียบการเผาผลาญแคลอรี่ของท่าออกกำลังกายต่างๆ พบว่า Compound Movement เช่น Burpee เผาผลาญได้มากกว่า Isolation Exercise (เช่น Bicep Curl) ถึง 3.5 เท่า และยังคงเผาผลาญต่อเนื่องหลังออกกำลังกายอีก 2-6 ชั่วโมง
จากประสบการณ์ส่วนตัว: ฉันใช้ 5 ท่านี้เป็น Quick Workout ในวันที่ไม่มีเวลาไปฟิตเนส ทำแค่ 15 นาที แต่เหงื่อออกเท่ากับฝึกคาร์ดิโอ 45 นาที และที่สำคัญคือ ท่าเหล่านี้ช่วยรักษาฟอร์มกล้ามเนื้อได้ดีในช่วงที่ไม่สามารถไปฟิตเนสได้
ความเครียด การนอน และฮอร์โมน: ตัวแปรที่มองไม่เห็นแต่ส่งผลชัดเจน
ฮอร์โมนคอร์ติซอลและไขมันหน้าท้องเกี่ยวกันยังไง?
“คอร์ติซอลคือฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันหน้าท้องโดยเฉพาะ แม้จะกินน้อยและออกกำลังกายหนักแค่ไหน หากคอร์ติซอลสูง ไขมันหน้าท้องก็จะดื้อรั้นไม่ยอมลง” – โค้ชปูนิ่ม
จากประสบการณ์ในช่วงเตรียมตัวแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Lyndora, Pennsylvania, USA ฉันได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับคอร์ติซอล ในช่วงนั้นฉันฝึกหนักมาก กินเข้มงวด แต่ไขมันหน้าท้องไม่ยอมลง จนไปตรวจเลือดถึงพบว่าระดับคอร์ติซอลสูงกว่าปกติ 2.5 เท่า
คอร์ติซอลทำงานยังไง: เมื่อร่างกายเครียด ต่อมหมวกไตจะหลั่งคอร์ติซอลออกมา ฮอร์โมนตัวนี้จะสั่งให้ร่างกายเตรียมพลังงานสำหรับสู้กับภัยคุกคาม โดยการปลดปล่อยน้ำตาลจากตับและกล้ามเนื้อ
ปัญหาของคอร์ติซอลในยุคปัจจุบัน: สมัยก่อนคอร์ติซอลหลั่งเฉพาะเมื่อเจอสัตว์ป่า หลังหนีรอดแล้วระดับก็ลดลง แต่ปัจจุบันเรามีความเครียดต่อเนื่อง จาก งาน ครอบครัว การเงิน ทำให้คอร์ติซอลสูงตลอด
ทำไมคอร์ติซอลทำให้อ้วนหน้าท้อง:
- เปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมัน – คอร์ติซอลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เมื่อใช้ไม่หมดก็เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมหน้าท้อง
- กระตุ้นความหิว – โดยเฉพาะอาหารหวาน มัน เค็ม เพื่อเตรียมพลังงานสำรอง
- ทำลายกล้ามเนื้อ – แปลงโปรตีนในกล้ามเนื้อเป็นน้ำตาล ทำให้เมแทบอลิซึมช้าลง
- รบกวนฮอร์โมนอื่น – ขัดขวาง Growth Hormone, ฮอร์โมนเพศ, และ Thyroid ที่ช่วยเผาผลาญไขมัน
ประสบการณ์ส่วนตัวกับคอร์ติซอลสูง: ในช่วงที่คอร์ติซอลสูง ฉันพบว่า:
- หิวตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงบ่าย-เย็น
- อยากกินของหวานผิดปกติ
- นอนไม่หลับ ตื่นตอนกลางคืน
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
- แม้กินน้อยและออกกำลังกายหนัก น้ำหนักไม่ลง
วิธีลดคอร์ติซอลที่ฉันใช้:
1. ลดการฝึกหนักเกินไป เปลี่ยนจากฝึก 2 ชั่วโมงทุกวัน มาเป็น 45-60 นาที 4-5 วันต่อสัปดาห์
2. เพิ่มการฝึกแบบเบา โยคะ การยืดเหยียด การเดินเร็วในธรรมชาติ
3. ปรับเวลานอน นอนก่อน 22:30 น. ตื่น 6:00 น. ไม่เล่นมือถือก่อนนอน
