“การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เริ่มจากการตัดสินใจเล็กๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่อง 30 วัน” – โค้ชปุนิ่ม
สวัสดีค่ะ ฉันคือ โค้ชปุนิ่ม (นางสาวมนัสนันท์ อรรณพวรรณ) นักกีฬาเพาะกาย แชมป์ Mr. Thailand 2025 และโค้ชผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายมากว่า 10 ปี ทั้งในวงการแข่งขันวิ่งเทรล ฮาล์ฟมาราธอน และประกวดฟิตเนส/เพาะกายระดับประเทศ วันนี้ฉันจะมาแชร์ตารางออกกำลังกาย 30 วันสำหรับผู้ชายที่จะช่วยให้คุณฟิตหุ่นแน่น สร้างกล้ามเนื้อ และเผาผลาญไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ
ในฐานะแชมป์ Mr. Thailand 2025 และผู้คว้าเหรียญทองจาก Thailand Open Masters Games 2025 ฉันเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นออกกำลังกายนั้นต้องการอะไรบ้าง โดยเฉพาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมัน ความเข้าใจเรื่องโภชนาการและโปรแกรมที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญ
ตารางออกกำลังกาย 30 วันนี้ออกแบบโดยคำนึงถึงความหลากหลายของการฝึก ตั้งแต่การสร้างความแข็งแรงพื้นฐาน ไปจนถึงการพัฒนาในระดับสูง เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและคนที่มีประสบการณ์ที่ต้องการท้าทายตัวเองในระยะสั้น
ทำไมผู้ชายควรเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย 30 วัน?
“30 วันไม่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณทั้งหมด แต่มันสามารถเปลี่ยนทิศทางชีวิตคุณได้อย่างแน่นอน”
ช่วงเวลา 30 วันคือจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเปลี่ยนแปลงร่างกาย ไม่นานเกินไปจนรู้สึกท้อ และไม่สั้นเกินไปจนไม่เห็นผล ในประสบการณ์ของฉันที่เทรนลูกศิษย์มานับร้อยคน พบว่าระยะเวลา 30 วันคือจุดที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างวินัยและเห็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้
เป้าหมายของการออกกำลังกายต่อเนื่อง 30 วัน
การทำตามตารางออกกำลังกาย 30 วันอย่างเคร่งครัดจะนำไปสู่เป้าหมายหลายประการ:
- สร้างนิสัยและวินัย – มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยลอนดอนที่ฉันได้อ่านพบว่า การทำกิจกรรมซ้ำๆ เป็นเวลา 21-30 วันจะช่วยสร้างนิสัยถาวร ซึ่งทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
- กระตุ้นการเผาผลาญ – การออกกำลังกายอย่างหนักและสม่ำเสมอจะเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR) ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นแม้ในยามพัก
- สร้างรากฐานความแข็งแรง – 30 วันเพียงพอที่จะสร้างความแข็งแรงพื้นฐานให้กับกล้ามเนื้อหลักทั่วร่างกาย
- เห็นผลลัพธ์เบื้องต้น – ใครๆ ก็อยากเห็นผลเร็ว การเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นแรงผลักดันให้ทำต่อ
- ปรับสมดุลฮอร์โมน – โดยเฉพาะเทสโทสเตอโรนซึ่งสำคัญมากสำหรับผู้ชาย
ในการแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่ฉันคว้าแชมป์มาได้ ตารางการซ้อม 30 วันสุดท้ายก่อนแข่งคือช่วงเวลาที่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงมากที่สุด จากประสบการณ์จริงในสนามแข่ง ฉันพบว่าการทุ่มเทในช่วง 30 วันสุดท้ายนี้แหละที่แยกผู้ชนะออกจากผู้แพ้
