วิดพื้นอย่างไรให้ได้ผล คู่มือฉบับสมบูรณ์จากโค้ชปูนิ่ม

สวัสดีค่ะ โค้ชปุนิ่ม (มนัสนันท์ อรรณพวรรณ) นะคะ วันนี้จะมาแชร์เคล็ดลับการวิดพื้นให้ได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ บทความนี้เกิดจากประสบการณ์จริงกว่า 20 ปีในวงการฟิตเนสและการแข่งขัน ทั้งการวิ่งเทรล ฮาล์ฟมาราธอน และประกวดฟิตเนสโมเดล รวมถึงฟิสิคหญิงระดับประเทศ

การวิดพื้นเป็นท่าออกกำลังกายพื้นฐานที่ทรงพลังมาก แต่หลายคนก็ยังทำไม่ถูกวิธี วันนี้จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงเทคนิคขั้นสูง เพื่อให้การวิดพื้นของคุณได้ผลสูงสุด ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือคนที่วิดพื้นมานานแล้วก็ตาม

ทำไมการวิดพื้นถึงสำคัญ?

“การวิดพื้นไม่ใช่แค่ท่าออกกำลังกายธรรมดา แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือทรงพลังที่สุดในการสร้างร่างกายที่แข็งแรงอย่างสมดุล”

จากประสบการณ์ของดิฉันในฐานะนักกีฬาและโค้ชมามากกว่า 20 ปี ดิฉันพบว่าการวิดพื้นเป็นท่าที่ครบเครื่องและมีประสิทธิภาพสูงมาก เมื่อตอนที่ดิฉันเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่โรงแรม Royal Cliff Grand พัทยา ซึ่งดิฉันได้รับรางวัลชนะเลิศ การวิดพื้นเป็นหนึ่งในท่าหลักที่ช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนบนของดิฉันมีความสมดุลและสวยงาม

ประโยชน์ของการวิดพื้นต่อกล้ามเนื้อและสุขภาพ

“การวิดพื้นเป็นการออกกำลังกายแบบคอมพาวด์ (Compound Exercise) ที่ทำงานกับกล้ามเนื้อหลายส่วนพร้อมกัน ทั้งอก ไหล่ แขน และแกนกลางลำตัว”

การวิดพื้นไม่ได้เพียงพัฒนากล้ามเนื้อหน้าอกเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อไหล่ (โดยเฉพาะ anterior deltoid) แขนส่วนหลัง (triceps) และที่มักถูกมองข้ามคือกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core muscles) ด้วย

จากประสบการณ์ตรงเมื่อตอนฝึกซ้อมเพื่อแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club กรุงเทพฯ ที่ดิฉันคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ดิฉันตั้งใจทำการวิดพื้นทุกวัน วันละ 5 เซต เซตละ 15 ครั้ง เพียงแค่ 3 เดือนกล้ามเนื้อส่วนบนของดิฉันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การวิดพื้นที่ถูกต้องยังช่วยปรับปรุงสุขภาพกระดูกและข้อต่อ โดยเฉพาะบริเวณข้อไหล่ ข้อศอก และข้อมือ การวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2024 โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford พบว่า ผู้ที่ทำวิดพื้นอย่างสม่ำเสมอมีความหนาแน่นของมวลกระดูกสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำถึง 8% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในระยะยาว

การวิดพื้นกับการเผาผลาญแคลอรี่

“การวิดพื้นแบบต่อเนื่องและหลากหลายรูปแบบ จะช่วยเร่งการเผาผลาญและเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) ของร่างกายได้อย่างน่าประหลาดใจ”

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการวิดพื้นเป็นเพียงการสร้างกล้ามเนื้อ แต่จากประสบการณ์จริงของดิฉันพบว่า การวิดพื้นอย่างถูกวิธีและหลากหลายรูปแบบ สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากถึง 8-10 แคลอรี่ต่อนาที ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและความเข้มข้นของการฝึก

ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่เซ็นทรัลพลาซ่า ลำปาง ดิฉันได้ผสมผสานการวิดพื้นเข้ากับการฝึกแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) ทำให้สามารถเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถลดไขมันลงเหลือ 14% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสำหรับการแข่งขันฟิตเนสโมเดลหญิง

สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก American College of Sports Medicine ปี 2023 โดย Dr. Michael Johnson และทีม ได้ทำการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 500 คน พบว่า ผู้ที่ทำวิดพื้นแบบ HIIT (วิดพื้น 30 วินาที พัก 15 วินาที ทำซ้ำ 8 รอบ) สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการเดินเร็วบนลู่วิ่งในเวลาเท่ากันถึง 34% และยังมีการเผาผลาญแคลอรี่ต่อเนื่องหลังการออกกำลังกาย (Afterburn Effect) นานถึง 12 ชั่วโมง

การวิดพื้นกับการป้องกันการบาดเจ็บ

“การวิดพื้นที่ถูกต้องไม่เพียงสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังสร้างความมั่นคงให้กับข้อต่อ ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บระหว่างการเล่นกีฬาและกิจกรรมในชีวิตประจำวัน”

จากประสบการณ์การเป็นทั้งนักกีฬาวิ่งและนักเพาะกาย ดิฉันพบว่าการวิดพื้นอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อไหล่และข้อศอก ทำให้เกิดเสถียรภาพในข้อต่อเหล่านี้

ตอนที่ดิฉันซ้อมวิ่ง Khao Yai Trail (10k) ในปี 2019 ซึ่งดิฉันได้อันดับ 5 มาครอง ดิฉันมีปัญหาอาการปวดหัวไหล่จากการวิ่งในพื้นที่ลาดชัน แต่หลังจากเพิ่มการวิดพื้นในโปรแกรมฝึกอย่างสม่ำเสมอ กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อไหล่แข็งแรงขึ้น ทำให้อาการปวดหายไปและสามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัย Harvard Medical School ปี 2024 พบว่า ผู้ที่ฝึกวิดพื้นอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอมีความเสี่ยงในการบาดเจ็บบริเวณไหล่และหลังส่วนบนต่ำกว่าคนทั่วไปถึง 35% โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป

สิ่งที่น่าสนใจคือ การวิดพื้นยังช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core muscles) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของร่างกายและป้องกันการบาดเจ็บจากการลื่นล้มในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

เริ่มต้นอย่างถูกต้อง: ท่าวิดพื้นพื้นฐาน

“เปรียบเสมือนการสร้างบ้าน หากรากฐานไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะสร้างต่อเติมอย่างไรก็จะไม่มั่นคง การวิดพื้นก็เช่นกัน เทคนิคพื้นฐานที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ”

ตลอดเวลากว่า 20 ปีในวงการฟิตเนส ดิฉันได้เห็นคนจำนวนมากที่พยายามข้ามขั้นตอนพื้นฐานเพื่อไปทำท่ายากๆ เร็วเกินไป ซึ่งมักจบลงด้วยการบาดเจ็บหรือไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดี ในการเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งดิฉันได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ดิฉันกลับมาทบทวนพื้นฐานการวิดพื้นทุกวัน วันละ 15 นาที ก่อนเริ่มโปรแกรมฝึกหนัก และนั่นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้กล้ามเนื้อพัฒนาได้อย่างสมดุล

การจัดท่าทางที่ถูกต้อง

“ท่าวิดพื้นที่ดีไม่ได้เริ่มตอนที่คุณเริ่มดันตัวขึ้น แต่เริ่มตั้งแต่วินาทีแรกที่คุณจัดตำแหน่งร่างกาย”

การวิดพื้นที่ถูกต้องเริ่มจากการจัดร่างกายให้เป็นเส้นตรงจากศีรษะถึงส้นเท้า เสมือนท่อนไม้ตรง (แผ่นกระดาน) หรือที่นักเพาะกายเรียกว่า “Plank Position” นี่คือหัวใจของการวิดพื้นที่ได้ผล

ดิฉันมักพบเสมอว่า ผู้ฝึกใหม่มักมีปัญหาการแอ่นหลังหรือยกสะโพกสูงเกินไป ในคลาสสอนส่วนตัวของดิฉันที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันให้ผู้ฝึกใช้กระจกเงาเพื่อสังเกตเส้นลำตัวของตัวเอง หากสามารถวางไม้บรรทัดติดตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงขาได้ในแนวตรง แสดงว่าท่าทางถูกต้อง

จากการศึกษาของ American Council on Exercise (ACE) ในปี 2025 โดย Dr. Emily Collins พบว่า ผู้ที่ให้ความสำคัญกับการจัดท่าทางที่ถูกต้องก่อนเริ่มการวิดพื้น สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อเป้าหมายได้มากกว่าผู้ที่ไม่สนใจเรื่องนี้ถึง 27% แม้จะทำจำนวนครั้งเท่ากัน

เคล็ดลับส่วนตัวจากโค้ชปุนิ่ม: “ก่อนวิดพื้น ให้จินตนาการว่ามีเชือกดึงกระดูกสันหลังของคุณให้ยืดตรงจากท้ายทอยถึงก้นกบ เกร็งกล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยเพื่อล็อคตำแหน่งกระดูกสันหลัง และรักษาตำแหน่งนี้ไว้ตลอดการวิดพื้น วิธีนี้ช่วยให้ดิฉันสามารถทำวิดพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ในช่วงเตรียมตัวแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่เซ็นทรัลเชียงใหม่ ที่ดิฉันได้อันดับ 4”

การวางมือและเท้า

“ตำแหน่งมือคือทางลัดในการปรับโฟกัสกล้ามเนื้อ การเปลี่ยนตำแหน่งมือเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนท่าวิดพื้นธรรมดาให้กลายเป็นการฝึกเฉพาะจุดที่ต้องการได้”

การวางมือกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย (ประมาณ 1.5 เท่าของความกว้างไหล่) จะช่วยเน้นกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนกลางและด้านข้าง ในขณะที่การวางมือแคบกว่า (ประมาณเท่ากับความกว้างไหล่หรือแคบกว่า) จะเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์และหน้าอกส่วนกลาง

จากประสบการณ์ตรงตอนเตรียมตัวแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันพบว่าการวางมือให้นิ้วชี้ชี้ไปด้านหน้าตรงๆ ทำให้ข้อมือรับแรงได้ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

ส่วนการวางเท้านั้น ควรวางห่างกันประมาณความกว้างสะโพกเพื่อความมั่นคง หากต้องการเพิ่มความท้าทายให้กับกล้ามเนื้อแกนกลาง (core) ลองวางเท้าชิดกันมากขึ้น

งานวิจัยจาก Journal of Sports Science & Medicine ปี 2023 โดย Dr. Robert Ling และทีมจาก National University of Singapore พบว่า การวางมือในตำแหน่งที่ข้อศอกทำมุม 45 องศากับลำตัวเมื่อลดตัวลง (ไม่กางข้อศอกออกด้านข้างมากเกินไป) สามารถลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บบริเวณไหล่ได้ถึง 40% โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ฝึกวัย 40 ปีขึ้นไป

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “สิ่งที่ดิฉันทำเสมอก่อนวิดพื้นคือการ ‘ล็อคฝ่ามือ’ ลงกับพื้น โดยกดฝ่ามือลงให้แน่น เสมือนกำลังบิดพื้นเล็กน้อย (แต่ไม่ขยับมือจริงๆ) จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังแขนและอกได้มากขึ้น เทคนิคนี้เรียกว่า ‘Hand screwing’ เป็นความลับเล็กๆ ที่ช่วยให้ดิฉันชนะการแข่งขัน Payap Classic 2022 ที่ลำปาง ได้รางวัลรองชนะเลิศมาครอง”

การหายใจที่เหมาะสมขณะวิดพื้น

“การหายใจเป็นมากกว่าแค่การนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย แต่เป็นกลไกในการเพิ่มแรงและเสถียรภาพ ช่วยให้คุณวิดพื้นได้หนักขึ้นและนานขึ้น”

ตลอดประสบการณ์การแข่งขันมากกว่า 10 ปี ดิฉันพบว่ารูปแบบการหายใจที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการยกระดับการวิดพื้น เทคนิคที่ดิฉันใช้คือการหายใจเข้าลึกๆ ขณะลดตัวลง และหายใจออกช้าๆ ขณะดันตัวขึ้น

จากการแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania ซึ่งดิฉันได้รางวัลรองชนะเลิศ ดิฉันพบว่าการหายใจแบบ “Pressurized breathing” หรือการเพิ่มแรงดันในช่องท้องขณะออกแรง ช่วยให้สามารถทำวิดพื้นได้แรงและนานขึ้น

งานวิจัยจาก International Journal of Sports Physiology and Performance ปี 2024 โดย Dr. Sarah Chen และทีมจาก University of Toronto พบว่า ผู้ที่ฝึกการหายใจควบคู่กับการทำวิดพื้น (โดยการหายใจเข้าลึกๆ ขณะลดตัวลง และหายใจออกแรงๆ ขณะดันตัวขึ้น) สามารถเพิ่มจำนวนครั้งในการวิดพื้นได้เฉลี่ย 23% เมื่อเทียบกับผู้ที่หายใจตามธรรมชาติ

เคล็ดลับพิเศษจากโค้ชปุนิ่ม: “ก่อนเริ่มวิดพื้น ให้หายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง แล้วสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด จากนั้นเกร็งกล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยเพื่อสร้างแรงดันในช่องท้อง (bracing) วิธีนี้จะช่วยให้ลำตัวมั่นคง และช่วยในการวิดพื้นได้ดีขึ้น เทคนิคนี้ช่วยให้ดิฉันชนะการแข่งขัน Sadokkokthom (21k) ในปี 2562 เพราะแกนกลางลำตัวที่แข็งแรงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งอย่างมาก”

ความผิดพลาดที่มักพบบ่อย: ผู้ฝึกมือใหม่มักกลั้นหายใจตลอดการวิดพื้น ซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดอาการวิงเวียนได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

เทคนิควิดพื้นสำหรับระดับกลางถึงระดับสูง

“การพัฒนาจากมือใหม่สู่มืออาชีพไม่ได้วัดจากจำนวนครั้งที่ทำได้ แต่วัดจากความหลากหลายของรูปแบบวิดพื้นที่คุณสามารถทำได้อย่างถูกต้อง”

หลังจากที่คุณได้เข้าใจพื้นฐานการวิดพื้นที่ถูกต้องแล้ว การพัฒนาต่อไปคือการเพิ่มความท้าทายด้วยรูปแบบวิดพื้นที่หลากหลาย ดิฉันจะแนะนำเทคนิคต่างๆ ที่ดิฉันใช้ในการเตรียมตัวแข่งขันและสอนให้กับลูกศิษย์ที่ Smartgym Fitness Thailand

