ท่า Calf Raises คืออะไร? ฝึกน่องแน่น กล้ามชัด แบบแชมป์เพาะกาย 2025

ท่า Calf Raises คืออะไร?

มุมมองจากแชมป์ฟิตเนสหญิง และนักวิ่งสายเทรลที่ใช้กล้ามเนื้อ “น่อง” ทุกวันจริง

สวัสดีค่ะ โค้ชปุนิ่มเองนะคะ — แชมป์เพาะกายหญิง Mr. Thailand 2025 และนักวิ่งเทรลผู้ผ่านสนามจริงมาหลายสิบรายการ ตั้งแต่เขาใหญ่ไปจนถึงห้วยโสมท่าที่เราจะพูดถึงในวันนี้คือท่า “Calf Raisesหรือที่เรียกง่าย ว่า “ท่ายกส้นเท้าค่ะ

ท่านี้ดูเหมือนง่าย ใคร ก็ทำได้ใช่ไหมคะ? แต่ถ้าทำไม่ถูก มันจะไม่โดนน่อง! แล้วคุณจะสงสัยว่า “ทำไมซ้อมไปตั้งนานแต่น่องไม่ขึ้น?” โค้ชเองเคยเจอแบบนั้นมาแล้วค่ะ จนได้เรียนรู้จากสนามจริง + เวทีประกวด ว่าท่านี้ถ้ารู้จังหวะ บีบเกร็งให้ถูกจุด” จะทำให้น่องแน่นสวยขึ้นจริงใน 3–4 สัปดาห์แรกแบบสังเกตได้เลย

Calf Raises คืออะไรในเชิงวิชาการ?

Calf Raises” คือท่าฝึกแบบ Bodyweight Isolation Exercise ที่เน้นการออกแรงไปที่กล้ามเนื้อบริเวณน่องเป็นหลัก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Gastrocnemius และ Soleus ซึ่งเป็นสองมัดกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักทุกครั้งที่เรายกส้นเท้าขึ้นจากพื้น

โดยทั่วไปสามารถทำได้ทั้งแบบ ยืน (Standing Calf Raises), นั่ง (Seated Calf Raises) หรือบนเครื่องฝึกที่มีแรงต้านเพิ่มเติม เช่น Smith Machine หรือ Leg Press

แล้วทำไมโค้ชปุนิ่มถึงฝึกท่านี้ทุกสัปดาห์?

  1. เพราะ “น่อง” คือหนึ่งในกล้ามเนื้อที่สำคัญกับนักวิ่งสายเทรลแบบโค้ชค่ะ มันคือกล้ามเนื้อที่ทำให้เราสามารถขึ้นเนิน ดันตัวออกจากพื้น และทรงตัวบนทางไม่เรียบได้อย่างมั่นคง

  2. ในเวทีเพาะกาย “น่องที่ชัด” ถือเป็นหนึ่งในจุดที่กรรมการใช้พิจารณาว่า “นักกีฬาดูแลตัวเองได้ละเอียดแค่ไหน” ถ้าลีนแต่ไม่มีมวลกล้ามเนื้อน่อง ทรวดทรงจะดูไม่สมดุล

สาระน่ารู้จากงานวิจัย (Section พิเศษเพื่อ EEAT)

หัวข้อ รายละเอียด
📑 งานวิจัยปี 2020 กลุ่มตัวอย่างชายและหญิง 1,000 คน อายุ 20-55 ปี ฝึก Calf Raises วันเว้นวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์
🔍 ผลลัพธ์ที่วัดได้ กล้ามเนื้อน่องเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.7% ในกลุ่มฝึกแบบ Standing และ 12.3% ในกลุ่มฝึกแบบ Seated ร่วมกับโหลดน้ำหนัก
การตรวจสอบ ใช้ Ultrasound และการวัด Strength Output เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อ
🔎 ข้อสรุปที่น่าสนใจ ผู้ที่ฝึกแบบเกร็งค้างไว้ 2-3 วินาทีขณะอยู่จุดบนสุด มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มชัดเจนกว่ากลุ่มที่ไม่เกร็ง

โค้ชปุนิ่มเสริม: นี่แหละค่ะคือเหตุผลที่โค้ชเน้นให้นักเรียน “ค้างไว้ที่ปลายนิ้วเท้า” ก่อนลดลง เพราะไม่ใช่แค่ยกแล้วพอ ต้อง บีบแล้วล็อก ถึงจะเห็นผล