ประโยชน์ที่เห็นผลได้จริงในช่วงเวลา 1 เดือน
“การเห็นผลลัพธ์คือแรงบันดาลใจที่ดีที่สุด การลงมือทำคือหนทางเดียวที่จะได้เห็นผลลัพธ์นั้น”
จากประสบการณ์การโค้ชมากกว่า 10 ปี ฉันพบว่าประโยชน์ที่ลูกศิษย์ผู้ชายจะเห็นผลชัดเจนใน 30 วันมีดังนี้:
1. กล้ามเนื้อแน่นขึ้น – แม้จะยังไม่ใหญ่โตมาก แต่ความแน่นและความตึงของกล้ามเนื้อจะเห็นได้ชัดหลังจากทำตารางอย่างต่อเนื่อง การสร้างกล้ามเนื้อเริ่มจากความแน่น ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มขนาด
2. พลังงานเพิ่มขึ้น – หลายคนรายงานว่ารู้สึกมีพลังงานมากขึ้น ไม่ง่วงนอนตอนกลางวัน และตื่นเช้าได้สดชื่นกว่าเดิม การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มไมโตคอนเดรียในเซลล์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ
3. การนอนหลับดีขึ้น – การออกกำลังกายช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ทำให้หลับลึกและฟื้นตัวได้ดีขึ้น ลูกศิษย์หลายคนของฉันบอกว่าหลังจากออกกำลังกายได้สัก 2 สัปดาห์ การนอนหลับจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
4. รูปร่างกระชับขึ้น – แม้น้ำหนักอาจไม่ลดลงมาก แต่รูปร่างจะเปลี่ยนไป เสื้อผ้าจะใส่สบายขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ฉันมักแนะนำให้ลูกศิษย์ถ่ายรูปตอนเริ่มโปรแกรมและหลังจบ 30 วัน จะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนในกระจก
5. ความมั่นใจเพิ่มขึ้น – เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ความมั่นใจในตัวเองก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่อาจวัดได้ด้วยตัวเลข แต่เห็นได้จากท่าทางและรอยยิ้ม
ฉันยังได้อ่านงานวิจัยจากวารสาร Journal of Strength and Conditioning Research ที่ศึกษาผู้ชาย 65 คน พบว่าการออกกำลังกายแบบผสมผสานทั้งแบบเวทเทรนนิ่งและคาร์ดิโอเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ช่วยลดเปอร์เซ็นต์ไขมันได้ 2.8% โดยเฉลี่ย และเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ 1.5 กิโลกรัม ซึ่งสอดคล้องกับผลลัพธ์ที่ฉันเห็นจากลูกศิษย์ของฉันเอง
ในช่วง 30 วันนี้ นอกจากร่างกายที่เปลี่ยนแปลงแล้ว มันยังเปลี่ยนวิธีคิดของคุณด้วย คุณจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีวินัยมากขึ้น มีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และมีความมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย นี่คือสิ่งที่ฉันเห็นกับตัวเองและลูกศิษย์ทุกคน
ประสบการณ์ตรงจากโค้ชปุนิ่ม: “30 วันแรกเปลี่ยนชีวิตได้”
“ระยะเวลา 30 วันอาจดูเหมือนไม่นาน แต่ถ้าคุณทำอย่างทุ่มเททุกวัน ผลลัพธ์จะเกินความคาดหมาย”
ย้อนกลับไปตอนที่ฉันเริ่มเตรียมตัวแข่ง Muscle and Physique Championships 2022 ฉันมีเวลาเตรียมตัวแค่ 30 วันหลังจากพลาดการซ้อมไปเกือบ 2 เดือนเพราะอาการบาดเจ็บที่ข้อไหล่
ฉันตั้งใจทำตามตารางอย่างเคร่งครัด ฝึกวันละ 1-2 ชั่วโมง ควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด และผลลัพธ์ที่ได้คือการคว้ารองแชมป์กลับมาได้ทั้งที่เริ่มด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พร้อม