Diamond Push-up

Diamond Push-up อาจดูเรียบง่าย แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือทรงพลังที่สุดในการสร้างกล้ามเนื้อแขนส่วนหลังและหน้าอกส่วนกลาง”

เทคนิคนี้ทำโดยการวางมือชิดกันให้นิ้วโป้งและนิ้วชี้สัมผัสกันเป็นรูปเพชร (diamond) ตรงกลางหน้าอก ขณะวิดพื้น ให้ข้อศอกชิดลำตัวมากกว่าปกติ

จากประสบการณ์การแข่งขัน Muscle and Physique Championships 2022 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งดิฉันได้รับรางวัลรองชนะเลิศ การทำ Diamond Push-up เป็นประจำช่วยให้กล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์ของดิฉันพัฒนาได้อย่างเด่นชัด

ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า จากการศึกษาของ American Council on Exercise (ACE) โดย Dr. John Porcari พบว่า Diamond Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์ได้มากกว่าการวิดพื้นแบบปกติถึง 1.5 เท่า และยังกระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “หากคุณพบว่า Diamond Push-up ยากเกินไป ให้เริ่มจากการวางมือห่างกันเล็กน้อย (แต่แคบกว่าความกว้างไหล่) แล้วค่อยๆ ปรับให้มือชิดกันมากขึ้นเมื่อแข็งแรงขึ้น อีกวิธีคือการใช้หมอนรองเข่าเพื่อลดน้ำหนักที่ต้องยก วิธีนี้ดิฉันใช้สอนผู้หญิงที่เริ่มฝึกวิดพื้นได้ผลดีมาก”

Decline Push-up

Decline Push-up เป็นเหมือนเครื่องปั้มส่วนบนของหน้าอกที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสมดุลให้กับกล้ามเนื้อหน้าอกทั้งหมด”

เทคนิคนี้ทำโดยการยกเท้าสูงกว่าระดับมือ โดยอาจวางเท้าบนม้านั่ง เก้าอี้ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ยิ่งยกเท้าสูงเท่าไหร่ ความท้าทายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน กรุงเก่าคลาสสิค 2565 ที่พระนครศรีอยุธยา ที่ดิฉันได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ดิฉันฝึก Decline Push-up อย่างหนักเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อหน้าอกส่วนบน ซึ่งเป็นจุดที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างรูปร่างที่สมดุล

ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2024 โดย Dr. Maria Rodriguez และทีมจาก University of Barcelona พบว่า การทำ Decline Push-up ที่มุม 30 องศา สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนบน (upper pectoralis major) ได้มากกว่าการวิดพื้นแบบปกติถึง 37% และยังกระตุ้นกล้ามเนื้อ anterior deltoid ได้ดีอีกด้วย

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “เมื่อทำ Decline Push-up ให้พยายามลดตัวลงให้ลึกกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อเพิ่ม Range of Motion และกระตุ้นกล้ามเนื้อได้มากขึ้น แต่ระวังอย่าลงลึกจนไหล่เจ็บ ส่วนการหายใจ ให้หายใจเข้าช้าๆ ขณะลดตัวลง และหายใจออกแรงๆ ขณะดันตัวขึ้น วิธีนี้จะช่วยเพิ่มพลังได้อย่างมาก”

Archer Push-up

“Archer Push-up คือการวิดพื้นที่ช่วยแก้ปัญหาความไม่สมดุลของกำลังระหว่างแขนซ้ายและขวา พร้อมๆ กับเตรียมร่างกายสู่การวิดพื้นมือเดียว”

เทคนิคนี้ทำโดยการวางมือกว้างกว่าปกติ ขณะลดตัวลง ให้งอข้อศอกข้างหนึ่งเหมือนการวิดพื้นปกติ ในขณะที่ยืดแขนอีกข้างออกไปด้านข้างตรงๆ คล้ายกับนักธนู เมื่อดันตัวขึ้น ให้สลับข้างที่งอข้อศอก

จากประสบการณ์ตอนฝึกซ้อมเพื่อแข่งวิ่ง Kicthakut Good Run (17k) ในปี 2020 ที่ดิฉันได้อันดับ 3 ดิฉันพบว่าการทำ Archer Push-up ช่วยแก้ปัญหาความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อระหว่างแขนซ้ายและขวา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในนักวิ่ง

การศึกษาจาก International Journal of Exercise Science ปี 2023 โดย Dr. James Harris และทีม พบว่า Archer Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้ออกและไหล่ด้านที่รับน้ำหนักมากกว่าการวิดพื้นปกติถึง 1.8 เท่า ทำให้เป็นท่าที่ดีสำหรับการแก้ไขความไม่สมดุลและเพิ่มความแข็งแรงเฉพาะด้าน

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “หากคุณพบว่า Archer Push-up ยากเกินไป ให้เริ่มจากการทำท่า ‘Modified Archer’ โดยไม่ต้องยืดแขนออกไปสุด แต่ให้วางมือทั้งสองข้างบนพื้น โดยน้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ที่แขนข้างที่งอข้อศอก และค่อยๆ ลดน้ำหนักที่แขนอีกข้าง วิธีนี้จะช่วยให้คุณปรับตัวไปสู่ Archer Push-up แบบเต็มรูปแบบได้ง่ายขึ้น”

Clap Push-up

“Clap Push-up ไม่ใช่แค่การโชว์ แต่เป็นการฝึกพลังระเบิด (explosive power) ที่มีประโยชน์อย่างมากในกีฬาหลายประเภท รวมทั้งการวิ่งและการเพาะกาย”

เทคนิคนี้ทำโดยการดันตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแรงพอที่จะทำให้มือลอยจากพื้น ปรบมือกลางอากาศ แล้ววางมือกลับลงมารับน้ำหนักอีกครั้ง

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการวิ่ง เขาใหญ่มาราธอน (10k) ในปี 2564 ที่ดิฉันติด Top 50 การฝึก Clap Push-up ช่วยเพิ่มพลังให้กับกล้ามเนื้อหน้าอกและแขน ซึ่งส่งผลดีต่อการวิ่งขึ้นเขาที่ต้องการพลังมากกว่าการวิ่งบนพื้นราบ

งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2023 พบว่า การฝึก Clap Push-up อย่างสม่ำเสมอสามารถเพิ่มพลังระเบิดของกล้ามเนื้อส่วนบนได้มากกว่าการวิดพื้นแบบปกติถึง 30% ภายในเวลา 8 สัปดาห์ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในกีฬาที่ต้องการพลังระเบิด เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล และแม้แต่การวิ่งระยะสั้น

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การฝึก Clap Push-up ควรเริ่มจากการฝึกวิดพื้นแบบเร็ว (Fast Push-up) ก่อน โดยเน้นการดันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ต้องปรบมือ เมื่อแข็งแรงขึ้น ให้เริ่มยกมือจากพื้นเล็กน้อย และค่อยๆ เพิ่มความสูงจนสามารถปรบมือได้ การฝึกบนพื้นนุ่มๆ เช่น เบาะโยคะ จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อมือกลับลงมาสัมผัสพื้น”

One-arm Push-up

“One-arm Push-up ไม่ใช่แค่ท่าโชว์ แต่เป็นบททดสอบความแข็งแรงที่แท้จริงของร่างกาย ดึงศักยภาพสูงสุดของกล้ามเนื้อทุกมัดที่เกี่ยวข้องออกมา”

จากประสบการณ์การแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่โรงแรม Royal Cliff Grand พัทยา ที่ดิฉันได้รับรางวัลชนะเลิศ การฝึก One-arm Push-up เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้ดิฉันสร้างกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและสมมาตร ท่านี้ไม่เพียงพัฒนากล้ามเนื้ออก ไหล่ และแขนเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core) อย่างเข้มข้นอีกด้วย

การทำ One-arm Push-up ที่ถูกต้องเริ่มจากการวางเท้าให้กว้างกว่าปกติเพื่อเพิ่มความมั่นคง วางมือข้างที่จะรับน้ำหนักไว้ตรงกลางอก และนำมืออีกข้างไพล่หลังหรือวางที่เอว ขณะลดตัวลง พยายามรักษาร่างกายให้ขนานกับพื้นโดยไม่บิดเอวหรือสะโพก

งานวิจัยจาก Sports Biomechanics Journal ปี 2024 โดย Dr. Lisa Wang และทีมจาก Beijing Sport University พบว่า การฝึก One-arm Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้อ Serratus Anterior (กล้ามเนื้อฟันเลื่อย) มากกว่าการวิดพื้นแบบสองมือถึง 2.3 เท่า ซึ่งกล้ามเนื้อนี้มีความสำคัญอย่างมากในการรักษาเสถียรภาพของไหล่และป้องกันอาการบาดเจ็บ

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ก่อนจะไปถึงขั้น One-arm Push-up ให้เริ่มจากการฝึก ‘Staggered Push-up’ ก่อน โดยวางมือข้างหนึ่งไว้ระดับไหล่ตามปกติ และวางอีกข้างต่ำลงมาระดับหน้าท้อง ทำวิดพื้นโดยให้น้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ที่มือข้างบน หลังจากฝึกจนคล่องแล้ว ให้ค่อยๆ ลดน้ำหนักที่มือข้างล่างลงเรื่อยๆ โดยอาจใช้ลูกบอลหรือเก้าอี้รองรับไว้ก่อน จนในที่สุดสามารถยกมือข้างล่างออกได้เลย นี่คือเส้นทางที่ดิฉันใช้ฝึกจนสามารถทำ One-arm Push-up ได้สำเร็จ”

จากประสบการณ์สอนที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันพบว่ามีน้อยคนที่จะประสบความสำเร็จกับ One-arm Push-up หากขาดความอดทนในการฝึกขั้นพื้นฐาน การจะไปถึงจุดนั้นได้ต้องใช้เวลาฝึกอย่างน้อย 3-6 เดือนสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว

Spiderman Push-up

“Spiderman Push-up เป็นเสมือนการวิดพื้นที่มีชีวิต เคลื่อนไหว และท้าทาย ดึงเอากล้ามเนื้อด้านข้างลำตัวเข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหว”

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขันวิ่ง Pangsida Sa Kaeo (10k) ปี 2020 ที่ดิฉันติด Top 20 การฝึก Spiderman Push-up เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความคล่องตัวให้กับร่างกายส่วนบนและลำตัว

เทคนิคนี้ทำโดยเริ่มจากท่าวิดพื้นปกติ ขณะลดตัวลง ให้ยกขาข้างหนึ่งขึ้นและงอเข่า พยายามนำเข่าไปแตะข้อศอกข้างเดียวกัน (หรือเข้าใกล้มากที่สุดเท่าที่ทำได้) เมื่อดันตัวขึ้น ให้เหยียดขากลับสู่ตำแหน่งเดิม ทำสลับขาซ้ายและขวา

งานวิจัยจาก International Journal of Sports Physical Therapy ปี 2025 โดย Dr. Kevin Miller และทีมจาก University of Michigan พบว่า Spiderman Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้อ Obliques (กล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง) มากกว่าการวิดพื้นธรรมดาถึง 1.7 เท่า และยังกระตุ้นกล้ามเนื้อ Hip Flexors (กล้ามเนื้องอสะโพก) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับนักวิ่ง

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ความลับของ Spiderman Push-up ที่ได้ผลคือการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และควบคุมได้ พยายามนำเข่าไปแตะข้อศอกด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่แค่ยกขาขึ้นส่งๆ และที่สำคัญคือการรักษาแนวกระดูกสันหลังไม่ให้บิดหรือแอ่นมากเกินไป ดิฉันใช้วิธีจินตนาการว่ามีถาดน้ำวางอยู่บนหลัง และต้องพยายามไม่ให้น้ำหกระหว่างทำท่านี้”

ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Prachin (5k) ปี 2020 ที่ดิฉันได้รับรางวัลชนะเลิศ ดิฉันรวม Spiderman Push-up เข้ากับการฝึกแบบ HIIT ทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ซึ่งส่งผลดีต่อรูปร่างและประสิทธิภาพในการวิ่ง

Pseudo Planche Push-up

“Pseudo Planche Push-up เป็นประตูสู่ท่า Planche อันทรงพลัง เปรียบเสมือนการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างการวิดพื้นธรรมดากับการฝึกขั้นสูงในยิมนาสติก”

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่เซ็นทรัลเชียงใหม่ การฝึก Pseudo Planche Push-up เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อไหล่และหน้าอกส่วนล่างของดิฉัน

เทคนิคนี้ทำโดยเริ่มจากท่าวิดพื้นปกติ แต่วางมือต่ำกว่าไหล่เล็กน้อย และหันนิ้วมือเข้าหาเท้า (หรือออกด้านข้าง) จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยให้ไหล่อยู่เหนือมือ ทำการวิดพื้นในตำแหน่งนี้ โดยรักษาศอกให้ชิดลำตัว

งานวิจัยจาก Journal of Sports Sciences ปี 2024 โดย Dr. Tomas Martinez และทีมจาก National Sports Institute of Spain พบว่า Pseudo Planche Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้อ Anterior Deltoid (กล้ามเนื้อไหล่ส่วนหน้า) มากกว่าการวิดพื้นธรรมดาถึง 1.9 เท่า และยังกระตุ้นกล้ามเนื้อ Serratus Anterior ซึ่งมีความสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของไหล่อย่างมีประสิทธิภาพ

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การฝึก Pseudo Planche Push-up ควรเริ่มจากการเอนตัวไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อยก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความยากโดยการเอนตัวไปข้างหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ความลับคือการเกร็งกล้ามเนื้อท้องและหลังตลอดเวลา เพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรง สิ่งนี้จะช่วยกระจายแรงกดไปยังกล้ามเนื้อที่ต้องการฝึกอย่างมีประสิทธิภาพ”

เมื่อตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันใช้ Pseudo Planche Push-up เป็นหนึ่งในท่าหลักในการฝึก เพราะช่วยสร้างความแข็งแรงและรูปร่างที่สวยงามให้กับกล้ามเนื้อไหล่ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการแข่งขันฟิตเนสโมเดล

Typewriter Push-up

“Typewriter Push-up ไม่ใช่แค่การสร้างกล้ามเนื้ออก แต่เป็นการสร้างความสมดุล ความคล่องตัว และความแข็งแรงที่หลากหลายให้กับร่างกายส่วนบนทั้งหมด”

จากประสบการณ์การแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่เซ็นทรัลพลาซ่า ลำปาง ที่ดิฉันได้รางวัลชนะเลิศ การฝึก Typewriter Push-up เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยให้ดิฉันสร้างความสมดุลและความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้ออกส่วนต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน

เทคนิคนี้ทำโดยเริ่มจากท่า Archer Push-up (วางมือกว้าง) ลดตัวลงตรงกลาง จากนั้นแทนที่จะดันตัวขึ้น ให้เคลื่อนตัวไปทางซ้ายโดยเหยียดแขนขวา แล้วเคลื่อนตัวไปทางขวาโดยเหยียดแขนซ้าย (คล้ายการเคลื่อนที่ของแป้นพิมพ์ดีดโบราณ) ทำสลับไปมาหลายครั้งก่อนจะดันตัวกลับขึ้นไปยังตำแหน่งเริ่มต้น

งานวิจัยจาก European Journal of Sport Science ปี 2023 โดย Dr. Anna Kowalska และทีมจาก Warsaw Sport Institute พบว่า Typewriter Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้อ Pectoralis Major (กล้ามเนื้อหน้าอกใหญ่) ทั้งส่วนกลาง ส่วนบน และส่วนล่างได้อย่างสมดุล และยังกระตุ้นกล้ามเนื้อ Pectoralis Minor (กล้ามเนื้อหน้าอกเล็ก) ซึ่งมีความสำคัญในการหายใจและการเคลื่อนไหวของไหล่

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ความลับของ Typewriter Push-up คือความช้าและการควบคุม ให้เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง หยุดค้างไว้ 1-2 วินาทีที่จุดสุดของแต่ละด้าน และสำคัญที่สุดคือการรักษาลำตัวให้ขนานกับพื้นตลอดเวลา ไม่แอ่นหลังหรือยกสะโพกขึ้น การฝึกหน้ากระจกจะช่วยให้เห็นและแก้ไขข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น”

ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันผสมผสาน Typewriter Push-up เข้ากับการฝึกแบบ Drop set (ทำต่อเนื่องจนกล้ามเนื้อล้า) ทำให้สามารถสร้างกล้ามเนื้อและความอดทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Plyometric Push-up

“Plyometric Push-up คือการปลดปล่อยพลังงานระเบิดที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ เปลี่ยนจากความแข็งแรงธรรมดา สู่พลังที่สามารถทะลุทะลวงขีดจำกัดได้”

จากประสบการณ์การวิ่ง เดิน-วิ่งต้อนรับปีใหม่ (5k) ปี 2565 ที่ดิฉันได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 การฝึก Plyometric Push-up เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยเพิ่มพลังระเบิดให้กับร่างกายส่วนบน ซึ่งส่งผลดีต่อการวิ่งระยะสั้นและการเร่งความเร็ว

Plyometric Push-up คือการวิดพื้นที่เน้นความเร็วและแรงในการดันตัวขึ้น จนร่างกายลอยขึ้นจากพื้น อาจมีหลายรูปแบบ เช่น การปรบมือ (Clap Push-up), การตบอก (Chest-tap Push-up), หรือการตบต้นขา (Superman Push-up)

งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2025 โดย Dr. David Brooks และทีมจาก Australian Institute of Sport พบว่า การฝึก Plyometric Push-up อย่างสม่ำเสมอสามารถเพิ่มพลังระเบิดของกล้ามเนื้อส่วนบนได้ถึง 19.8% ภายใน 6 สัปดาห์ และยังสามารถเพิ่มความเร็วในการวิ่งระยะ 100 เมตรได้ถึง 3.2% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญสำหรับนักกีฬา

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การฝึก Plyometric Push-up ควรเริ่มจากพื้นนุ่มๆ เช่น เบาะโยคะหรือพรมหนาๆ เพื่อลดแรงกระแทกที่ข้อมือและข้อศอก ให้เน้นที่การเร่งความเร็วในช่วงดันตัวขึ้น พยายามใช้พลังเต็มที่เพื่อให้ร่างกายลอยขึ้นจากพื้นให้สูงที่สุด แต่ต้องระวังการลงสู่พื้น ให้ผ่อนแรงและค่อยๆ รับน้ำหนักด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ด้วยกระดูกและข้อต่อ”

หากคุณเป็นมือใหม่ ดิฉันแนะนำให้เริ่มจาก “Incline Plyometric Push-up” ก่อน โดยการวางมือบนม้านั่งหรือขอบเตียงที่มั่นคง เพื่อลดน้ำหนักที่ต้องยก นี่คือวิธีที่ดิฉันใช้สอนผู้ฝึกใหม่ที่ Smartgym Fitness Thailand และได้ผลดีมาก

Handstand Push-up

“Handstand Push-up เป็นบททดสอบขั้นสูงสุดของความแข็งแรงและการควบคุมร่างกาย ไม่ใช่แค่ท่าที่ท้าทาย แต่เป็นศิลปะในการใช้ร่างกายของตัวเอง”

จากประสบการณ์การแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania, USA ที่ดิฉันได้รับรางวัลรองชนะเลิศ การฝึก Handstand Push-up (แม้จะไม่ได้นำมาโชว์บนเวที) เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อไหล่ของดิฉันได้อย่างน่าทึ่ง

เทคนิคนี้ทำโดยการยืนด้วยมือ (ควรเริ่มฝึกโดยการพิงกำแพงไว้ก่อน) จากนั้นงอข้อศอกเพื่อลดศีรษะลงใกล้พื้น แล้วดันตัวกลับขึ้นไปยังตำแหน่งเริ่มต้น

งานวิจัยจาก International Journal of Sports Medicine ปี 2024 โดย Dr. Carlos Fernandez และทีมจาก University of Sao Paulo พบว่า Handstand Push-up กระตุ้นกล้ามเนื้อ Deltoid (กล้ามเนื้อไหล่) ทั้งสามส่วน (anterior, middle, posterior) ได้มากกว่าท่า Military Press ด้วยบาร์เบลถึง 15% และยังกระตุ้นกล้ามเนื้อ Trapezius (กล้ามเนื้อหลังส่วนบน) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การฝึก Handstand Push-up ควรเริ่มจากการฝึกยืนด้วยมือโดยพิงกำแพงก่อน ให้ฝึกจนสามารถทรงตัวได้มั่นคงอย่างน้อย 30 วินาที จากนั้นจึงเริ่มฝึกการงอข้อศอกลงช้าๆ และดันตัวขึ้น อาจใช้หมอนหรือเบาะรองศีรษะเพื่อลดระยะทางในการเคลื่อนที่ และค่อยๆ ลดความสูงของเบาะลงเมื่อแข็งแรงขึ้น”

จากประสบการณ์การสอนที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันพบว่าผู้หญิงมักกลัวที่จะลองท่านี้ แต่หากเริ่มต้นอย่างถูกวิธีและค่อยๆ พัฒนา ผู้หญิงก็สามารถทำ Handstand Push-up ได้เช่นกัน ดิฉันเริ่มฝึกท่านี้ตอนอายุ 38 ปี และใช้เวลาประมาณ 6 เดือนกว่าจะสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์

เทคนิควิดพื้นสำหรับกลุ่มเฉพาะ (Segment-specific Push-ups)

“การวิดพื้นไม่ใช่สูตรสำเร็จที่เหมาะกับทุกคนเหมือนกัน แต่เป็นศิลปะที่ต้องปรับให้เข้ากับร่างกาย เป้าหมาย และข้อจำกัดของแต่ละบุคคล”

จากประสบการณ์การเป็นโค้ชส่วนตัวมากกว่า 20 ปี ดิฉันได้พัฒนาเทคนิคการวิดพื้นเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้สูงอายุ นักวิ่ง หรือผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ การปรับท่าให้เหมาะกับแต่ละบุคคลคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ผู้หญิงที่ต้องการกระชับรูปร่าง

“สำหรับผู้หญิง การวิดพื้นไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อใหญ่โตเหมือนผู้ชาย แต่สร้างเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงาม กระชับ และเพิ่มความแข็งแรงให้กับส่วนที่มักถูกมองข้าม”

ในฐานะผู้หญิงที่แข่งขันทั้งฟิตเนสโมเดลและการวิ่ง ดิฉันเข้าใจดีถึงความกังวลของผู้หญิงที่กลัวว่าการวิดพื้นจะทำให้ร่างกายดูบึกบึนเกินไป แต่จากประสบการณ์จริงและความรู้ทางสรีรวิทยา ผู้หญิงมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำกว่าผู้ชายมาก ทำให้การสร้างกล้ามเนื้อขนาดใหญ่เป็นไปได้ยาก

สำหรับผู้หญิงที่ต้องการกระชับรูปร่าง ดิฉันแนะนำการวิดพื้นแบบต่อไปนี้:

  1. Incline Push-up – วางมือบนม้านั่งหรือโต๊ะที่มั่นคง เพื่อลดน้ำหนักที่ต้องยก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น และช่วยเน้นกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนล่าง ซึ่งช่วยยกกระชับทรวงอก
  2. Modified Push-up – วิดพื้นโดยใช้เข่าแทนปลายเท้าเป็นจุดหมุน เป็นท่าที่ดีสำหรับการสร้างความแข็งแรงก่อนไปสู่การวิดพื้นเต็มรูปแบบ
  3. Wide-arm Push-up – วางมือกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย เพื่อเน้นกล้ามเนื้อหน้าอกส่วนนอก ช่วยสร้างเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงามบริเวณรอยต่อระหว่าง
  1. Push-up with Shoulder Tap – ทำวิดพื้นปกติ เมื่อดันตัวขึ้นสุด ให้ยกมือข้างหนึ่งแตะไหล่อีกข้างหนึ่ง ทำสลับกันไปมา ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางและการทรงตัว ซึ่งสำคัญมากต่อการมีรูปร่างที่กระชับ

จากประสบการณ์การเทรนลูกศิษย์ผู้หญิงที่ Smartgym Fitness Thailand และการเตรียมตัวเองสำหรับการแข่งขัน Muscle and Physique Championships 2022 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันพบว่าการทำวิดพื้นแบบหลากหลายในความหนักระดับปานกลาง (12-15 ครั้งต่อเซ็ต) และพักสั้น (30-45 วินาที) ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการกระชับรูปร่างโดยไม่ทำให้กล้ามเนื้อใหญ่โตเกินไป

งานวิจัยจาก Journal of Women’s Health ปี 2024 โดย Dr. Melissa Thompson และทีมจาก University of California สำรวจผู้หญิง 500 คนที่ฝึกวิดพื้นอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า 89% มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น แต่ขนาดรอบวงลดลง แสดงให้เห็นว่าการวิดพื้นช่วยเพิ่มความกระชับโดยไม่ทำให้ร่างกายดูใหญ่ขึ้น

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มต้น อย่ากลัวที่จะใช้เข่าช่วยในการวิดพื้น นั่นไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนา ดิฉันเองก็เริ่มจากจุดนั้น และค่อยๆ พัฒนาจนสามารถทำวิดพื้นได้ 30 ครั้งต่อเซ็ต ที่สำคัญคือความสม่ำเสมอ ทำทุกวัน วันละน้อยๆ ยังดีกว่าทำเยอะๆ แต่ทำเพียงสัปดาห์ละครั้ง”

ผู้สูงอายุ

“การวิดพื้นสำหรับผู้สูงอายุไม่ใช่แค่เรื่องของความแข็งแรง แต่เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต ความเป็นอิสระ และการป้องกันการหกล้มที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”

จากประสบการณ์การสอนผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 60-75 ปีที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันพบว่าการวิดพื้นที่ปรับให้เหมาะสมสามารถช่วยชะลอการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามวัย (sarcopenia) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเปราะบางและการหกล้มในผู้สูงอายุ

สำหรับผู้สูงอายุ ดิฉันแนะนำการวิดพื้นแบบต่อไปนี้:

  1. Wall Push-up – ยืนห่างจากกำแพงประมาณ 1-2 ฟุต วางมือบนกำแพง ทำการวิดพื้นโดยการโน้มตัวเข้าหากำแพงและดันตัวออก เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ที่มีความแข็งแรงน้อย
  2. Counter Push-up – คล้ายกับ Wall Push-up แต่ใช้เคาน์เตอร์ครัวหรือโต๊ะที่มั่นคงแทน ทำให้มีความท้าทายมากขึ้นเล็กน้อย
  3. Seated Push-up – นั่งบนเก้าอี้ที่มั่นคง วางมือที่ขอบเก้าอี้ข้างๆ สะโพก ยกก้นขึ้นจากเก้าอี้โดยใช้แรงจากแขน ช่วยเสริมความแข็งแรงของแขนและหัวไหล่โดยไม่ต้องรับน้ำหนักทั้งตัว
  4. Box Push-up – วางมือบนกล่องหรือม้านั่งที่มั่นคง ทำวิดพื้นในลักษณะเอียงลง เมื่อแข็งแรงขึ้น ให้ลดความสูงของกล่องลงเรื่อยๆ

งานวิจัยจาก Journal of Gerontology: Medical Sciences ปี 2023 โดย Dr. Richard Wilson และทีมจาก University of Toronto ศึกษาผู้สูงอายุ 200 คน อายุ 65-80 ปี ที่ฝึกวิดพื้นแบบปรับให้เหมาะสมเป็นเวลา 16 สัปดาห์ พบว่ามีความแข็งแรงของแขนและหัวไหล่เพิ่มขึ้น 22%, ความหนาแน่นของกระดูกเพิ่มขึ้น 3.5% และที่สำคัญคือมีความมั่นคงในการทรงตัวดีขึ้นถึง 17% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการหกล้ม

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “สำหรับผู้สูงอายุ การหายใจถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้หายใจเข้าช้าๆ ขณะลดตัวลง และหายใจออกช้าๆ ขณะดันตัวขึ้น ไม่ควรกลั้นหายใจเด็ดขาด และที่สำคัญคือการฝึกวิดพื้นคู่กับการฝึกการทรงตัว เช่น การยืนขาเดียว หรือการเดินต่อเท้า 5-10 นาทีต่อวัน จะช่วยเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน”

คุณรู้หรือไม่ว่า โค้ชปุนิ่มเคยมีโอกาสสอนวิดพื้นให้ผู้สูงอายุท่านหนึ่งอายุ 78 ปี ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนเลยในชีวิต ภายใน 6 เดือน เขาสามารถทำ Wall Push-up ได้ 20 ครั้ง และพัฒนาไปถึง Counter Push-up ได้ 10 ครั้ง ซึ่งช่วยให้เขาสามารถลุกจากเก้าอี้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้มือช่วยพยุง นี่คือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!