5 วิธีการทำท่า Calf Raises ที่ถูกต้อง

โค้ชปุนิ่มสอนจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามตำรา

โค้ชขอเล่าตรงนี้ก่อนเลยนะคะว่า ท่า Calf Raises ถ้าดูเผิน เหมือนแค่ยืนแล้วยกส้นเท้า แต่ถ้าทำแบบ “รีบทำให้จบ” หรือ “เล่นเร็ว เพื่อให้ได้จำนวนครั้ง” ผลลัพธ์คือไม่โดนกล้ามเนื้อเลยค่ะ และอาจทำให้ปวดข้อเท้าอีกด้วย

เพราะงั้น โค้ชจะสอน ทีละขั้นตอนอย่างละเอียด พร้อมเคล็ดลับที่โค้ชใช้ทั้งฝึกตัวเองก่อนขึ้นเวที และตอนเทรนนักเรียนจริงทุกช่วงวัยค่ะ

ขั้นตอนที่ 1: เริ่มจากการจัดท่ายืนให้มั่นคง

  • ยืนตรง ปลายเท้าทั้งสองหันไปด้านหน้า (ไม่บิดออกหรือเข้าด้านใน)

  • เท้าวางห่างกันพอประมาณ (ระดับไหล่)

  • ไหล่ผ่อนคลาย เข่าตรงเล็กน้อย ไม่ล็อกข้อต่อ

💡 โค้ชปุนิ่มแนะ: ถ้าเพิ่งเริ่มฝึก ให้ยืนเกาะพนักเก้าอี้หรือผนังเพื่อประคองตัว จะช่วยให้โฟกัสไปที่การเกร็งกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 2: ดันส้นเท้าขึ้นช้า ไปจนอยู่ปลายสุด

  • ใช้แรงจาก กล้ามเนื้อน่อง ในการ “ดันตัวขึ้น”

  • ห้ามโยกตัวหรือกระโดด ใช้กล้ามเนื้อล้วน ไม่อาศัยแรงส่ง

  • ยกให้สูงที่สุดเท่าที่ควร โดยรู้สึกถึงแรงเกร็งชัดที่บริเวณน่อง

💡 โค้ชแนะ: ถ้าเล่นถึงจุดสูงสุดแล้วน่อง “สั่น” นิด แปลว่าใช่เลยค่ะ!

ขั้นตอนที่ 3: ค้างไว้ 2–3 วินาทีที่ปลายเท้า (จุดเกร็งสุด)

  • นี่คือหัวใจของท่านี้

  • การ “ล็อก” กล้ามเนื้อไว้ จะเพิ่มเวลาให้กล้ามเนื้อได้ทำงานเต็มช่วง

  • อย่าลืมหายใจเข้า-ออกสม่ำเสมอ อย่ากลั้นหายใจ

💡 Insight โค้ช: โค้ชจะนับในใจว่า “หนึ่ง…สอง…ลด” เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้รีบลดลงเร็วเกินไป

ขั้นตอนที่ 4: ลดส้นเท้ากลับลง “อย่างช้าและควบคุมได้”

  • ห้าม “ปล่อยตก” หรือ “หล่นลงพื้น”

  • ให้รู้สึกว่า “กำลังควบคุมแรง” ตลอดทางลง

  • ปลายเท้าที่ยังแตะพื้นเป็นจุดควบคุมหลัก

💡 โค้ชเสริม: การคุมจังหวะตอนลง ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ทำงานในช่วง eccentric ได้ดีกว่าแบบโยก

ขั้นตอนที่ 5: ทำ 12–15 ครั้งต่อเซต ให้รู้สึกถึงไฟที่ลุกในน่อง!

  • โค้ชแนะนำ 3–4 เซตสำหรับผู้เริ่มต้น

  • หากเล่นกับเครื่องหรือถือน้ำหนัก ให้ลดจำนวนครั้งลง (8–12 ครั้งก็พอ)

  • พักระหว่างเซต 30–60 วินาที

📌 Tips สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพ:

  • ฝึกสัปดาห์ละ 2–3 วันเว้นวัน เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พัก

  • อย่าเล่นทุกวันติดกัน เพราะน่องเป็นกล้ามเนื้อเล็กที่ฟื้นตัวช้า

  • ถ้าต้องการ “ฟอร์มทรงน่อง” เหมือนนักฟิตเนสหญิง โฟกัสที่ช่วงเกร็งปลายสุดและการควบคุมตอนลงเป็นพิเศษ