นี่คือบทเรียนที่สอนฉันว่า 30 วันที่มีวินัยสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้มากกว่าที่คิด และไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีเพื่อเห็นผลลัพธ์
ฉันจำได้ว่าในช่วง 2 สัปดาห์แรกนั้นยากมาก ร่างกายปวดเมื่อย การตื่นเช้ามาซ้อมเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กับตัวเองทุกวัน แต่หลังจากผ่านไป 14 วัน ทุกอย่างเริ่มง่ายขึ้น ร่างกายปรับตัว และการออกกำลังกายกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
ลูกศิษย์ผู้ชายของฉันหลายคนเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนหลังจบโปรแกรม 30 วัน บางคนลดเปอร์เซ็นต์ไขมันได้ถึง 4% บางคนเพิ่มน้ำหนักในการยกได้มากขึ้นถึง 20-30% และหลายคนรายงานว่ารู้สึกมีพลังงานและความมั่นใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ลูกศิษย์คนหนึ่งของฉันอายุ 42 ปี เขาไม่เคยออกกำลังกายอย่างจริงจังมาก่อน แต่หลังจากทำตามโปรแกรม 30 วันอย่างเคร่งครัด เขาสามารถลดรอบเอวได้ 3 นิ้ว เพิ่มกล้ามเนื้อที่แผ่นอก และที่สำคัญคือความดันโลหิตของเขาลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติโดยไม่ต้องพึ่งยา
อีกกรณีหนึ่งคือลูกศิษย์อายุ 38 ปี ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับมานาน หลังจากทำตามโปรแกรม 30 วัน เขารายงานว่านอนหลับได้ดีขึ้นมาก ตื่นมาสดชื่น และมีสมาธิในการทำงานดีขึ้น ทั้งยังลดการใช้กาแฟลงได้ครึ่งหนึ่ง
หลักการวางแผนตารางออกกำลังกาย 30 วันให้สำเร็จ
“ทุกตารางที่ดีต้องเริ่มจากจุดที่คุณอยู่ ไม่ใช่จุดที่คุณอยากจะเป็น”
การวางแผนตารางออกกำลังกาย 30 วันที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงหลักการพื้นฐานหลายประการ:
- Progressive Overload – เพิ่มความท้าทายทีละน้อยต่อเนื่อง ไม่หักโหมในช่วงแรก เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวและพัฒนาอย่างยั่งยืน ฉันมักแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักประมาณ 5-10% ต่อสัปดาห์ หรือเพิ่มจำนวนเซตจาก 3 เป็น 4 ก่อนที่จะเพิ่มน้ำหนัก
- Split Training – แบ่งการฝึกตามกลุ่มกล้ามเนื้อที่เหมาะสม ให้เวลาฟื้นตัวเพียงพอ ในช่วงสัปดาห์แรกเราเน้น Full Body เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แต่พอเข้าสัปดาห์ที่ 3 เราจะแยกฝึกเป็นส่วนๆ เพื่อให้สามารถโฟกัสแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น
- Variety – สร้างความหลากหลายของการฝึกเพื่อป้องกันการปรับตัวของร่างกาย ฉันมักใช้เทคนิคต่างๆ เช่น Supersets, Drop Sets, และ Circuit Training เพื่อให้ร่างกายไม่ชินกับการฝึกรูปแบบเดิมๆ
- Recovery – กำหนดวันพักที่เหมาะสม เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมและเติบโต ฉันยึดหลัก “ฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ ไม่สร้างกล้ามเนื้อ” เสมอในการโค้ช
- Nutrition Support – วางแผนโภชนาการที่สอดคล้องกับเป้าหมาย ฉันจะแนะนำเรื่องนี้ในส่วนท้ายของบทความ
ในการเตรียมตัวแข่ง Thailand Open Masters Games 2025 ที่ฉันคว้าแชมป์มาได้ ฉันใช้หลักการทั้ง 5 ข้อนี้ในการวางแผนการฝึก และมันได้ผลดีมาก โดยเฉพาะการแบ่งสัดส่วนระหว่างการฝึกความแข็งแรงและการพัก