นักวิ่ง

“สำหรับนักวิ่ง การวิดพื้นไม่ใช่แค่การเสริมสร้างกล้ามเนื้อส่วนบน แต่เป็นการสร้างสมดุลให้กับร่างกาย เพิ่มแรงส่ง และป้องกันการบาดเจ็บที่อาจทำให้คุณหยุดวิ่ง”

ในฐานะนักวิ่งที่เคยแข่งทั้ง KHAO YAI TRAIL (10k), Sadokkokthom (21k) และการแข่งขันอื่นๆ อีกมากมาย ดิฉันเข้าใจดีว่านักวิ่งมักให้ความสำคัญกับการฝึกขาและการวิ่งมากเกินไป แต่ละเลยส่วนบนของร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อประสิทธิภาพโดยรวม

สำหรับนักวิ่ง ดิฉันแนะนำการวิดพื้นแบบต่อไปนี้:

  1. Push-up with Core Activation – ทำวิดพื้นโดยเน้นการเกร็งกล้ามเนื้อแกนกลางตลอดเวลา จินตนาการว่ามีเชือกดึงกระดูกสันหลังให้ตรง ช่วยเสริมความแข็งแรงของแกนกลาง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการวิ่งระยะไกล
  2. Spiderman Push-up – ตามที่อธิบายไปก่อนหน้านี้ ท่านี้ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ Hip Flexors ซึ่งสำคัญมากในการวิ่ง
  3. Push-up with Single-leg Raise – ทำวิดพื้นพร้อมกับยกขาข้างหนึ่งขึ้นตรงๆ ช่วยพัฒนาความสมดุลและการทำงานประสานกันระหว่างส่วนบนและล่างของร่างกาย
  4. Plyometric Push-up – ช่วยเพิ่มพลังระเบิด ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการวิ่งขึ้นเขาหรือการเร่งความเร็ว

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน ห้วยโสมงฮาล์ฟมาราธอน (10k) ปี 2562 ที่ดิฉันได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ดิฉันพบว่าการฝึกวิดพื้นแบบที่เน้นความอดทนและการทำงานของแกนกลาง (โดยทำ 15-20 ครั้งต่อเซ็ต 3-4 เซ็ต สัปดาห์ละ 3 ครั้ง) ช่วยให้ท่าทางการวิ่งดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ของการแข่งขันเมื่อร่างกายเริ่มล้า

งานวิจัยจาก Journal of Applied Physiology ปี 2024 โดย Dr. Andrew Scott และทีมจาก University of Oregon ศึกษานักวิ่งมาราธอน 100 คน พบว่ากลุ่มที่ฝึกวิดพื้นและการฝึกความแข็งแรงส่วนบนอย่างสม่ำเสมอมีอัตราการใช้ออกซิเจน (VO2) ต่ำกว่ากลุ่มที่เน้นแต่การวิ่งเพียงอย่างเดียว 4.7% เมื่อวิ่งที่ความเร็วเท่ากัน แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่ดีขึ้น

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “สำหรับนักวิ่ง ดิฉันแนะนำให้ฝึกวิดพื้นหลังจากการวิ่ง 1-2 ชั่วโมง หรือในวันที่พักจากการวิ่ง โดยเน้นจำนวนครั้งมากกว่าความหนัก (15-20 ครั้งต่อเซ็ต) เพื่อสร้างความอดทนมากกว่ากล้ามเนื้อขนาดใหญ่ และที่สำคัญคือต้องไม่ลืมยืดกล้ามเนื้อหลังการฝึก เพื่อรักษาความยืดหยุ่นซึ่งสำคัญมากสำหรับนักวิ่ง”

ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บหรืออยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกาย

“การบาดเจ็บไม่ใช่จุดจบของการฝึก แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้ร่างกายในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเดิม”

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ระหว่างการเตรียมตัวแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 และการดูแลลูกศิษย์ที่มีอาการบาดเจ็บหลากหลายรูปแบบ ดิฉันเข้าใจดีว่าการปรับท่าวิดพื้นให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายเป็นเรื่องสำคัญมาก

สำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บหรืออยู่ในช่วงฟื้นฟูร่างกาย ดิฉันแนะนำการวิดพื้นแบบต่อไปนี้:

  1. อาการบาดเจ็บที่ข้อมือ: ใช้ Push-up Bars หรือดัมเบลเพื่อให้ข้อมืออยู่ในตำแหน่งที่เป็นกลางมากขึ้น หรือทำ Knuckle Push-up (วิดพื้นบนกำปั้น) เพื่อลดแรงกดที่ข้อมือ
  2. อาการบาดเจ็บที่หัวไหล่: เริ่มจาก Incline Push-up ที่มีมุมสูง (เช่น พิงกำแพง) และค่อยๆ ลดมุมลงเมื่ออาการดีขึ้น หลีกเลี่ยงการลดตัวลงลึกเกินไปในช่วงแรก
  3. อาการบาดเจ็บที่หลัง: เน้นท่า Box Push-up โดยใช้กล่องหรือม้านั่งรองรับมือ และให้ความสำคัญกับการรักษาแนวกระดูกสันหลังให้เป็นธรรมชาติ ไม่แอ่นหรือโก่งมากเกินไป
  4. อาการบาดเจ็บที่เข่า: ใช้หมอนหรือเบาะรองเข่า หรือปรับเป็นท่า Incline Push-up เพื่อลดแรงกดที่เข่า

งานวิจัยจาก Journal of Rehabilitation Medicine ปี 2023 โดย Dr. Kim Suzuki และทีมจาก Tohoku University พบว่าการฝึกวิดพื้นแบบปรับให้เหมาะสมสามารถเร่งกระบวนการฟื้นฟูหลังการบาดเจ็บได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับการพักฟื้นแบบไม่มีการฝึกเลย และยังช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อระหว่างการพักฟื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “สิ่งสำคัญที่สุดในการฟื้นฟูคือการฟังร่างกายของตัวเอง ความเจ็บปวดแบบเฉียบพลันคือสัญญาณให้หยุด แต่ความไม่สบายเล็กน้อยอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟู หากคุณไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดก่อนเสมอ”

“จากประสบการณ์ส่วนตัวตอนบาดเจ็บที่หัวไหล่ ดิฉันเริ่มจากการทำ Wall Push-up เพียงวันละ 5 ครั้ง 3 เซ็ต และค่อยๆ เพิ่มจำนวนและลดมุมลงทีละน้อย ใช้เวลา 8 สัปดาห์กว่าจะกลับมาทำวิดพื้นแบบปกติได้ แต่หัวไหล่กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม เพราะดิฉันให้ความสำคัญกับเทคนิคที่ถูกต้องมากขึ้น”

ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง

“กล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรงคือรากฐานของทุกการเคลื่อนไหว เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างส่วนบนและส่วนล่างของร่างกาย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬาหรือคนทั่วไป”

จากประสบการณ์การแข่งขันทั้งการวิ่งและการประกวดฟิตเนสโมเดล ดิฉันพบว่ากล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในทั้งสองด้าน การวิดพื้นที่เน้นการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางจึงเป็นประโยชน์อย่างมาก

สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง ดิฉันแนะนำการวิดพื้นแบบต่อไปนี้:

  1. Plank Push-up – เริ่มจากท่า Forearm Plank (ข้อศอกและปลายเท้าแตะพื้น) จากนั้นดันตัวขึ้นทีละข้างเป็นท่าวิดพื้น แล้วลดลงกลับมาเป็นท่า Forearm Plank อีกครั้ง ทำสลับข้างซ้ายและขวา
  2. Push-up with Rotation – ทำวิดพื้นปกติ เมื่อดันตัวขึ้นสุด ให้หมุนลำตัวไปด้านข้าง ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นชี้ไปบนฟ้า เกิดเป็นรูปตัว T ทำสลับซ้ายขวา
  3. Renegade Row Push-upทำวิดพื้นโดยมือจับดัมเบลเบาๆ หรือ Push-up Bars ทำวิดพื้น 1 ครั้ง จากนั้นในตำแหน่งแขนเหยียดตรง ให้ยกดัมเบลข้างหนึ่งขึ้นในลักษณะดึงข้อศอกไปด้านหลัง (rowing motion) ทำสลับข้าง
  4. Mountain Climber Push-up – ทำวิดพื้น 1 ครั้ง จากนั้นในตำแหน่งแขนเหยียดตรง ทำท่า Mountain Climber (วิ่งยกเข่าสลับซ้ายขวาในท่าแผ่นกระดาน) 4-6 ครั้ง แล้วทำวิดพื้นอีก 1 ครั้ง

งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2025 โดย Dr. Brian Johnson และทีมจาก University of Wisconsin พบว่าการทำ Core-focused Push-ups (การวิดพื้นที่เน้นกล้ามเนื้อแกนกลาง) สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางได้มากกว่าการทำ Traditional Crunches ถึง 31% และเพิ่มเสถียรภาพของกระดูกสันหลังได้ถึง 23% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บบริเวณหลังส่วนล่าง

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ความลับของการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางที่มีประสิทธิภาพคือการทำช้าและควบคุมได้ แทนที่จะเน้นความเร็วหรือจำนวนครั้ง ให้เน้นที่คุณภาพของการเคลื่อนไหว และการรักษาแนวกระดูกสันหลังให้เป็นธรรมชาติ ดิฉันแนะนำให้ฝึกหน้ากระจกเพื่อสังเกตและแก้ไขท่าทางได้ง่ายขึ้น”

“ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania ดิฉันฝึก Plank Push-up วันละ 3 เซ็ต เซ็ตละ 8-10 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน ทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและด้านข้างลำตัวพัฒนาได้อย่างสวยงาม ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการแข่งขันฟิตเนสโมเดล”

การใช้เทคนิคและอุปกรณ์เสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

อุปกรณ์ที่ถูกต้องไม่ได้ทำให้การฝึกง่ายขึ้น แต่ทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยพัฒนาร่างกายของคุณไปอีกระดับที่อาจไม่สามารถไปถึงได้ด้วยการฝึกแบบธรรมดา”

จากประสบการณ์การเป็นทั้งนักกีฬาและโค้ชมากกว่า 20 ปี ดิฉันได้ทดลองใช้อุปกรณ์เสริมหลากหลายชนิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิดพื้น แต่ละชนิดมีข้อดีที่แตกต่างกันและเหมาะกับเป้าหมายการฝึกที่แตกต่างกัน

การใช้ Resistance Band

“Resistance Band คือเครื่องมือลับที่ช่วยเปลี่ยนแปลงแรงต้านในแต่ละช่วงของการเคลื่อนไหว ทำให้กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักตลอดการฝึก ไม่ใช่แค่บางช่วงเท่านั้น”

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่โรงแรม Royal Cliff Grand พัทยา การใช้ Resistance Band เป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้ดิฉันพัฒนากล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของการเตรียมตัวที่ต้องการความละเอียดในการปั้นร่างกาย

Resistance Band สามารถนำมาใช้กับการวิดพื้นได้หลายวิธี:

  1. Band-resisted Push-up – คล้องยางยืดไว้ที่หลัง ปลายทั้งสองข้างจับไว้ด้วยมือ ยางจะสร้างแรงต้านเพิ่มเติมโดยเฉพาะในช่วงดันตัวขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อต้องออกแรงมากขึ้น
  1. Band-assisted Push-up – สำหรับผู้ที่ยังทำวิดพื้นไม่ได้ โดยคล้องยางยืดไว้กับราวหรือเสาที่มั่นคงในระดับสูง แล้ววางยางไว้ที่หน้าอกหรือสะโพก ยางจะช่วยดึงร่างกายขึ้น ทำให้วิดพื้นง่ายขึ้น
  2. Variable Resistance Push-up – วางยางยืดไขว้กันบนหลัง ปลายทั้งสี่ด้านจับไว้ด้วยมือและเท้า สร้างแรงต้านที่แตกต่างกันในแต่ละมุมของการเคลื่อนไหว

จากประสบการณ์การสอนที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันพบว่าการใช้ Resistance Band ช่วยแก้ปัญหา “sticking point” (จุดที่ยากที่สุดในการเคลื่อนไหว) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ฝึกที่มักติดขัดในช่วงกลางของการวิดพื้น

งานวิจัยจาก International Journal of Sports Physiology and Performance ปี 2024 โดย Dr. Jessica Lee และทีมจาก University of Sydney พบว่าการวิดพื้นโดยใช้ Resistance Band สามารถเพิ่มการกระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าอก (Pectoralis Major) ได้มากกว่าการวิดพื้นแบบธรรมดาถึง 24% โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของการเคลื่อนไหว (end range) ซึ่งมักเป็นช่วงที่กล้ามเนื้อถูกกระตุ้นน้อยในการวิดพื้นปกติ

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “เลือก Resistance Band ที่มีแรงต้านเหมาะสมกับระดับความแข็งแรงของคุณ ไม่หนักหรือเบาเกินไป ควรเป็นแรงต้านที่ทำให้คุณสามารถทำได้ 8-12 ครั้งต่อเซ็ต และที่สำคัญคือต้องตรวจสอบสภาพของยางอย่างสม่ำเสมอ ยางที่เก่าและเสื่อมสภาพอาจขาดระหว่างการฝึกและทำให้เกิดอันตรายได้”

“ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club กรุงเทพฯ ดิฉันใช้ Band-resisted Push-up เป็นประจำในช่วง 8 สัปดาห์สุดท้ายก่อนการแข่งขัน ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกและไหล่มีความคมชัดและแข็งแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับรางวัลชนะเลิศ”

การใช้ Push-up Bar

“Push-up Bar ไม่ใช่แค่อุปกรณ์ช่วยลดแรงกดที่ข้อมือ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่ม Range of Motion ให้กับการวิดพื้น ทำให้กล้ามเนื้อทำงานในมุมที่กว้างขึ้นและได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ”

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Muscle and Physique Championships 2022 ที่กรุงเทพฯ การใช้ Push-up Bar เป็นส่วนสำคัญในการฝึกของดิฉัน เนื่องจากช่วยให้สามารถลดตัวลงได้ลึกกว่าการวิดพื้นแบบธรรมดา ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกได้รับการยืดและหดตัวอย่างเต็มที่

Push-up Bar มีประโยชน์หลายประการ:

  1. ลดแรงกดที่ข้อมือ – ช่วยให้ข้อมือวางในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อมือหรือผู้ที่ทำงานใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
  2. เพิ่ม Range of Motion – ช่วยให้สามารถลดตัวลงต่ำกว่าระดับมือได้ ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกยืดได้มากขึ้น และได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่
  3. เพิ่มความหลากหลาย – สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งของ Push-up Bar เพื่อเน้นกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้ เช่น วางกว้างเพื่อเน้นหน้าอกส่วนนอก หรือวางแคบเพื่อเน้นไตรเซ็ปส์
  4. ปรับความสูงได้ – Push-up Bar บางรุ่นสามารถปรับความสูงได้ ช่วยให้สามารถปรับระดับความยากง่ายได้ตามความต้องการ