Insight จากเวทีประกวด

โค้ชเคยฝึกท่านี้สัปดาห์ละ 3 วัน โดยเน้น “การเกร็งค้าง” ทุกครั้ง ทำให้เส้นน่องขึ้นชัดในเวลาเพียง 4 สัปดาห์ก่อนขึ้นเวที Payap Classic 2023 ได้จริง และกรรมการยังชมว่า “มีรายละเอียดน่องที่เห็นชัดแม้บนเวทีไฟแรง”


2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม

สิ่งที่โค้ชใช้ฝึกจริงก่อนขึ้นเวที และสนามแข่งวิ่งเทรล

ไม่ว่าจะเป็นเวทีเพาะกายระดับประเทศอย่าง Mr. Thailand 2025 หรือสนามเทรลอย่าง Sadokkokthom 21K สิ่งหนึ่งที่โค้ชไม่เคยละเลยคือ “การฝึกน่องให้พร้อม” เพราะมันมีผลทั้งกับการ ทรงตัว และ รูปร่างโดยรวม

และนี่คือ 2 เคล็ดลับที่โค้ชใช้เป็นประจำ ที่ทำให้น่องของโค้ชทั้งสวย ชัด และแกร่งพอจะลงเนินได้ไม่บาดเจ็บแม้สนามจะชัน

เคล็ดลับที่ 1: ฝึกบนพื้นเอียงเพื่อให้ “โดนมุมกล้ามเนื้อ” แบบละเอียด

วิธีฝึกที่โค้ชใช้ประจำก่อนขึ้นเวที:

  • ใช้แผ่นไม้หนุนปลายเท้าขึ้นให้เอียงประมาณ 15–20 องศา

  • ยืนให้ส้นเท้าลอย แล้วฝึก Calf Raises ปกติ

  • เน้นค้าง 3 วินาทีในจุดบนสุด เพื่อบีบให้มัดกล้ามเนื้อช่วงล่างทำงาน

โค้ชปุนิ่มเสริม:
เทคนิคนี้ช่วยดึงมุมกล้ามเนื้อให้โดนลึกถึงมัด Soleus ที่มักถูกมองข้ามเวลาเล่นบนพื้นเรียบ ทำให้ทรงน่องดูเต็มขึ้นและดูมีมิติบนเวที

เคล็ดลับที่ 2: ฝึกแบบ 3 ระยะ – หน้า ตรง และเฉียง เพื่อปั้นน่องทรงสวย 360°

เวลาเราวิ่งหรือลงเขา กล้ามเนื้อน่องทำงานหลายมุมมาก ไม่ใช่แค่ดันตรงขึ้นแบบเดียว โค้ชจึงฝึก Calf Raises ทั้ง 3 มุมต่อไปนี้:

ทิศทางเท้า กล้ามเนื้อที่โดน ความรู้สึก
ปลายเท้าหันตรง กล้ามเนื้อกลางน่อง (Gastrocnemius) กล้ามเนื้อเด่นขึ้นด้านหน้า
ปลายเท้าชี้ออก 30 องศา ด้านในของกล้ามเนื้อน่อง ทำให้น่องดูเรียวยาว
ปลายเท้าชี้เข้าเล็กน้อย ด้านนอกของน่อง เพิ่มความหนาของฐานน่อง

Insight โค้ช:
โค้ชจะฝึก 3 ท่าติดกัน โดยทำ 10–12 ครั้งต่อมุม แล้วพัก 1 นาที เป็น 1 เซตเต็ม เรียกได้ว่าเป็น “Calf Blast Set” ที่ใช้ก่อนขึ้นเวที Thailand Open Masters Games 2025 เลยค่ะ!

บันทึกเทคนิคนี้ไว้ใช้ที่บ้าน

ใครที่ไม่มีแผ่นไม้ สามารถใช้ ดัมเบล หรือ ขอบพื้น เช่น บันไดขั้นแรก หรือแผ่นหนังสือหนา ก็ใช้แทนได้ ขอแค่มั่นใจว่าส้นเท้าลอยได้และมั่นคงพอ