4. ฝึกสมาธิ นั่งสมาธิ 10-15 นาทีทุกเช้า เน้นการหายใจลึก
ผลที่ได้หลังลดคอร์ติซอล: ภายใน 8 สัปดาห์ ระดับคอร์ติซอลลดลงจาก 28 mcg/dL เป็น 12 mcg/dL (ปกติ 6-23) และไขมันหน้าท้องที่ดื้อรั้นเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในปี 2024 กับกลุ่มผู้หญิงวัยทำงาน 400 คน พบว่า คนที่มีระดับคอร์ติซอลสูงกว่า 20 mcg/dL จะมีไขมันหน้าท้องมากกว่าคนที่มีระดับปกติถึง 2.8 เท่า และเมื่อลดคอร์ติซอลลงได้ 40% ไขมันหน้าท้องจะลดลง 22% ภายใน 12 สัปดาห์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนอาหารหรือการออกกำลังกาย
นอนไม่พอ ไขมันไม่ลด เพราะระบบฮอร์โมนรวน
“การนอนหลับคือเวลาที่ร่างกายเผาผลาญไขมันมากที่สุด หากนอนไม่เพียงพอ ระบบฮอร์โมนจะผิดปกติ ทำให้ลดไขมันยากขึ้น 3 เท่า” – โค้ชปูนิ่ม
ช่วงเตรียมตัวแข่งขัน Muscle and Physique Championships 2022 ฉันทำผิดพลาดครั้งใหญ่ด้วยการนอนเพียง 4-5 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้มีเวลาฝึกและเตรียมอาหาร ผลคือ แม้จะควบคุมอาหารเข้มงวดและออกกำลังกายหนัก แต่ไขมันลดลงช้ามาก
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนและไขมัน:
1. Growth Hormone (GH)
- หลั่งมากที่สุดในช่วง Deep Sleep (22:00-02:00 น.)
- ช่วยเผาผลาญไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ
- หากนอนไม่พอ GH ลดลง 70-80%
2. Ghrelin (ฮอร์โมนความหิว)
- เพิ่มขึ้นเมื่อนอนไม่พอ
- กระตุ้นความอยากอาหารคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
- ทำให้กินมากกว่าที่ร่างกายต้องการ
3. Leptin (ฮอร์โมนความอิ่ม)
- ลดลงเมื่อนอนไม่เพียงพอ
- ทำให้ไม่รู้จักอิ่ม กินมากเกินไป
- รบกวนการส่งสัญญาณไปสมอง
4. Insulin Sensitivity
- นอนไม่พอทำให้เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน
- น้ำตาลในเลือดขึ้น-ลงผิดปกติ
- เพิ่มการสะสมไขมัน
ประสบการณ์จริงจากการนอนไม่พอ: ในช่วงที่นอนเพียง 4-5 ชั่วโมง เป็นเวลา 6 สัปดาห์:
- หิวผิดปกติ โดยเฉพาะตอนดึก
- อยากกินขนมหวาน ชานมไข่มุก ของทอด
- แม้กินตามแผนแต่น้ำหนักไม่ลง
- เหนื่อยง่าย ความจำไม่ดี
- ออกกำลังกายได้ไม่เต็มที่
ผลการตรวจเลือดเมื่อนอนไม่พอ:
- Growth Hormone: 0.8 ng/ml (ปกติ 1.5-3.0)
- Ghrelin: สูงกว่าปกติ 45%
- Leptin: ต่ำกว่าปกติ 38%
- Fasting Glucose: 105 mg/dL (เริ่มสูง)
กลยุทธ์การนอนหลับเพื่อลดไขมันของฉัน:
ก่อนนอน 2 ชั่วโมง:
- หยุดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- ลดแสงสว่างในบ้าน
- อ่านหนังสือ ฟังเพลงเบา ๆ
ก่อนนอน 1 ชั่วโมง:
- อาบน้ำอุ่น 10-15 นาที
- ยืดเหยียดเบา ๆ
- ดื่มชาคาโมมายล์ (ไม่หวาน)
ในห้องนอน:
- อุณหภูมิ 20-22 องศาเซลเซียส
- มืดสนิท (ผ้าม่านกันแสง)
- เสียงเงียบหรือใช้ White Noise
เวลานอน-ตื่น:
- นอน 22:00-22:30 น.
- ตื่น 6:00-6:30 น.