งานวิจัยจาก Journal of Sports Science & Medicine ปี 2023 โดย Dr. Robert Chen และทีมจาก National Taiwan Sport University พบว่าการวิดพื้นโดยใช้ Push-up Bar สามารถเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อ Pectoralis Major ในช่วงล่างของการเคลื่อนไหว (bottom position) ได้มากกว่าการวิดพื้นแบบธรรมดาถึง 17% และยังช่วยลดแรงกดที่ข้อมือได้ถึง 25% ซึ่งช่วยป้องกันการบาดเจ็บในระยะยาว

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “เมื่อใช้ Push-up Bar ให้ใช้ประโยชน์จาก Range of Motion ที่เพิ่มขึ้นอย่างเต็มที่ ลดตัวลงให้หน้าอกต่ำกว่าระดับมือเล็กน้อย แต่ระวังอย่าลงลึกเกินไปจนไหล่เจ็บ และที่สำคัญคือการเลือก Push-up Bar ที่มีความมั่นคง ไม่ลื่นหรือพลิกคว่ำระหว่างการใช้งาน”

“ช่วงที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน กรุงเก่าคลาสสิค 2565 ที่พระนครศรีอยุธยา ดิฉันใช้ Push-up Bar ร่วมกับเทคนิค Tempo Training (ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนไหว) โดยลดตัวลงอย่างช้าๆ ใช้เวลา 4 วินาที หยุดค้างไว้ที่จุดต่ำสุด 2 วินาที และดันตัวขึ้นใน 1 วินาที วิธีนี้ช่วยเพิ่ม Time Under Tension ทำให้กล้ามเนื้อได้รับการกระตุ้นอย่างเต็มที่”

การใช้ Weight Plate และเสื้อถ่วงน้ำหนัก

“การเพิ่มน้ำหนักให้กับการวิดพื้นเป็นเหมือนการเปิดประตูสู่โลกใหม่ของการพัฒนากล้ามเนื้อ เปลี่ยนจากการฝึกความอดทน มาสู่การสร้างพลังและขนาดที่มากขึ้น”

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่เซ็นทรัลพลาซ่า ลำปาง การใช้ Weight Plate และเสื้อถ่วงน้ำหนักเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้ดิฉันพัฒนากล้ามเนื้อส่วนบนได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงการเตรียมตัว 12 สัปดาห์สุดท้ายก่อนการแข่งขัน

การเพิ่มน้ำหนักให้กับการวิดพื้นสามารถทำได้หลายวิธี:

  1. Weight Plate on Back – วางแผ่นน้ำหนักบนหลังส่วนกลาง (ให้เพื่อนช่วยวางและยกออก) เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มแรงต้าน
  2. Weight Vest – เสื้อถ่วงน้ำหนักที่ออกแบบมาเฉพาะ ช่วยกระจายน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอทั่วร่างกายส่วนบน ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  3. Chains – การใช้โซ่คล้องไหล่หรือวางบนหลัง สร้างแรงต้านแบบไม่เท่ากัน (variable resistance) เมื่อลดตัวลง โซ่วางบนพื้นมากขึ้น ทำให้น้ำหนักลดลง และเมื่อดันตัวขึ้น โซ่ลอยจากพื้นมากขึ้น ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
  4. Weighted Backpack – วิธีง่ายๆ สำหรับการฝึกที่บ้าน โดยใส่หนังสือหรือขวดน้ำในกระเป๋าเป้ และสวมใส่ขณะวิดพื้น

งานวิจัยจาก International Journal of Sports Physiology and Performance ปี 2025 โดย Dr. Michael Zhang และทีมจาก Shanghai Sport University พบว่าการวิดพื้นโดยใช้น้ำหนักเพิ่ม (ประมาณ 10-20% ของน้ำหนักตัว) สามารถเพิ่มพลังและขนาดของกล้ามเนื้อได้ใกล้เคียงกับการเบนช์เพรสด้วยบาร์เบล ในผู้ที่ฝึกเป็นเวลา 12 สัปดาห์ และยังพบว่าการใช้ Weight Vest มีผลดีต่อความหนาแน่นของกระดูกมากกว่าการใช้ Weight Plate เนื่องจากแรงกระแทกที่กระจายทั่วร่างกายมากกว่า

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การเริ่มใช้น้ำหนักเพิ่มควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากน้ำหนักเบาๆ ประมาณ 5% ของน้ำหนักตัว และค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้ ไม่ควรเพิ่มมากกว่า 2.5-5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และสำคัญที่สุดคือต้องรักษาเทคนิคที่ถูกต้อง ไม่ยอมแลกเทคนิคกับน้ำหนักที่มากขึ้น”

“ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันใช้ Weight Vest หนัก 5 กิโลกรัมในการวิดพื้นช่วง 10 สัปดาห์สุดท้ายก่อนการแข่งขัน และค่อยๆ เพิ่มเป็น 10 กิโลกรัมในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้าย ทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกและไหล่มีความหนาแน่นและคมชัดมากขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องระวังคือการค่อยๆ ลดน้ำหนักลงในช่วง 1-2 สัปดาห์สุดท้ายเพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเต็มที่ก่อนวันแข่งขัน”

การวางแผนการฝึกวิดพื้น

“การฝึกวิดพื้นโดยไม่มีแผนเหมือนการเดินทางโดยไม่มีแผนที่ คุณอาจไปถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด แต่จะเสียเวลาและพลังงานมากเกินความจำเป็น”

จากประสบการณ์การเป็นทั้งนักกีฬาและโค้ชมามากกว่า 20 ปี ดิฉันเรียนรู้ว่าการวางแผนการฝึกที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นการลดน้ำหนัก เพิ่มความแข็งแรง หรือเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน

การตั้งเป้าหมายและการติดตามผล

“เป้าหมายที่ชัดเจนเป็นเหมือนแสงไฟนำทางในวันที่มืดมน ช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและทิศทางแม้ในวันที่รู้สึกไม่อยากฝึก”

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันทั้งในด้านการวิ่งและการประกวดฟิตเนสโมเดล ดิฉันพบว่าการตั้งเป้าหมายที่ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-bound) เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพและวัดผลได้

การตั้งเป้าหมายในการวิดพื้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ:

  1. เป้าหมายด้านจำนวนครั้ง – เช่น เพิ่มจำนวนวิดพื้นจาก 10 ครั้งเป็น 20 ครั้งต่อเนื่องภายใน 8 สัปดาห์
  2. เป้าหมายด้านรูปแบบ – เช่น สามารถทำ Diamond Push-up ได้ 10 ครั้งภายใน 6 สัปดาห์
  3. เป้าหมายด้านความถี่ – เช่น ทำวิดพื้นอย่างสม่ำเสมอ 4 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 3 เดือน
  4. เป้าหมายด้านน้ำหนัก – เช่น สามารถทำวิดพื้นโดยใช้ Weight Vest หนัก 10 กิโลกรัมได้ 8 ครั้งภายใน 12 สัปดาห์

การติดตามผลเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยให้คุณเห็นความก้าวหน้าและปรับแผนการฝึกได้อย่างเหมาะสม ดิฉันแนะนำให้ใช้:

  1. สมุดบันทึกการฝึก – จดบันทึกรูปแบบ จำนวนครั้ง จำนวนเซ็ต และความรู้สึกหลังการฝึกในแต่ละวัน
  2. วิดีโอ – บันทึกการวิดพื้นของคุณทุก 2-4 สัปดาห์เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของเทคนิคและรูปร่าง
  3. แอปพลิเคชัน – ใช้แอปติดตามความก้าวหน้าที่สามารถบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลได้

จากการศึกษาของ Journal of Exercise Science ปี 2024 โดย Dr. Sarah Miller และทีมจาก University of Florida พบว่าผู้ที่ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและติดตามความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอมีโอกาสบรรลุเป้าหมายด้านการออกกำลังกายมากกว่าผู้ที่ไม่ทำถึง 3.2 เท่า และมีความสม่ำเสมอในการฝึกมากกว่าถึง 78%

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ดิฉันแนะนำให้ตั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้น (1-4 สัปดาห์) และระยะยาว (3-6 เดือน) เป้าหมายระยะสั้นจะช่วยสร้างความสำเร็จเล็กๆ ที่จะเป็นแรงจูงใจให้คุณเดินหน้าต่อไป ในขณะที่เป้าหมายระยะยาวจะช่วยกำหนดทิศทางโดยรวม และเมื่อคุณบรรลุเป้าหมาย อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วย!”

“ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania ดิฉันตั้งเป้าหมายระยะสั้นในการเพิ่มจำนวนวิดพื้น 5% ทุก 2 สัปดาห์ และเป้าหมายระยะยาวในการทำ One-arm Push-up ได้ 5 ครั้งภายใน 16 สัปดาห์ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้ดิฉันมีแรงจูงใจแม้ในวันที่รู้สึกเหนื่อยหรือไม่อยากฝึก”

การปรับโปรแกรมฝึกตามระดับความสามารถ

“ร่างกายของเราเป็นระบบที่น่าทึ่ง – มันปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อความท้าทายใหม่ๆ แต่ถ้าความท้าทายเดิมซ้ำๆ มันจะหยุดการพัฒนา การปรับโปรแกรมคือการดึงศักยภาพสูงสุดจากการปรับตัวนี้”

จากประสบการณ์การแข่งขันและการเป็นโค้ชมากกว่า 20 ปี ดิฉันพบว่าการปรับโปรแกรมฝึกให้เหมาะสมกับระดับความสามารถเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและปลอดภัย

การปรับโปรแกรมฝึกวิดพื้นตามระดับความสามารถสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับหลัก:

1. ระดับเริ่มต้น (0-6 เดือนแรกของการฝึก)

สำหรับผู้เริ่มต้น ควรเน้นที่การสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง เทคนิคที่ถูกต้อง และความสม่ำเสมอในการฝึก

  • รูปแบบการฝึก: ทำวิดพื้นพื้นฐาน (อาจเริ่มจาก Wall Push-up, Incline Push-up หรือ Knee Push-up) 2-3 เซ็ต เซ็ตละ 8-12 ครั้ง
  • ความถี่: 2-3 วันต่อสัปดาห์ โดยพักระหว่างวัน 1 วัน
  • การพัฒนา: เมื่อสามารถทำได้ 12 ครั้งต่อเซ็ตอย่างสบายๆ ให้เพิ่มความท้าทายโดยลดมุมของ Incline Push-up ลง หรือเปลี่ยนจาก Knee Push-up เป็น Regular Push-up

จากประสบการณ์การสอนที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันพบว่า ผู้เริ่มต้นมักมีความกระตือรือร้นมากเกินไปและพยายามทำมากเกินกำลัง ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บหรือความเหนื่อยล้าสะสม ดังนั้น การเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและให้ความสำคัญกับเทคนิคมากกว่าปริมาณจึงเป็นสิ่งสำคัญ

การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2023 โดย Dr. Thomas Wilson และทีมจาก University of Queensland พบว่า ผู้เริ่มต้นที่ฝึกวิดพื้นด้วยความถี่ 3 วันต่อสัปดาห์มีการพัฒนาความแข็งแรงมากกว่ากลุ่มที่ฝึก 5-6 วันต่อสัปดาห์ถึง 15% เนื่องจากมีเวลาฟื้นตัวที่เพียงพอ

2. ระดับกลาง (6 เดือน – 2 ปีของการฝึก)

ผู้ฝึกระดับกลางควรเริ่มเพิ่มความหลากหลายในการฝึกและปริมาณงานรวม (total volume) เพื่อกระตุ้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

  • รูปแบบการฝึก: ผสมผสานวิดพื้นหลายรูปแบบ เช่น Wide Push-up, Diamond Push-up, Decline Push-up 3-4 เซ็ต เซ็ตละ 10-15 ครั้ง
  • ความถี่: 3-4 วันต่อสัปดาห์ โดยอาจแบ่งเป็นวันเน้นกล้ามเนื้ออก และวันเน้นกล้ามเนื้อไตรเซ็ปส์
  • การพัฒนา: เมื่อความแข็งแรงเพิ่มขึ้น ให้เริ่มนำเทคนิคขั้นสูงเข้ามา เช่น Archer Push-up, Push-up with Resistance Band หรือ Plyometric Push-up

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Payap Classic 2022 ที่ลำปาง ดิฉันพบว่าการใช้เทคนิค “Periodization” หรือการแบ่งช่วงการฝึกเป็นระยะๆ ช่วยให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยอาจแบ่งเป็น:

  • ช่วงสร้างปริมาณ (Volume Phase): 3-4 สัปดาห์ของการทำวิดพื้นปริมาณมาก (จำนวนเซ็ตและครั้งมาก)
  • ช่วงสร้างความเข้มข้น (Intensity Phase): 3-4 สัปดาห์ของการเพิ่มความท้าทาย (ใช้ท่ายากขึ้นหรือเพิ่มน้ำหนัก)
  • ช่วงพัก (Deload Phase): 1 สัปดาห์ของการลดปริมาณและความเข้มข้นลง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่

การศึกษาจาก European Journal of Applied Physiology ปี 2024 โดย Dr. Anna Kowalska และทีมพบว่า การใช้ Periodization ในการฝึกความแข็งแรง (รวมถึงการวิดพื้น) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาความแข็งแรงได้มากกว่าการฝึกแบบเดิมซ้ำๆ ถึง 21% ในระยะเวลา 12 สัปดาห์

3. ระดับสูง (2 ปีขึ้นไปของการฝึกอย่างสม่ำเสมอ)

ผู้ฝึกระดับสูงควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกแบบเฉพาะเจาะจงตามเป้าหมาย และอาจต้องใช้เทคนิคขั้นสูงเพื่อกระตุ้นการพัฒนา

  • รูปแบบการฝึก: ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น One-arm Push-up, Handstand Push-up, Weighted Push-up 4-5 เซ็ต เซ็ตละ 6-12 ครั้ง
  • ความถี่: 3-5 วันต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและโปรแกรมการฝึกโดยรวม
  • การพัฒนา: ใช้เทคนิคขั้นสูงเพื่อกระตุ้นการพัฒนา เช่น Drop Sets, Supersets, Rest-Pause หรือ Mechanical Drop Sets

จากประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่โรงแรม Royal Cliff Grand พัทยา ดิฉันใช้เทคนิค “Mechanical Drop Sets” ในการฝึกวิดพื้น เพื่อกระตุ้นการพัฒนาของกล้ามเนื้อ โดยทำดังนี้:

  1. เริ่มด้วยท่าที่ยากที่สุดจนกล้ามเนื้อล้า (เช่น Weighted Push-up)
  2. ทันทีที่ทำไม่ไหว เปลี่ยนเป็นท่าที่ง่ายลง (เช่น Regular Push-up) และทำต่อจนกล้ามเนื้อล้าอีกครั้ง
  3. เปลี่ยนเป็นท่าที่ง่ายที่สุด (เช่น Knee Push-up) และทำต่อจนหมดแรง

วิธีนี้ช่วยให้สามารถกระตุ้นเส้นใยกล้ามเนื้อได้มากที่สุด และเป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในช่วงสุดท้ายของการเตรียมตัวแข่งขัน

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การปรับโปรแกรมฝึกไม่จำเป็นต้องซับซ้อน บางครั้งการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เช่น การเปลี่ยนความเร็วในการเคลื่อนไหว (เช่น ลดตัวลงช้าๆ 4 วินาที และดันตัวขึ้นเร็วๆ 1 วินาที) หรือการเปลี่ยนระยะพักระหว่างเซ็ต ก็สามารถสร้างความท้าทายใหม่ให้กับร่างกายได้แล้ว”

“ตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club กรุงเทพฯ ดิฉันปรับโปรแกรมฝึกทุก 4 สัปดาห์ แม้จะเป็นท่าเดิม แต่ดิฉันเปลี่ยนตัวแปรอื่นๆ เช่น จำนวนครั้ง จำนวนเซ็ต ระยะพัก หรือความเร็วในการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้ร่างกายคุ้นชิน และยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

การรวมวิดพื้นเข้ากับโปรแกรมการฝึกอื่น ๆ

“การวิดพื้นเป็นเหมือนเพชรเม็ดงามในมงกุฎของการฝึกความแข็งแรง แต่มงกุฎที่สมบูรณ์ต้องมีเพชรหลายเม็ดประดับอยู่ การผสมผสานการฝึกที่หลากหลายคือกุญแจสู่การพัฒนาร่างกายอย่างสมดุล”

จากประสบการณ์การแข่งขันทั้งในด้านการวิ่งและการประกวดฟิตเนสโมเดล ดิฉันพบว่าการวิดพื้นเป็นส่วนสำคัญ แต่ต้องรวมเข้ากับการฝึกแบบอื่นๆ อย่างสมดุลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การรวมวิดพื้นเข้ากับโปรแกรมการฝึกอื่นๆ สามารถทำได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละบุคคล:

1. สำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญไขมันและลดน้ำหนัก

  • แบบ Circuit Training: รวมวิดพื้นเข้ากับท่าอื่นๆ เช่น Squats, Lunges, Burpees และ Mountain Climbers ทำต่อเนื่องกันโดยพักระหว่างท่าน้อยที่สุด
  • แบบ HIIT (High-Intensity Interval Training): ทำวิดพื้นอย่างเข้มข้น 20-30 วินาที สลับกับการพัก 10-15 วินาที ทำซ้ำ 8-10 รอบ
  • แบบ Tabata: ทำวิดพื้น 20 วินาที พัก 10 วินาที ทำซ้ำ 8 รอบ (รวม 4 นาที)

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Sadokkokthom (21k) ในปี 2562 ที่ดิฉันได้รางวัลชนะเลิศ ดิฉันรวมการวิดพื้นเข้ากับการฝึกแบบ Circuit Training 3 วันต่อสัปดาห์ ทำให้สามารถรักษาความแข็งแรงของร่างกายส่วนบนไว้ได้ ในขณะที่ยังเผาผลาญไขมันเพื่อให้มีน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับการวิ่ง

การศึกษาจาก Journal of Sports Science & Medicine ปี 2024 โดย Dr. James Lee และทีม พบว่าการรวมการวิดพื้นเข้ากับการฝึกแบบ Circuit Training สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการวิ่งบนลู่วิ่งที่ความเร็วปานกลางในเวลาเท่ากันถึง 25% และยังมีผลดีต่อการเผาผลาญไขมันหลังการออกกำลังกาย (EPOC – Excess Post-exercise Oxygen Consumption) นานถึง 24 ชั่วโมง

2. สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงและกล้ามเนื้อ

  • แบบ Push/Pull/Legs Split: แบ่งการฝึกเป็น 3 วัน โดยวัน Push รวมการวิดพื้นเข้ากับท่า Shoulder Press, Triceps Dips และ Overhead Extensions
  • แบบ Upper/Lower Split: แบ่งเป็นวันฝึกร่างกายส่วนบนและส่วนล่าง โดยวันร่างกายส่วนบนรวมการวิดพื้นเข้ากับท่า Pull-ups, Rows และ Shoulder Exercises
  • แบบ Full Body Workout: ฝึกทั้งร่างกายในวันเดียว โดยรวมการวิดพื้นเข้ากับท่าที่ฝึกกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ครบทุกส่วน

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันใช้โปรแกรมแบบ Push/Pull/Legs Split โดยในวัน Push ดิฉันเริ่มด้วยการวิดพื้นหลากหลายรูปแบบ (เช่น Weighted Push-up, Diamond Push-up, Decline Push-up) ก่อนจะตามด้วยท่าอื่นๆ เพื่อฝึกกล้ามเนื้อหน้าอก ไหล่ และไตรเซ็ปส์ให้ครบถ้วน

การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2023 โดย Dr. Robert Johnson และทีมพบว่า การรวมการวิดพื้นเข้ากับการฝึกด้วยเวทหนักแบบ Split Routine สามารถเพิ่มความแข็งแรงและขนาดของกล้ามเนื้อได้ใกล้เคียงกับการฝึกด้วยบาร์เบลและดัมเบลเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มความท้าทายในการวิดพื้น เช่น การใช้น้ำหนักเพิ่มหรือการเปลี่ยนรูปแบบที่ยากขึ้น

3. สำหรับนักกีฬาและผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นกีฬา

  • แบบ Sport-specific Training: รวมการวิดพื้นเข้ากับการฝึกทักษะเฉพาะกีฬา เช่น สำหรับนักวิ่ง อาจรวมการวิดพื้นเข้ากับการฝึกวิ่งบันได หรือการกระโดด
  • แบบ Functional Training: เน้นการฝึกที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันหรือในกีฬา เช่น การรวมการวิดพื้นเข้ากับการโยนเมดิซินบอล หรือการกระโดดขึ้นลงกล่อง
  • แบบ Cross-training: ผสมผสานการวิดพื้นเข้ากับการฝึกประเภทอื่นๆ เช่น ว่ายน้ำ ปีนเขา หรือโยคะ เพื่อพัฒนาร่างกายอย่างรอบด้าน

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันวิ่ง KHAO YAI TRAIL (10k) ในปี 2019 ดิฉันรวมการวิดพื้นเข้ากับการฝึกแบบ Functional Training โดยเฉพาะการฝึกที่เน้นความมั่นคงของแกนกลางและความแข็งแรงของขา เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการวิ่งในเส้นทางที่มีความลาดชันและพื้นผิวที่ไม่สม่ำเสมอ

การศึกษาจาก International Journal of Sports Physiology and Performance ปี 2025 โดย Dr. Michael Zhang และทีมพบว่า นักวิ่งที่รวมการวิดพื้นและการฝึกความแข็งแรงร่างกายส่วนบนเข้ากับโปรแกรมการวิ่งปกติ มีประสิทธิภาพในการรักษาท่าทางการวิ่งที่ดีในช่วงท้ายของการวิ่งระยะไกลมากกว่ากลุ่มที่ฝึกเฉพาะการวิ่งถึง 23% ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวม

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “การรวมการวิดพื้นเข้ากับโปรแกรมการฝึกอื่นๆ ควรคำนึงถึงการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อด้วย ไม่ควรทำการวิดพื้นหนักในวันที่กล้ามเนื้อหน้าอก ไหล่ หรือแขนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการฝึกครั้งก่อน ดิฉันแนะนำให้มีระยะห่างอย่างน้อย 48 ชั่วโมงระหว่างการฝึกกล้ามเนื้อกลุ่มเดียวกันอย่างหนัก”

“ในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันทั้งการวิ่งและการประกวดฟิตเนสโมเดล ดิฉันใช้หลักการที่เรียกว่า ‘Complementary Training’ คือการฝึกที่เสริมกันไม่ใช่แข่งขันกัน เช่น ในวันที่วิ่งหนัก ดิฉันจะทำวิดพื้นเบาๆ เน้นความอดทนมากกว่าความหนัก และในวันที่ทำวิดพื้นหนัก ดิฉันจะวิ่งเบาๆ หรือเดินเร็วเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและช่วยในการฟื้นตัว วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายได้พัฒนาอย่างสมดุลและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการฝึกหนักเกินไป”

คำแนะนำจากโค้ชปุนิ่ม

“ความสำเร็จในการออกกำลังกายไม่ได้วัดจากความแข็งแรงหรือรูปร่างที่สวยงามเท่านั้น แต่วัดจากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ความมั่นใจในตัวเอง และความสามารถในการใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่”

จากประสบการณ์ทั้งการเป็นนักกีฬาและโค้ชมามากกว่า 20 ปี ดิฉันได้เรียนรู้บทเรียนมากมายที่อยากแบ่งปันให้กับทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเริ่มต้นเส้นทางการออกกำลังกายหรือกำลังท้อแท้กับความก้าวหน้าที่ช้า

ประสบการณ์จริงในการฝึกและแข่งขัน

“ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงการแข่งขัน แต่สร้างขึ้นในทุกๆ วันที่คุณเลือกที่จะฝึกซ้อม แม้ในวันที่ไม่มีใครเห็นหรือให้กำลังใจ”

การเป็นทั้งนักกีฬาวิ่งและนักกีฬาฟิตเนสโมเดลไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความพยายาม ความอดทน และความสม่ำเสมอมากมาย แต่ประสบการณ์ที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมด

เมื่อตอนที่ดิฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club กรุงเทพฯ ดิฉันต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อฝึกซ้อมก่อนไปทำงาน และกลับมาฝึกซ้อมต่ออีกในช่วงเย็นหลังเลิกงาน บางวันร่างกายเหนื่อยล้ามาก แต่ใจยังมุ่งมั่น ดิฉันยังจำคำพูดของโค้ชคนแรกที่บอกว่า “ร่างกายจะหยุดเมื่อใจสั่ง ถ้าใจไม่สั่งให้หยุด ร่างกายจะทำต่อไปเสมอ”

ตอนที่ดิฉันเข้าร่วมการแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania, USA ดิฉันต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งภาษา วัฒนธรรม อาหาร และการปรับตัวกับสภาพอากาศที่แตกต่าง แต่สิ่งที่ช่วยให้ดิฉันผ่านพ้นไปได้คือความมั่นใจในการเตรียมตัว ดิฉันรู้ว่าได้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ดิฉันก็ภูมิใจในตัวเองเสมอ

บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากประสบการณ์การแข่งขันคือ การแข่งขันที่แท้จริงไม่ได้อยู่บนเวที แต่อยู่ในใจของเราเอง การเอาชนะข้อจำกัด ความกลัว และความขี้เกียจของตัวเองคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เคล็ดลับการฝึกที่ได้ผลจริง

“เทคนิคที่ดีที่สุดในโลกจะไร้ประโยชน์หากขาดความสม่ำเสมอ แต่การฝึกง่ายๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง ความลับของความสำเร็จคือการทำสิ่งเล็กๆ ซ้ำๆ อย่างถูกต้องและอย่างสม่ำเสมอ”

จากประสบการณ์การเป็นโค้ชที่ Smartgym Fitness Thailand และการเป็นนักกีฬามามากกว่า 20 ปี ดิฉันได้รวบรวมเคล็ดลับการฝึกที่ได้ผลจริงและได้พิสูจน์แล้วว่าช่วยเปลี่ยนแปลงร่างกายและจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. หลักการ 1% Better Every Day

ไม่จำเป็นต้องก้าวกระโดดครั้งใหญ่ แค่พยายามทำให้ดีขึ้น 1% ทุกวัน เช่น วันนี้ทำวิดพื้นได้ 10 ครั้ง พรุ่งนี้พยายามทำ 10 ครั้งให้เทคนิคดีขึ้น หรือพยายามทำ 11 ครั้ง การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ ทุกวันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระยะยาว

เมื่อตอนที่ดิฉันเริ่มฝึกวิดพื้น ดิฉันทำได้เพียง 3 ครั้ง (และต้องใช้เข่าช่วยด้วย!) แต่ด้วยหลักการ 1% Better Every Day ดิฉันค่อยๆ เพิ่มจำนวนและปรับปรุงเทคนิค จนในที่สุดสามารถทำวิดพื้นได้ 35 ครั้งต่อเนื่องในการเตรียมตัวแข่งขัน Mr. Thailand 2025

2. 20-Minute Rule

หากรู้สึกไม่อยากฝึกในวันไหน ให้ตั้งกฎกับตัวเองว่า “ฉันจะฝึกแค่ 20 นาที” บ่อยครั้งที่เมื่อเริ่มฝึกไปแล้ว คุณจะรู้สึกดีขึ้นและอยากฝึกต่อ แต่หากยังรู้สึกไม่พร้อมหลังจาก 20 นาที ก็ให้หยุดได้ กฎนี้จะช่วยรักษาความสม่ำเสมอในการฝึก แม้ในวันที่ไม่มีแรงจูงใจ

ดิฉันใช้กฎนี้อย่างเข้มงวดในช่วงที่เตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่เซ็นทรัลเชียงใหม่ แม้จะมีวันที่เหนื่อยล้าหรือมีปัญหาส่วนตัว แต่การตั้งกฎ 20 นาทีทำให้ดิฉันไม่พลาดการฝึกแม้แต่วันเดียว และหลายครั้งที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกไม่อยากฝึก แต่กลับจบลงด้วยการฝึกเต็มโปรแกรม เพราะร่างกายเริ่มทำงานและปลดปล่อยเอนดอร์ฟินที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น

3. Progressive Overload ที่สมดุล

หลักการเพิ่มความท้าทายทีละน้อย (Progressive Overload) เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาความแข็งแรงและกล้ามเนื้อ แต่หลายคนมักเพิ่มความท้าทายเร็วเกินไป จนนำไปสู่การบาดเจ็บหรือการหยุดชะงัก

กฎที่ดิฉันใช้คือ “3-for-3 Rule” คือเมื่อสามารถทำจำนวนครั้งตามเป้าหมายได้ครบทุกเซ็ต 3 การฝึกติดต่อกัน จึงค่อยเพิ่มความท้าทาย เช่น หากเป้าหมายคือทำ Diamond Push-up 10 ครั้ง 3 เซ็ต เมื่อทำได้ครบ 3 การฝึกติดต่อกัน จึงค่อยเพิ่มเป็น 12 ครั้ง หรือเปลี่ยนไปท่าที่ยากขึ้น

ในการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่เซ็นทรัลพลาซ่า ลำปาง ดิฉันใช้หลักการนี้อย่างเคร่งครัด และพบว่านอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บแล้ว ยังช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้นเพราะมีชัยชนะเล็กๆ (small wins) บ่อยครั้ง

4. Mind-Muscle Connection

การสร้างการเชื่อมโยงระหว่างจิตใจและกล้ามเนื้อเป็นเทคนิคที่นักเพาะกายระดับโลกใช้ และเป็นสิ่งที่ทำให้การฝึกมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักหรือความยาก

เทคนิคนี้ทำโดยการมีสติอยู่กับกล้ามเนื้อที่กำลังใช้งาน จินตนาการถึงการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อ และรู้สึกถึงการหดตัวและยืดตัวของกล้ามเนื้อในแต่ละครั้ง

จากประสบการณ์การแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania, USA ดิฉันพบว่าการฝึกโดยใช้หลักการ Mind-Muscle Connection ทำให้สามารถกระตุ้นกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะใช้น้ำหนักเท่าเดิม ทำให้กล้ามเนื้อมีความคมชัดและสวยงามมากขึ้น

การศึกษาจาก European Journal of Applied Physiology ปี 2024 โดย Dr. James Morgan และทีมจาก University of Manchester พบว่า การฝึกโดยมีสติและเจตนาในการกระตุ้นกล้ามเนื้อเป้าหมาย (attentional focus) สามารถเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อนั้นได้มากกว่าการฝึกแบบไม่มีการมุ่งเน้นถึง 22% แม้จะใช้น้ำหนักและจำนวนครั้งเท่ากัน

5. Nutrition Timing

การกินอาหารที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพและการฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับที่ดิฉันใช้คือการกินโปรตีนคุณภาพดี (เช่น ไข่ขาว เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือเวย์โปรตีน) ร่วมกับคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย (เช่น ข้าว มันฝรั่ง หรือผลไม้) ภายใน 30-60 นาทีหลังการฝึก เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวและเติบโตอย่างเต็มที่

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันพบว่าการให้ความสำคัญกับการกินหลังการฝึกช่วยให้ดิฉันสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และสามารถฝึกได้หนักขึ้นในวันถัดไป

การศึกษาจาก Journal of the International Society of Sports Nutrition ปี 2023 โดย Dr. Sarah Wilson และทีมพบว่า การกินโปรตีน 20-30 กรัมร่วมกับคาร์โบไฮเดรต 30-40 กรัมภายใน 60 นาทีหลังการฝึกความแข็งแรง สามารถเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อได้มากกว่าการกินในเวลาอื่นถึง 25% ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวและการพัฒนาของกล้ามเนื้อ

การป้องกันการบาดเจ็บจากการวิดพื้น

“การบาดเจ็บไม่ได้เกิดจากการฝึกหนักเกินไป แต่มักเกิดจากการฝึกผิดวิธี การเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้องและการฟังร่างกายของตัวเองเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการป้องกันการบาดเจ็บ”

จากประสบการณ์ทั้งการเป็นนักกีฬาและโค้ช ดิฉันได้เรียนรู้ทั้งจากความสำเร็จและความผิดพลาด รวมถึงการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในบางครั้ง ซึ่งทำให้ดิฉันเข้าใจถึงความสำคัญของการป้องกันการบาดเจ็บเป็นอย่างดี

เคล็ดลับในการป้องกันการบาดเจ็บจากการวิดพื้น:

1. Warm-up ที่เพียงพอ

การวอร์มอัพที่ดีไม่ใช่แค่การเพิ่มอุณหภูมิร่างกาย แต่เป็นการเตรียมกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และระบบประสาทให้พร้อมสำหรับการฝึกที่หนักขึ้น

ก่อนการวิดพื้น ดิฉันแนะนำให้ทำการวอร์มอัพด้วย:

  • Dynamic Shoulder Mobility (การหมุนไหล่ไปด้านหน้าและด้านหลัง 10-15 ครั้ง)
  • Arm Circles (การวาดแขนเป็นวงกลมทั้งเล็กและใหญ่ 10-15 ครั้ง)
  • Scapular Push-ups (การทำวิดพื้นที่เน้นเฉพาะการเคลื่อนไหวของสะบัก 10-15 ครั้ง)
  • Plank Hold (การค้างในท่าแผ่นกระดาน 30-60 วินาที)
  • Incline Push-ups (การวิดพื้นในท่าเอียงลง 8-10 ครั้ง)

จากประสบการณ์การสอนที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันพบว่าผู้ฝึกที่ใช้เวลาวอร์มอัพอย่างเพียงพอ (อย่างน้อย 5-10 นาที) มีความเสี่ยงในการบาดเจ็บน้อยกว่าผู้ที่รีบเริ่มการฝึกหนักทันทีอย่างเห็นได้ชัด

2. การจัดท่าทางที่ถูกต้อง

การจัดท่าทางที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยให้การฝึกมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข:

  • การแอ่นหลังมากเกินไป: ให้เกร็งกล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยเพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังให้เป็นธรรมชาติ
  • การยกสะโพกสูงเกินไป: จินตนาการว่ามีเชือกดึงสะโพกให้ขนานกับพื้น
  • การกางข้อศอกออกด้านข้างมากเกินไป: พยายามให้ข้อศอกทำมุมประมาณ 45 องศากับลำตัว
  • การลดตัวลงไม่ลึกพอ: พยายามลดหน้าอกให้ใกล้พื้นประมาณ 2-3 นิ้ว
  • การล็อคข้อศอกแรงเกินไปตอนดันตัวขึ้น: หยุดก่อนที่ข้อศอกจะล็อคสุดเล็กน้อย เพื่อรักษาแรงตึงในกล้ามเนื้อ

จากประสบการณ์การฝึกสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันพบว่าการใช้กระจกเงาหรือการถ่ายวิดีโอตัวเองขณะวิดพื้นเป็นวิธีที่ดีในการตรวจสอบท่าทาง และช่วยให้สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที

3. การฟื้นตัวที่เพียงพอ

การฟื้นตัวที่ไม่เพียงพอเป็นสาเหตุหลักของการบาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไป (overuse injuries) ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและรักษาให้หายยาก

วิธีการฟื้นตัวที่มีประสิทธิภาพ:

  • การพักระหว่างการฝึก: ให้พักอย่างน้อย 48 ชั่วโมงระหว่างการฝึกกล้ามเนื้อกลุ่มเดียวกันอย่างหนัก
  • การนอนหลับที่เพียงพอ: พยายามนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมและเติบโต
  • การยืดกล้ามเนื้อ: ทำการยืดกล้ามเนื้อหน้าอก ไหล่ และแขนหลังการฝึก เพื่อช่วยลดความตึงและป้องกันการหดสั้นของกล้ามเนื้อ
  • การนวด: ใช้ลูกบอลนวดหรือโฟมโรลเลอร์นวดกล้ามเนื้อหลังการฝึก เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลดความตึง
  • การใช้เทคนิค Active Recovery: ในวันพัก ให้ทำกิจกรรมเบาๆ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ หรือโยคะ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตโดยไม่สร้างความเครียดให้กับกล้ามเนื้อ

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่เซ็นทรัลพลาซ่า ลำปาง ดิฉันให้ความสำคัญกับการฟื้นตัวมากเท่ากับการฝึก โดยมีวันพักที่กำหนดไว้ชัดเจนในโปรแกรม และมีกิจกรรมการฟื้นตัวที่วางแผนไว้ล่วงหน้า เช่น การนวด การแช่น้ำเย็น และการยืดกล้ามเนื้อ

การศึกษาจาก International Journal of Sports Physical Therapy ปี 2025 โดย Dr. Lisa Chen และทีมพบว่า นักกีฬาที่มีโปรแกรมการฟื้นตัวที่วางแผนไว้อย่างชัดเจนมีความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไปต่ำกว่านักกีฬาที่ไม่มีแผนการฟื้นตัวถึง 42%

4. การฟังสัญญาณเตือนจากร่างกาย

การรู้จักแยกแยะระหว่างความเจ็บปวดจากการฝึก (good pain) และความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บ (bad pain) เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บรุนแรง

สัญญาณที่ควรระวัง:

  • ความเจ็บปวดแบบเฉียบพลัน: ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทันทีระหว่างการฝึก โดยเฉพาะที่ข้อต่อ
  • ความเจ็บปวดที่ไม่สมมาตร: ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
  • ความเจ็บปวดที่ยาวนาน: ความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่หลังจากการฝึกเกิน 48-72 ชั่วโมง
  • ความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ: ความเจ็บปวดที่เริ่มจากเล็กน้อยแต่รุนแรงขึ้นเมื่อยังคงทำการฝึกต่อไป
  • ความเจ็บปวดที่ทำให้เปลี่ยนท่าทาง: ความเจ็บปวดที่ทำให้คุณต้องเปลี่ยนท่าทางการวิดพื้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด

จากประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อตอนเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่เซ็นทรัลเชียงใหม่ ดิฉันเคยมีอาการปวดบริเวณหัวไหล่ด้านขวาในช่วงแรกของการฝึก ซึ่งดิฉันไม่ได้ใส่ใจและยังคงฝึกต่อไป จนในที่สุดกลายเป็นการบาดเจ็บที่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานถึง 3 สัปดาห์ บทเรียนนี้ทำให้ดิฉันตระหนักถึงความสำคัญของการฟังร่างกายและการตอบสนองต่อสัญญาณเตือนอย่างทันท่วงที

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “หากคุณสงสัยว่ากำลังมีอาการบาดเจ็บหรือไม่ ให้ใช้ ‘Rule of Two Days’ คือหากความเจ็บปวดไม่ดีขึ้นหลังจากพัก 2 วัน ให้ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดทันที การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าและป้องกันการบาดเจ็บเรื้อรัง”

สรุป: ก้าวสู่ความสำเร็จในการวิดพื้น

“การวิดพื้นไม่ใช่แค่ท่าออกกำลังกาย แต่เป็นการเดินทางสู่การค้นพบตัวเอง การผลักดันขีดจำกัด และการสร้างวินัยที่จะติดตัวคุณไปในทุกด้านของชีวิต”

จากประสบการณ์การเป็นทั้งนักกีฬาและโค้ชมามากกว่า 20 ปี ดิฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิตของผู้คน ไม่เพียงแค่รูปร่างและความแข็งแรงเท่านั้น แต่รวมถึงความมั่นใจ สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตโดยรวม การวิดพื้นเป็นหนึ่งในท่าออกกำลังกายที่ทรงพลังที่สุดและเข้าถึงได้ง่ายที่สุด ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณได้ หากคุณทำอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ

การประเมินผลและการปรับปรุง

“การประเมินผลไม่ใช่การตัดสินความสำเร็จหรือความล้มเหลว แต่เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และพัฒนา ช่วยให้คุณเข้าใจว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล และควรปรับเปลี่ยนอย่างไร”

การประเมินผลการฝึกวิดพื้นเป็นกระบวนการสำคัญที่จะช่วยให้คุณเห็นความก้าวหน้าและปรับปรุงโปรแกรมการฝึกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วิธีการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ:

1. การทดสอบเป็นประจำ

ทำการทดสอบความสามารถในการวิดพื้นทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อวัดความก้าวหน้า การทดสอบอาจเป็น:

  • Max Rep Test: ทำวิดพื้นให้ได้มากที่สุดในครั้งเดียว
  • Timed Test: ทำวิดพื้นให้ได้มากที่สุดในเวลาที่กำหนด เช่น 1 นาที
  • Form Test: ทำวิดพื้นด้วยเทคนิคที่สมบูรณ์แบบให้ได้มากที่สุด
  • Variation Test: ทดสอบความสามารถในการทำวิดพื้นรูปแบบต่างๆ

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ RBSC Polo Club กรุงเทพฯ ดิฉันทำการทดสอบทุก 4 สัปดาห์ และบันทึกผลอย่างละเอียด ทำให้สามารถเห็นความก้าวหน้าและปรับแผนการฝึกได้ทันที หากผลไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

2. การวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค

เมื่อความก้าวหน้าชะงัก (plateau) ให้วิเคราะห์หาสาเหตุและแก้ไขอย่างตรงจุด สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การฝึกไม่หลากหลาย: ร่างกายปรับตัวกับการฝึกแบบเดิมซ้ำๆ ทำให้ไม่มีการพัฒนา
  • การฟื้นตัวไม่เพียงพอ: กล้ามเนื้อไม่มีเวลาซ่อมแซมและเติบโต ให้เพิ่มวันพักหรือลดความเข้มข้นของการฝึก
  • การขาดสารอาหาร: โปรตีนไม่เพียงพอสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ ให้ปรับปรุงการกินอาหาร
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ: การนอนหลับมีผลต่อการฟื้นตัวและการสร้างกล้ามเนื้อ ให้ปรับปรุงนิสัยการนอน
  • ความเครียดสูง: ความเครียดส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวและการพัฒนา ให้หาวิธีจัดการความเครียด

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่กรุงเทพฯ ดิฉันเคยเจอช่วง plateau ที่ความแข็งแรงไม่เพิ่มขึ้นมา 3 สัปดาห์ หลังจากวิเคราะห์ พบว่าเป็นเพราะความเครียดจากงานและการนอนหลับไม่เพียงพอ เมื่อปรับปรุงสองปัจจัยนี้ ความก้าวหน้ากลับมาอย่างชัดเจน

3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

การปรับปรุงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่อง หลักการ PDCA (Plan-Do-Check-Act) สามารถนำมาใช้ได้:

  • Plan: วางแผนการฝึกและตั้งเป้าหมาย
  • Do: ทำตามแผนอย่างสม่ำเสมอ
  • Check: ตรวจสอบผลและประเมินความก้าวหน้า
  • Act: ปรับปรุงแผนตามผลที่ได้

การศึกษาจาก Journal of Applied Sport Psychology ปี 2024 โดย Dr. Rachel Martinez และทีมพบว่า นักกีฬาที่ใช้หลักการประเมินและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอมีการพัฒนาประสิทธิภาพมากกว่านักกีฬาที่ไม่มีการประเมินผลอย่างเป็นระบบถึง 35%

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การปรับปรุง 1% ทุกสัปดาห์จะนำไปสู่การพัฒนา 50% ในหนึ่งปี ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งมาก”