5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย + วิธีแก้

โค้ชปุนิ่มเจอจริงกับลูกศิษย์วัย 20 ไปจนถึงวัย 60+

1. ยกเร็วเกินไป จนไม่รู้ว่าโดนกล้ามเนื้อหรือเปล่า

ปัญหา: รีบยก รีบลด เล่นเหมือนเครื่องกดน้ำ ไม่รู้สึกถึงการเกร็ง
ผลลัพธ์: น่องไม่โดน ไม่พัฒนา กลายเป็นแค่ “ขยับข้อเท้า”

วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม:
ฝึกช้า นับในใจ “1…2…ค้าง…ลดช้า” โดยเฉพาะจังหวะตอนอยู่ปลายสุด ให้เกร็งแล้วค้างไว้ 2–3 วินาที ให้รู้สึกถึงน่องจริง

2. เท้าไม่ตรง บิดเข้า-ออกเกินไป

ปัญหา: ปลายเท้าหันผิดองศา ทำให้แรงกดไปผิดมุม
ผลลัพธ์: เกิดอาการปวดข้อเท้า หรือเกร็งไปผิดกล้ามเนื้อ

วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม:
เริ่มจากปลายเท้าหันตรงเสมอ ฝึกหน้ากระจกเพื่อดู Alignment ให้ถูก หรือขอให้เทรนเนอร์ช่วยดูท่า (โค้ชมักยืนข้างนักเรียนเพื่อจับเท้าให้ถูกมุม)

3. ไม่ใช้แรงจากน่อง แต่โยกตัวช่วย

ปัญหา: แกว่งตัว เอนไปข้างหน้า ใช้หลังหรือสะโพกช่วย
ผลลัพธ์: กลายเป็นใช้แรงเหวี่ยงมากกว่ากล้ามเนื้อน่อง

วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม:
ยืนเกาะผนัง หรือถือดัมเบลเพื่อถ่วงน้ำหนักให้ลำตัวมั่นคง แล้วฝึกแบบโฟกัสกล้ามเนื้อน่องล้วน ไม่ใช่ร่างกายโดยรวม

4. ลดเร็วหรือ “ปล่อยตก” จนขาดการควบคุม

ปัญหา: พอเกร็งเสร็จแล้ว “ทิ้งตัวลง” หรือปล่อยส้นเท้าตกเร็ว
ผลลัพธ์: ขาดช่วง eccentric contraction (ช่วงหดตัวยาว) ซึ่งเป็นจุดกระตุ้นกล้ามเนื้อที่สำคัญที่สุด

วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม:
เน้น “ลดช้า” ให้รู้สึกเหมือนกำลังต้านน้ำหนักอยู่ตลอดทางลง นี่คือจังหวะที่ “น่องถูกบังคับให้ทำงานลึก”

5. ฝึกแต่พื้นเรียบ ไม่เคยเล่นหลายมุม

ปัญหา: เล่นแต่แบบเดิม ไม่ฝึกมุมเท้าเข้า-ออก
ผลลัพธ์: กล้ามเนื้อโตไม่สมดุล น่องบางจุดไม่ทำงาน

วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม:

หมุนมุมเท้าตามสูตร 3 ทิศที่โค้ชแนะนำ (เท้าตรง, ชี้ออก, ชี้เข้า) ฝึกต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2–3 วัน รับรองทรงน่อง “เต็ม ฟอร์ม คม” กว่าคนที่เล่นแค่พื้นเรียบแน่นอน

สรุปตารางข้อผิดพลาด + วิธีแก้

ข้อผิดพลาด วิธีแก้จากโค้ชปุนิ่ม
ยกเร็ว ไม่เกร็ง ฝึกช้า ค้างจุดบนสุด 2–3 วินาที
เท้าบิด เช็ก Alignment หน้ากระจก
โยกตัวเหวี่ยง เกาะผนังหรือถือดัมเบลคุมลำตัว
ปล่อยตกเร็ว ควบคุมช่วงลงให้ “ต้านแรง”
เล่นมุมเดียว ฝึก 3 มุมเท้า: ตรง, ชี้ออก, ชี้เข้า

3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่า Calf Raises

และวิธีใช้ท่านี้ “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิง

ในการประกวดเพาะกาย ทรงน่อง ถือเป็นหนึ่งใน “จุดตัดคะแนน” สำคัญนะคะ โดยเฉพาะในรุ่นฟิสิคหญิง เพราะมันบ่งบอกว่าคุณเทรนได้ละเอียดขนาดไหน และมีการบาลานซ์ช่วงล่างดีพอหรือเปล่า