- รักษาเวลาเดิมทุกวัน (รวมวันหยุด)
ผลหลังปรับการนอนหลับ: ภายใน 4 สัปดาห์ที่นอนครบ 7-8 ชั่วโมง:
- ไขมันลดลงเร็วขึ้น 40%
- ความหิวลดลง ควบคุมอาหารได้ง่ายขึ้น
- พลังงานในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น
- อารมณ์ดีขึ้น เครียดน้อยลง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของ Stanford University ในปี 2023 ติดตาม 1,024 คนเป็นเวลา 1 ปี พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีความเสี่ยงต่อการอ้วนเพิ่มขึ้น 30% และมีไขมันหน้าท้องมากกว่าคนที่นอน 7-8 ชั่วโมง ถึง 32% โดยเฉพาะผู้หญิงจะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ชาย
เทคนิคลดความเครียดด้วยการฝึกหายใจแบบนักกีฬา
“การหายใจถูกวิธีสามารถลดคอร์ติซอลลงได้ทันที ฉันใช้เทคนิคนี้ก่อนขึ้นเวทีแข่งขันและในชีวิตประจำวันเพื่อควบคุมความเครียด” – โค้ชปุนิ่ม
ก่อนขึ้นเวทีแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่ Royal Cliff Grand Hotel พัทยา ฉันรู้สึกเครียดมาก หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น จนได้เรียนรู้เทคนิคการหายใจจากโค้ชจิตวิทยากีฬา ซึ่งช่วยให้ฉันสงบลงและแสดงได้เต็มศักยภาพ
เทคนิคการหายใจ Box Breathing (หายใจสี่เหลี่ยม):
ขั้นตอน:
- หายใจเข้าทางจมูก นับ 4 จังหวะ
- กลั้นหายใจ นับ 4 จังหวะ
- หายใจออกทางปาก นับ 4 จังหวะ
- หยุดหายใจ (ปอดว่าง) นับ 4 จังหวะ
- ทำซ้ำ 8-10 รอบ
วิทยาศาสตร์เบื้องหลัง: การหายใจแบบนี้จะกระตุ้น Parasympathetic Nervous System (ระบบประสาทส่วนสงบ) ทำให้หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง และคอร์ติซอลลดลง
เทคนิค 4-7-8 Breathing (สำหรับนอนหลับ):
ขั้นตอน:
- หายใจออกให้หมดก่อน
- หายใจเข้าทางจมูก นับ 4
- กลั้นหายใจ นับ 7
- หายใจออกทางปากเป็นเสียง “ฮู” นับ 8
- ทำซ้ำ 4 รอบ
ประโยชน์: ช่วยให้หลับเร็วขึ้น ลดความวิตกกังวล เตรียมร่างกายเข้าสู่โหมดพักผ่อน
เทคนิค Coherent Breathing (สำหรับลดเครียดทันที):
วิธีทำ:
- หายใจเข้า 5 วินาที หายใจออก 5 วินาที
- รักษาจังหวะสม่ำเสมอ 6 ครั้งต่อนาที
- ทำต่อเนื่อง 5-10 นาที
เวลาที่ฉันใช้เทคนิคเหล่านี้:
ตอนเช้าหลังตื่น: Box Breathing 5 นาที เพื่อเตรียมจิตใจสำหรับวันใหม่
ก่อนออกกำลังกาย: Coherent Breathing 3 นาที เพื่อเพิ่มสมาธิ
หลังออกกำลังกาย: 4-7-8 Breathing เพื่อเปลี่ยนจากโหมดออกกำลังกายสู่โหมดพักผ่อน
ก่อนนอน: 4-7-8 Breathing จนหลับ
เมื่อรู้สึกเครียด: Box Breathing ทันที 2-3 นาที
ประสบการณ์จริงจากการใช้: ในช่วงที่ใช้เทคนิคการหายใจอย่างสม่ำเสมอ 6 สัปดาห์:
- นอนหลับเร็วขึ้นจาก 30-45 นาที เหลือ 10-15 นาที
- ความรู้สึกเครียดลดลงเห็นได้ชัด
- สมาธิในการออกกำลังกายดีขึ้น
- ระดับคอร์ติซอลจากผลเลือดลดลง 35%
เคล็ดลับการฝึกให้มีประสิทธิภาพ:
- เริ่มจากเวลาสั้น ๆ ก่อน (2-3 นาที)
- หาเวลาเดิมทุกวัน เพื่อสร้างเป็นนิสัย
- นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย
- วางมือบนท้อง รู้สึกการขึ้นลงของลมหายใจ
- ไม่ฝืนถ้ารู้สึกไม่สบาย ปรับจังหวะให้เหมาะสม
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปี 2024 กับกลุ่มนักกีฬา 120 คน พบว่า การฝึกหายใจแบบ Controlled Breathing เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ช่วยลดระดับคอร์ติซอล 28% เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน 22% และปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ 31% โดยไม่มีผลข้างเคียง
จากประสบการณ์ส่วนตัว: เทคนิคการหายใจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตฉันมาก ไม่เพียงแต่ช่วยในการแข่งขัน แต่ยังช่วยในชีวิตประจำวัน เวลาติดรถ เวลาประชุมงานที่เครียด หรือแม้แต่เวลาที่อารมณ์ไม่ดี การหายใจถูกวิธีช่วยให้ฉันกลับมาสงบและตัดสินใจได้ดีขึ้น