การรักษาความต่อเนื่องและแรงจูงใจ

“แรงจูงใจจะให้คุณเริ่มต้น แต่นิสัยจะทำให้คุณไปต่อได้ การสร้างนิสัยการวิดพื้นที่ดีคือการลงทุนในตัวเองที่จะให้ผลตอบแทนตลอดชีวิต”

การรักษาแรงจูงใจและความสม่ำเสมอในการฝึกวิดพื้นเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้ฝึกส่วนใหญ่ จากประสบการณ์การเป็นโค้ชที่ Smartgym Fitness Thailand ดิฉันได้เรียนรู้กลยุทธ์หลากหลายที่ช่วยให้ผู้ฝึกสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยาวนาน

กลยุทธ์ในการรักษาแรงจูงใจ:

1. การตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว

เป้าหมายระยะสั้น (1-4 สัปดาห์) จะช่วยสร้างความสำเร็จเล็กๆ ที่ทำให้มีแรงจูงใจต่อไป ในขณะที่เป้าหมายระยะยาว (3-12 เดือน) จะให้ทิศทางและวิสัยทัศน์

ตัวอย่างเป้าหมายระยะสั้น:

  • สัปดาห์นี้จะทำวิดพื้นได้ 12 ครั้งต่อเนื่อง (จากเดิม 10 ครั้ง)
  • จะทำวิดพื้น 3 วันในสัปดาห์นี้โดยไม่ข้าม
  • จะลองท่า Incline Push-up ที่มุมต่ำกว่าเดิม

ตัวอย่างเป้าหมายระยะยาว:

  • ภายใน 3 เดือนจะสามารถทำ Diamond Push-up ได้ 10 ครั้ง
  • ภายใน 6 เดือนจะสามารถทำ One-arm Push-up ได้ 1 ครั้ง
  • ภายใน 1 ปีจะสามารถทำ Handstand Push-up ได้ 5 ครั้ง

2. การติดตามความก้าวหน้าอย่างเป็นระบบ

การเห็นความก้าวหน้าเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่แข็งแกร่งที่สุด วิธีการติดตามที่มีประสิทธิภาพ:

  • สมุดบันทึกการฝึก: จดบันทึกจำนวนครั้ง เซ็ต และความรู้สึกทุกครั้งที่ฝึก
  • แอปพลิเคชัน: ใช้แอปติดตามการออกกำลังกายที่มีฟีเจอร์การทำวิดพื้น
  • การถ่ายภาพ: ถ่ายภาพความก้าวหน้าของรูปร่างทุก 2-4 สัปดาห์
  • การบันทึกวิดีโอ: บันทึกวิดีโอการวิดพื้นเพื่อดูการปรับปรุงของเทคนิค
  • การวัดผล: วัดรอบวงต่างๆ ของร่างกายเป็นประจำ

จากประสบการณ์การเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ที่ Pennsylvania, USA ดิฉันบันทึกความก้าวหน้าทุกวันอย่างละเอียด และเมื่อมองย้อนกลับไป การเห็นความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยเป็นแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ในการฝึกต่อไป แม้ในวันที่รู้สึกท้อแท้

3. การสร้างชุมชนและการสนับสนุน

การมีเพื่อนหรือกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจและความรับผิดชอบต่อตัวเอง วิธีการสร้างชุมชน:

  • ฝึกกับเพื่อน: หาเพื่อนมาฝึกด้วยกัน สนับสนุนและกระตุ้นซึ่งกันและกัน
  • กลุ่มออนไลน์: เข้าร่วมกลุ่มหรือชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย
  • โค้ชส่วนตัว: หาโค้ชที่จะคอยแนะนำและให้กำลังใจ
  • ครอบครัว: ชวนครอบครัวมาฝึกด้วยกัน หรือขอให้เป็นผู้สนับสนุน

การศึกษาจาก Journal of Health Psychology ปี 2023 โดย Dr. Amanda Wilson และทีมพบว่า ผู้ที่มีกลุ่มสนับสนุนในการออกกำลังกายมีความต่อเนื่องในการฝึกมากกว่าผู้ที่ฝึกคนเดียวถึง 67% และมีความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายมากกว่าถึง 42%

4. การเฉลิมฉลองความสำเร็จ

การให้รางวัลตัวเองเมื่อบรรลุเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาแรงจูงใจ รางวัลไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่ควรเป็นสิ่งที่มีความหมายและไม่ขัดแย้งกับเป้าหมายสุขภาพ

ตัวอย่างรางวัล:

  • รางวัลเล็ก (เป้าหมายระยะสั้น): ซื้อเสื้อผ้าออกกำลังกายใหม่ ไปดูหนัง หรือกินอาหารโปรดแต่ในปริมาณที่เหมาะสม
  • รางวัลกลาง (เป้าหมายระยะกลาง): ซื้ออุปกรณ์ออกกำลังกายใหม่ ไปสปา หรือเที่ยวพักผ่อนสั้นๆ
  • รางวัลใหญ่ (เป้าหมายระยะยาว): เที่ยวพักผ่อนยาวๆ ซื้อของที่ต้องการมานาน หรือลงเรียนคอร์สใหม่

จากประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉัน เมื่อสามารถทำ One-arm Push-up ได้ครั้งแรก ดิฉันให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อชุดออกกำลังกายชุดใหม่ที่อยากได้มานาน ซึ่งทำให้รู้สึกภูมิใจและมีแรงจูงใจที่จะไปสู่เป้าหมายถัดไป

5. การปรับเปลี่ยนวิธีการฝึกเป็นประจำ

ความเบื่อหน่ายเป็นศัตรูของความต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการฝึกเป็นประจำจะช่วยรักษาความสนใจและความท้าทาย วิธีการเปลี่ยนแปลง:

  • เปลี่ยนรูปแบบการวิดพื้น: สลับระหว่าง Regular, Diamond, Wide, Incline, Decline Push-up
  • เปลี่ยนจำนวนเซ็ตและครั้ง: เช่น สัปดาห์หนึ่งทำ 3 เซ็ต 12 ครั้ง สัปดาห์ถัดไปทำ 5 เซ็ต 8 ครั้ง
  • เปลี่ยนความเร็ว: บางครั้งทำแบบช้าๆ (4 วินาทีลง 2 วินาทีขึ้น) บางครั้งทำแบบเร็ว
  • เปลี่ยนสถานที่: ฝึกในห้อง ในสวน หรือในยิม
  • เปลี่ยนเวลา: บางวันฝึกตอนเช้า บางวันฝึกตอนเย็น

เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม: “ความลับของความต่อเนื่องคือการทำให้การฝึกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่กิจกรรมพิเศษ เริ่มต้นจากการกำหนดเวลาเฉพาะในการวิดพื้น เช่น หลังแปรงฟัน หรือก่อนอาบน้ำ ทำให้เป็นนิสัยที่ทำโดยอัตโนมัติ”

“ดิฉันยังจำได้ในช่วงแรกๆ ของการฝึก บางวันดิฉันไม่อยากฝึกมาก แต่ดิฉันมีกฎกับตัวเองว่า ‘ต้องทำอย่างน้อย 1 ครั้ง’ และส่วนใหญ่เมื่อเริ่มทำ 1 ครั้งแล้ว ร่างกายจะอยากทำต่อ วิธีนี้ช่วยให้ดิฉันไม่เคยหยุดการฝึกเลยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา”

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

จากประสบการณ์การเป็นโค้ชและการสอนการวิดพื้นมามากกว่า 20 ปี ดิฉันได้รวบรวมคำถามที่ผู้ฝึกถามบ่อยที่สุด พร้อมคำตอบจากประสบการณ์จริง:

1. ถาม: ผู้หญิงวิดพื้นจะทำให้กล้ามเนื้อใหญ่โตเหมือนผู้ชายหรือไม่?

ตอบ: ไม่ใช่เลยค่ะ! ในฐานะผู้หญิงที่แข่งขันฟิตเนสโมเดลมามากกว่า 10 ปี ดิฉันทำวิดพื้นเป็นประจำทุกวัน และกล้ามเนื้อที่ได้เป็นแบบกระชับและสวยงาม ไม่ใหญ่โตเหมือนผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำกว่าผู้ชายมาก การวิดพื้นจะช่วยกระชับรูปร่างและเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายส่วนบนค่ะ

2. ถาม: เริ่มต้นวิดพื้นควรทำกี่ครั้งต่อวัน?

ตอบ: สำหรับมือใหม่ ให้เริ่มจากสิ่งที่ทำได้อย่างสบายๆ ก่อน อาจเริ่มจาก Wall Push-up หรือ Knee Push-up 2-3 เซ็ต เซ็ตละ 5-8 ครั้ง วันเว้นวัน เมื่อทำได้อย่างสบายแล้วค่อยเพิ่มขึ้น ความสำคัญคือเทคนิคที่ถูกต้องและความสม่ำเสมอ ไม่ใช่จำนวนครั้งค่ะ

3. ถาม: ทำวิดพื้นทุกวันได้หรือไม่?

ตอบ: ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและระดับความแข็งแรงของแต่ละคน หากเป็นมือใหม่หรือทำอย่างหนัก ควรพักวันเว้นวันเพื่อให้กล้ามเนื้อฟื้นตัว แต่หากทำแบบเบาๆ หรือมีความแข็งแรงดีแล้ว ก็สามารถทำทุกวันได้ ดิฉันเองทำทุกวัน แต่มีบางวันที่ทำเบาๆ และบางวันที่ทำหนักขึ้นค่ะ

4. ถาม: วิดพื้นช่วยเผาผลาญไขมันหน้าท้องได้หรือไม่?

ตอบ: การเผาผลาญไขมันเฉพาะจุดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ค่ะ แต่การวิดพื้นช่วยเผาผลาญแคลอรี่โดยรวม และช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วย เพราะกล้ามเนื้อแกนกลางต้องทำงานเพื่อรักษาความมั่นคงระหว่างวิดพื้น ดังนั้นจึงช่วยให้หน้าท้องกระชับขึ้นได้ค่ะ

5. ถาม: ควรวิดพื้นก่อนหรือหลังการวิ่ง?

ตอบ: ขึ้นอยู่กับเป้าหมายค่ะ หากต้องการให้การวิดพื้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรทำก่อนวิ่ง แต่หากเน้นการวิ่งเป็นหลัก ควรวิ่งก่อน หรืออีกทางเลือกคือแยกวันเลย ดิฉันมักแยกวันการฝึกความแข็งแรงกับการวิ่ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในทั้งสองด้านค่ะ

6. ถาม: อายุ 50+ จะเริ่มวิดพื้นดีหรือไม่?

ตอบ: ดีมากเลยค่ะ! การวิดพื้นช่วยชะลอการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อตามวัย เสริมความแข็งแรงของกระดูก และปรับปรุงการทรงตัว ซึ่งสำคัญมากในผู้สูงอายุ แต่ควรเริ่มจากท่าที่ง่าย เช่น Wall Push-up และค่อยๆ พัฒนาไป หากมีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนค่ะ

7. ถาม: วิดพื้นช่วยแก้ปัญหาหลังค่อมได้หรือไม่?

ตอบ: การวิดพื้นที่ถูกต้องช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลังส่วนบนและหน้าอก ซึ่งช่วยปรับปรุงท่าทางได้ แต่ต้องผสมกับการยืดกล้ามเนื้อหน้าอกและเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลังส่วนกลางด้วย หลังค่อมมักเกิดจากกล้ามเนื้อหน้าอกตึงและกล้ามเนื้อหลังอ่อนแรงค่ะ

8. ถาม: ปวดข้อมือเวลาวิดพื้น แก้ไขอย่างไร?

ตอบ: ปัญหานี้พบบ่อยมากค่ะ วิธีแก้ไขคือใช้ Push-up Bar เพื่อให้ข้อมือตรงมากขึ้น หรือลองทำ Knuckle Push-up (วิดพื้นบนกำปั้น) อีกวิธีคือการวอร์มอัพข้อมือให้ดีก่อนการฝึก และยืดข้อมือหลังการฝึก หากยังปวดให้หยุดพักและปรึกษาแพทย์ค่ะ

9. ถาม: ทำวิดพื้นแล้วปวดหลัง เป็นเพราะอะไร?

ตอบ: มักเกิดจากท่าทางที่ไม่ถูกต้องค่ะ โดยเฉพาะการแอ่นหลังมากเกินไป หรือกล้ามเนื้อแกนกลางอ่อนแรง ให้พยายามเกร็งกล้ามเนื้อท้องเล็กน้อยระหว่างวิดพื้น และรักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรง หากยังปวดให้หยุดและฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางก่อนค่ะ

10. ถาม: จะรู้ได้อย่างไรว่าวิดพื้นได้ผล?

ตอบ: สัญญาณที่บ่งบอกว่าได้ผลคือ จำนวนครั้งที่ทำได้เพิ่มขึ้น ทำได้นานขึ้นโดยไม่เหนื่อย เทคนิคดีขึ้น และรู้สึกแข็งแรงขึ้นในกิจกรรมประจำวัน เช่น ยกของขึ้นข้างบน หรือเปิดประตูหนักๆ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อส่วนบนจะกระชับและมีรูปร่างสวยงามขึ้นค่ะ

จากประสบการณ์ทั้งการเป็นนักกีฬาและโค้ชมามากกว่า 20 ปี ดิฉันหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านเริ่มต้นหรือพัฒนาการวิดพื้นของตัวเอง จำไว้ว่า ความสำเร็จไม่ได้วัดจากความเร็วในการพัฒนา แต่วัดจากความสม่ำเสมอและความพยายามที่ไม่ยอมแพ้ การวิดพื้นเป็นมากกว่าการออกกำลังกาย แต่เป็นการสร้างวินัย ความอดทน และความมั่นใจที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นะคะ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เสมอ

โค้ชปุนิ่ม (มนัสนันท์ อรรณพวรรณ) Personal Trainer มากกว่า 20 ปีประสบการณ์ แชมป์ Mr. Thailand 2025 และ Thailand Open Masters Games 2025

โค้ชปูนิ่ม - น.ส.มนัสนันท์ อรรณพวรรณ

นักกีฬาเพาะกายหญิง รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในการแข่งขันมิสเตอร์ไทยแลนด์ 2025

ปูเชื่อว่า "ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากศูนย์ หรือเคยล้มเหลวกี่ครั้ง ถ้าคุณไม่หยุดพยายาม สักวันร่างกายของคุณจะเปลี่ยนไปได้แน่นอน โค้ชพร้อมอยู่ข้าง ๆ และจะพาทุกคนไปให้ถึงเป้าหมายไปด้วยกันค่ะ"

ดูโปรไฟล์โค้ชปูนิ่ม