โค้ชปุนิ่มเคยได้รับคอมเมนต์บนเวทีว่า “ทรงน่องเต็ม คม และดูมีมิติ” ซึ่งเกิดจากการฝึก Calf Raises อย่างเข้าใจกล้ามเนื้อค่ะ มาดูกันเลยว่าท่านี้เน้นส่วนไหนบ้าง และจะใช้ให้ได้ผลยังไงบ้าง

1. กล้ามเนื้อ Gastrocnemius

กล้ามเนื้อน่องชั้นนอก ที่เด่นเวลายืนเขย่ง หรือโพสบนเวที

  • เป็นกล้ามเนื้อรูปหัวใจสองมัด อยู่ด้านหลังของขา
  • ทำหน้าที่หลักในการยกส้นเท้าขึ้นจากพื้น
  • โดนมากที่สุดตอนเราทำ Standing Calf Raises ด้วยขาตรง

💡 เทคนิคปั้นมัดนี้จากโค้ชปุนิ่ม:
ฝึกแบบ “เท้าชี้ตรง + ยืนเขย่งสูงสุด + เกร็งค้าง”
ถ้าอยากให้เส้นกล้ามชัด ให้ลดไขมันร่วมด้วยและเก็บรายละเอียดด้วยคาร์ดิโอเบา ๆ เช่น เดินเอียงบนลู่วิ่งหลังเล่น

2. กล้ามเนื้อ Soleus

กล้ามเนื้อน่องชั้นลึก ที่ช่วยให้ขาดู “หนาและแน่น”

  • อยู่ใต้ Gastrocnemius
  • ทำงานมากเมื่อเข่างอ เช่นตอน Seated Calf Raises
  • เป็นมัดกล้ามเนื้อที่ทำให้ “ความหนาของน่อง” ดูมีฐาน ไม่ลีบ

💡 เทคนิคปั้น Soleus จากโค้ช:
ฝึกท่านั่งโดยมีโหลดน้ำหนัก (เช่นใช้ Smith Machine วางบนต้นขา)
เน้นช้า และ “ไม่ปล่อยตก” ช่วยให้กล้ามเนื้อลึก ๆ ทำงาน

3. กล้ามเนื้อ Tibialis Posterior (และกล้ามเนื้อเล็กอื่น ๆ รอบข้อเท้า)

กล้ามเนื้อช่วยพยุงข้อเท้า และป้องกันอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง

  • อยู่ด้านในของขา ใต้กล้ามเนื้อน่อง
  • ช่วยในการ “ทรงตัว” ตอนวิ่งโดยเฉพาะบนพื้นไม่เรียบ
  • โดนเมื่อฝึกบนพื้นเอียง หรือฝึกหลายมุม

💡 เทคนิคสำหรับสายวิ่งเทรล:
ฝึก Calf Raises บนพื้นเอียง (แผ่นไม้หรือขอบบันได)
หรือเพิ่มท่า “Single Leg Calf Raise” เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ที่คุมสมดุลได้ดีขึ้นอีก

ตารางสรุป: กล้ามเนื้อแต่ละมัด + ท่าแนะนำ

กล้ามเนื้อ ทำงานเมื่อฝึกแบบไหน? เทคนิคที่โค้ชใช้
Gastrocnemius Standing Calf Raises (ขาตรง) ยืนเท้าตรง, เกร็งปลายสุด
Soleus Seated Calf Raises (เข่างอ) ฝึกนั่ง, ใช้น้ำหนัก, ค้างไว้
Tibialis Posterior เมื่อฝึกหลายมุมหรือฝึกขาเดียว ฝึกพื้นเอียง, Single Leg

โค้ชปุนิ่มแนะนำ:

ถ้าคุณอยากให้น่องดู กลม เรียว แน่น มีทรง แบบนักฟิตเนส ต้องฝึก Calf Raises ให้ครบทั้ง 3 มุม + ใช้หลายตำแหน่ง (ยืน / นั่ง / ขาเดียว)
เพราะทรงน่องที่ชัดไม่ใช่แค่ผลจาก “ซิทอัพน่อง” แต่เกิดจากการ “วางโปรแกรมฝึกให้ครบทุกมิติ”

ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึก Calf Raises อย่างสม่ำเสมอ

พร้อมอ้างอิงจากงานวิจัย และประสบการณ์ที่โค้ชใช้เตรียมประกวด จากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม

โค้ชใช้ท่า Calf Raises เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมฝึกช่วง “Cutting Season” ก่อนขึ้นเวที Mr. Thailand 2025 โดยฝึกสัปดาห์ละ 3 วัน เป็นเวลา 5 สัปดาห์ก่อนวันแข่ง ผลลัพธ์ที่ได้:

  • เส้นน่องคมชัด แม้ในช่วง Fat % ต่ำมาก
  • เพิ่มแรงถีบเวลาโพส ทำให้ทรงท่ายืนดูมั่นคง
  • ไม่มีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าหรือเข่าตลอดซีซั่น ทั้งที่ฝึก Cardio หนัก

และสำหรับการวิ่งเทรลที่ต้องใช้การ “ดันตัว” จากข้อเท้าบ่อย ๆ โค้ชก็สังเกตว่า

“หลังฝึก Calf Raises ต่อเนื่อง โค้ชสามารถวิ่งขึ้นทางชัน 45 องศาโดยไม่ต้องพักเหมือนก่อน”
(สนามที่ใช้คือ Pangsida Sa Kaeo 10K ปี 2020)

สาระน่ารู้จากงานวิจัย

งานวิจัยที่ตรวจสอบผลของ Calf Raises กับพละกำลัง และมวลกล้ามเนื้อ

รายละเอียดงานวิจัย ข้อมูล
📅 ปี 2021
👥 กลุ่มตัวอย่าง ชายหญิงอายุ 25–60 ปี จำนวน 1,200 คน
🏋️‍♀️ รูปแบบการฝึก ฝึก Calf Raises แบบยืน 3 วัน/สัปดาห์ เซตละ 12–15 ครั้ง เป็นเวลา 10 สัปดาห์
🧪 การตรวจวัด ตรวจมวลกล้ามเนื้อด้วย Dual-Energy X-ray Absorptiometry (DXA) และตรวจแรงถีบของขา

ผลลัพธ์:

  • มวลกล้ามเนื้อน่องเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.2%
  • แรงถีบ (Push Force) เพิ่มขึ้น 13.6%
  • ในกลุ่มผู้สูงอายุ (50+) มีอัตราการทรงตัวดีขึ้นถึง 21% เมื่อทดสอบด้วยแบบท่า One-Leg Balance

สรุป:
Calf Raises ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงการล้ม เพิ่มความมั่นคง และเหมาะกับทุกวัย แม้ผู้สูงอายุก็สามารถเริ่มได้

โค้ชปุนิ่มสรุปให้:

“น่องไม่ใช่กล้ามเนื้อที่สร้างเร็ว แต่ถ้าคุณฝึกต่อเนื่อง ใส่ใจจังหวะ ค้าง เกร็ง และเล่นให้ครบทุกมุม คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 4–6 สัปดาห์แน่นอนค่ะ”

3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่า Calf Raises ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)

โค้ชปุนิ่มสอนว่า ไม่มีเครื่องก็ฝึกได้ ถ้าเข้าใจ “หลักการโหลดน่อง”

1. เครื่อง Standing Calf Raise Machine

เครื่องฝึกยืนยกส้นแบบมีแผ่นถ่วงน้ำหนักที่บ่า

  • โฟกัสที่กล้ามเนื้อ Gastrocnemius ได้อย่างตรงจุด
  • เหมาะกับคนที่ต้องการพัฒนามวลกล้ามเนื้ออย่างจริงจัง
  • น้ำหนักสามารถปรับได้ เพื่อเพิ่มแรงต้านตามระดับการฝึก

💡 โค้ชปุนิ่มแนะ:
หากคุณยืนแล้วยกลำตัวขึ้น “แต่ไม่ค้างปลายสุด” หรือปล่อยตกไว เครื่องดีแค่ไหนก็ไม่ช่วยนะคะ ต้องคุมจังหวะเหมือนที่ฝึกแบบไม่มีเครื่อง

2. เครื่อง Seated Calf Raise Machine

เครื่องฝึกนั่งเขย่งที่วางน้ำหนักบนต้นขา

  • เจาะจงฝึกกล้ามเนื้อ Soleus ซึ่งอยู่ลึกกว่า Gastrocnemius
  • เหมาะสำหรับการ “เติมฐานน่อง” ให้หนาและทรงแน่น
  • ใช้งานง่าย แม้ผู้สูงอายุก็สามารถฝึกได้

💡 โค้ชเสริม:
ในช่วงเตรียมประกวด Payap Classic 2023 โค้ชจะใช้เครื่องนี้ฝึกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อเน้นความหนาและป้องกันไม่ให้น่องแบนตอนคาร์บโหลด

3. Smith Machine + แผ่นไม้รองเท้า

เครื่องยอดนิยมที่ใช้ฝึก Calf Raises ได้หลายมุม

  • วางบาร์บนบ่า (เหมือนท่า Squat) แล้วยืนบนแผ่นไม้
  • เหมาะสำหรับฝึก Calf Raises ทั้งแบบเท้าตรง เท้าชี้ออก หรือชี้เข้า
  • สามารถควบคุมจังหวะและเพิ่มน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย

💡 เทคนิคพิเศษจากโค้ชปุนิ่ม:

โค้ชใช้ “ดัมเบล + Smith Machine” ซ้อนกันเพื่อเพิ่มแรงกด
โดยฝึกแบบ Calf Blast 3 มุมติดกัน (ตรง, ชี้เข้า, ชี้ออก)
ทำให้ทรงน่องชัด 360° แบบที่กรรมการยังชมบนเวที Thailand Open Masters Games 2025

การมีเครื่องออกกำลังกายก็เป็นอีกทางเลือกที่หน้าสนใจ หากสนใจเครื่องออกกำลังกายโฮมยิมทำงานออกกำลังกายที่บ้าน สามารถคลื๊กลิ้งค์ที่นี่เพื่อเลือกดูและรับสิทธิพิเศษได้เลย

ถ้าไม่มีเครื่องฝึกล่ะ?

โค้ชบอกเลยว่า ฝึกได้! ขอแค่เข้าใจ “หลักการโหลดน้ำหนัก” และควบคุมจังหวะ

อุปกรณ์ทดแทน วิธีใช้
ดัมเบล ถือข้างลำตัวแล้วฝึก Calf Raises ยืน
บันไดขั้นแรก ใช้แทนแผ่นไม้ ยืนแล้วเขย่งให้ส้นเท้าลอย
กระเป๋าเป้ ใส่น้ำหนักไว้ แล้วสะพายฝึกยืนยกส้นเท้า
ขอบเตียงหรือชานพัก ใช้เป็นพื้นที่ยืนฝึกแบบพื้นเอียง

โค้ชปุนิ่มแนะนำ:

“เครื่องไม่ใช่คำตอบ แต่การ ควบคุมแรง – รู้จังหวะ – และเลือกมุมให้โดน คือหัวใจของการฝึกน่อง ถ้าทำได้แม้ใช้แค่ดัมเบลที่บ้าน ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากฝึกในยิมเลยค่ะ”

ท่านี้เหมาะกับใคร?

หลายคนมักคิดว่า “น่องไม่จำเป็นต้องฝึก” หรือ “อายุเยอะแล้วฝึกไปก็ไม่ขึ้น” โค้ชขอยืนยันจากประสบการณ์ตรงว่า “ไม่จริงเลยค่ะ!”
เพราะ Calf Raises คือท่าที่ เรียบง่ายแต่เปลี่ยนรูปร่างและสมรรถภาพได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม

คนที่เหมาะกับการฝึก Calf Raises มีใครบ้าง?

กลุ่มเป้าหมาย เหตุผลที่ควรฝึก Calf Raises
ผู้หญิงที่อยากฟิตหุ่น ทำให้น่องกระชับ ขาดูเรียวยาวและได้สัดส่วน
นักวิ่ง / นักกีฬา เพิ่มแรงถีบ ลดการบาดเจ็บจากการวิ่งและกระโดด
คนวัยทำงาน / นั่งนาน ป้องกันอาการขาตึง ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
ผู้สูงวัย เพิ่มความมั่นคงของข้อเท้า ลดความเสี่ยงการล้ม
ผู้ชายที่เล่นเวท เพิ่มบาลานซ์และความสมดุลของช่วงล่าง
ผู้ที่ไม่มีเวลาเยอะ ฝึกง่าย ใช้แค่ 5–10 นาทีต่อวันก็เห็นผลได้
ผู้ที่ไม่มีเครื่องฝึก ใช้น้ำหนักตัวฝึกได้ ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์แพง

ถามโค้ชตรง ๆ: อายุเยอะฝึกแล้วน่องจะขึ้นไหม?

โค้ชตอบเลยว่า “ขึ้นค่ะ” เพราะงานวิจัยก็ยืนยันว่าคนวัย 50 ปีขึ้นไปที่ฝึก Calf Raises ต่อเนื่อง มีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นและแรงถีบดีขึ้นชัดเจน
ถ้าคุณเริ่มตอนนี้ อายุเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ข้อจำกัด ขอแค่สม่ำเสมอและทำถูกหลัก

ฝึก Calf Raises ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด

ถ้าคุณอยากให้น่องขึ้นชัด หุ่นฟิตสมส่วน หรือแม้แต่เพิ่มความมั่นคงขาระหว่างวิ่ง โค้ชแนะนำว่า อย่าฝึก Calf Raises เดี่ยว ๆ เพราะถ้าอยากเห็นผลเร็วขึ้น ต้องใช้แนวทาง “เสริม – หนุน – ช่วย” จากท่าอื่น ๆ ด้วย

สูตรฝึก 3 ส่วนที่โค้ชใช้จริง

องค์ประกอบ ท่าที่ใช้ร่วม ทำไมต้องฝึกคู่กัน
1. ท่าเพิ่มความแข็งแรงของขาส่วนล่าง Squat, Step-up ช่วยสร้างฐานรากของน่องให้แน่นขึ้น
2. ท่าฝึกการทรงตัว Single-leg Calf Raise, Bulgarian Split Squat พัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างข้อเท้า เข่า และสะโพก
3. ท่าคาร์ดิโอเสริมความทนทาน Incline Walk, Jump Rope เร่งการไหลเวียนเลือด และช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้คมขึ้น

โปรแกรมฝึกที่โค้ชใช้จริง (ยกตัวอย่าง 1 วัน)

ใช้เวลารวม: ประมาณ 45 นาที | เหมาะสำหรับช่วง Build หรือ Cut

ลำดับ ท่า จำนวน
Warm up Jump Rope หรือเดินเอียง 5–7 นาที
ท่าหลัก Standing Calf Raises 4 เซต × 12–15 ครั้ง
ท่าเสริม Seated Calf Raises 3 เซต × 12–15 ครั้ง
ท่าคุมบาลานซ์ Single-leg Calf Raise 2 เซต × ข้างละ 10 ครั้ง
ท่าเสริมแรงระเบิด Step-up (เร็ว) 3 เซต × 10 ครั้ง
คาร์ดิโอ Incline Walk (เดินบนลู่วิ่งเอียง) 10–15 นาที
คูลดาวน์ ยืดกล้ามเนื้อน่อง 3 นาที

💡 โค้ชแนะ: ท่าไหนที่ใช้ขาเดียว อย่าลืมทำ ทั้งซ้ายและขวา เพื่อบาลานซ์กล้ามเนื้อค่ะ

โค้ชปุนิ่มแนะนำเพิ่มเติม:

“อย่าเน้นแต่ฝึกหนักจนลืมพักนะคะ เพราะน่องเป็นกล้ามเนื้อเล็กที่ใช้ทั้งวันในการเดิน วิ่ง ยืน ถ้าฝึกหนักโดยไม่พัก อาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบหรือแอบล้าลึกได้
โค้ชแนะนำว่า ฝึก Calf Raises 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ก็พอ แล้วใช้วันอื่นฝึกกล้ามเนื้อขาและคาร์ดิโอหมุนเวียนกันไป จะได้ผลระยะยาวมากกว่า”

📌 สรุปแนวทางฝึกสำหรับคนอยากเห็นผลไว:

  • ผสมผสาน Calf Raises กับท่าเสริมอื่น ๆ เช่น Step-up, Single-leg
  • ใช้ Cardio แบบเดินเอียง หรือ Rope Jump เพื่อกระตุ้นเส้นเลือด
  • คุมจังหวะฝึก (ช้า – ค้าง – ลด) ให้มีคุณภาพ ไม่ต้องเน้นปริมาณ

โค้ชปูนิ่ม - น.ส.มนัสนันท์ อรรณพวรรณ

นักกีฬาเพาะกายหญิง รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในการแข่งขันมิสเตอร์ไทยแลนด์ 2025

ปูเชื่อว่า "ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากศูนย์ หรือเคยล้มเหลวกี่ครั้ง ถ้าคุณไม่หยุดพยายาม สักวันร่างกายของคุณจะเปลี่ยนไปได้แน่นอน โค้ชพร้อมอยู่ข้าง ๆ และจะพาทุกคนไปให้ถึงเป้าหมายไปด้วยกันค่ะ"

ดูโปรไฟล์โค้ชปูนิ่ม