ตารางออกกำลังกาย 30 วันนี้แบ่งเป็น 4 สัปดาห์ แต่ละสัปดาห์มีเป้าหมายเฉพาะที่จะพาคุณก้าวหน้าไปทีละขั้น โดยเริ่มจากการวางรากฐานความแข็งแรง ไปจนถึงการเร่งสปีดในสัปดาห์สุดท้าย มันออกแบบมาให้ท้าทายแต่ไม่หนักเกินไปจนทำไม่ไหว
🌟 สัปดาห์ที่ 1: วางรากฐานความแข็งแรง
“ถ้าคุณสร้างบ้านบนทรายที่ไม่มั่นคง บ้านนั้นก็จะพังทลาย ร่างกายก็เช่นกัน ต้องสร้างรากฐานให้แข็งแรงก่อน”
สัปดาห์แรกนี้เราจะเน้นสร้างความคุ้นเคยกับการออกกำลังกาย ฝึกฟอร์มที่ถูกต้อง และเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการฝึกที่หนักขึ้นในสัปดาห์ต่อๆ ไป
ฉันมักพบว่าลูกศิษย์หลายคนอยากเริ่มด้วยความหนักเลย แต่นั่นมักนำไปสู่การบาดเจ็บและท้อแท้ในที่สุด การเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยให้คุณอยู่กับโปรแกรมได้ตลอด 30 วัน
วันที่ 1 (จันทร์) – เริ่มต้น Full Body Strength
“วันแรกของการเปลี่ยนแปลงคือก้าวที่ยากที่สุด แต่เมื่อคุณก้าวผ่านมันได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น”
สำหรับวันแรกของการฝึก เราจะเริ่มด้วยการฝึกแบบ Full Body เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยใช้ท่าพื้นฐานที่เน้นฟอร์มที่ถูกต้อง:
- Squat Machine 3×12
- Chest Press Machine 3×12
- Lat Pulldown 3×12
- Plank 3×30 วินาที
โค้ชปุนิ่มแนะนำ: “เน้นฟอร์มมากกว่าน้ำหนักในสัปดาห์แรก น้ำหนักที่เลือกควรทำได้ 12 ครั้งสุดท้ายแบบพอเหนื่อยระดับ 7/10 เท่านั้น อย่าหักโหมตั้งแต่วันแรก”
จากประสบการณ์การแข่งขัน ฉันพบว่าการเริ่มต้นด้วยฟอร์มที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บและสร้างพื้นฐานที่ดีในระยะยาว ตอนเตรียมตัวแข่ง Payap Classic 2023 ที่ฉันคว้าแชมป์มาได้ ฉันเริ่มต้นด้วยน้ำหนักเบาและเน้นฟอร์มในสัปดาห์แรกเช่นกัน
เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับวันแรก:
- สังเกตความรู้สึกของร่างกายทุกครั้งที่ทำแต่ละท่า จดจำท่าทางที่ถูกต้อง สร้างการเชื่อมโยงระหว่างสมองกับกล้ามเนื้อ (Mind-Muscle Connection)
- หายใจเข้าเมื่อลดน้ำหนักลง หายใจออกเมื่อยกน้ำหนักขึ้น นี่เป็นหลักการพื้นฐานที่จะช่วยให้คุณควบคุมแรงได้ดีขึ้น
- จดบันทึกน้ำหนักที่ยกในแต่ละท่า เพื่อติดตามความก้าวหน้าในวันต่อๆ ไป
ตอนที่ฉันเทรนลูกศิษย์ใหม่ๆ ฉันมักย้ำว่า “วันนี้เราไม่ได้มาเพื่อทำลายร่างกาย แต่มาเพื่อเรียนรู้และสร้างความเข้าใจ” คำพูดนี้ช่วยปรับมุมมองและลดความกดดันในวันแรกได้มาก
วันที่ 2 (อังคาร) – พัฒนา Cardio Base
“หัวใจที่แข็งแรงคือฐานรากของร่างกายที่แข็งแรง การเผาผลาญที่ดีเริ่มจากระบบหัวใจที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”
คาร์ดิโอเป็นพื้นฐานสำคัญในการเผาผลาญไขมันและเพิ่มความอดทนของระบบหัวใจและหลอดเลือด วันนี้เราจะเน้น:
- Jogging Zone 2 30 นาที (วิ่งช้าๆ ที่ยังสามารถคุยได้)
- Mobility Drill (ไหล่/สะโพก) 10 นาที
โค้ชปุนิ่มแนะนำ: “อย่าเร่งสปีดมากเกินไป ควรรักษา Heart Rate ให้อยู่ในโซน 2 ซึ่งประมาณ 60-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ถ้าวิ่งไม่ไหว ขอแค่เดินเร็วก็ได้ค่ะ”
ในประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งวิ่งฮาล์ฟมาราธอน Sadokkokthom ปี 2562 ที่ฉันคว้าแชมป์มาได้ การวิ่ง Zone 2 คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ฉันมีความอดทนและฟื้นตัวได้เร็ว
การวิ่ง Zone 2 อาจดูเหมือนช้าและไม่ท้าทาย แต่มันสร้างประโยชน์มากมาย:
- เพิ่มความหนาแน่นของไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในเซลล์
- พัฒนาระบบหัวใจและปอดอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่สร้างความเครียดมากเกินไป
- เผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะที่ความเข้มข้นต่ำนี้ ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานหลัก
ฉันยังได้อ่านงานวิจัยจาก Journal of Applied Physiology ที่พบว่า การฝึก Zone 2 อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 4 สัปดาห์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจนได้ถึง 17% ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความอดทนและการเผาผลาญ
สำหรับ Mobility Drill ที่ฉันแนะนำ มันช่วยเตรียมข้อต่อและเอ็นให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในการฝึกวันต่อไป ฉันมักใช้ท่าทางเหล่านี้ก่อนการแข่งขันทุกครั้ง เช่น:
- Arm Circles (วงแขน) ทั้งตามและทวนเข็มนาฬิกา
- Hip Circles (วงสะโพก)
- Leg Swings (แกว่งขา) ทั้งหน้า-หลังและซ้าย-ขวา
- Dynamic Lunges (ท่าลันจ์แบบเคลื่อนไหว)
วันที่ 3 (พุธ) – Circuit Training ปลุกระบบเผาผลาญ
“การเร่งเผาผลาญไม่ได้มาจากการวิ่งนานๆ อย่างเดียว แต่มาจากการกระตุ้นกล้ามเนื้อทั่วร่างกายในเวลาอันสั้น”
การฝึกแบบ Circuit จะช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย:
- Push-up 15 ครั้ง (ปรับตามความสามารถ ถ้าทำไม่ไหวให้ทำแบบหัวเข่าแตะพื้น)
- Goblet Squat 15 ครั้ง
- Dumbbell Row 15 ครั้ง
- Sit-up 20 ครั้ง
- ทำ 3 เซต พัก 1 นาทีระหว่างเซต
โค้ชปุนิ่มเสริม: “Circuit เป็นตัวเร่งอัตราเผาผลาญได้ดีที่สุดในระยะสั้น จากงานวิจัยที่ฉันได้อ่านจาก American College of Sports Medicine พบว่า การฝึกแบบ Circuit ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการฝึกแบบธรรมดาถึง 30% ด้วยเวลาเท่ากัน”
ตอนเตรียมตัวแข่ง Elite Physique Championships 2022 ฉันใช้การฝึกแบบ Circuit 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อขณะลดไขมัน วิธีนี้ช่วยให้ฉันคงความแข็งแรงไว้ได้แม้ในช่วงลดแคลอรี่
เทคนิคพิเศษสำหรับ Circuit Training ที่ฉันใช้:
- พยายามเปลี่ยนจากท่าหนึ่งไปอีกท่าหนึ่งให้เร็วที่สุด โดยพักเฉพาะระหว่างเซตเท่านั้น
- หายใจอย่างสม่ำเสมอ อย่ากลั้นหายใจแม้จะเหนื่อย
- จับเวลาในแต่ละเซต พยายามทำให้เร็วขึ้นในเซตถัดไป แต่ไม่ลดคุณภาพของการเคลื่อนไหว
ฉันเคยมีลูกศิษย์ที่ลดไขมันหน้าท้องได้ชัดเจนหลังจากทำ Circuit Training 3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 30 วัน โดยที่เขาเพิ่งอายุ 45 ปี และไม่เคยออกกำลังกายอย่างจริงจังมาก่อน สิ่งสำคัญคือความต่อเนื่อง ไม่ใช่ความหนักหรือความเร็ว
วันที่ 4 (พฤหัสบดี) – Active Recovery Day
“การพักที่ถูกต้องไม่ใช่การนอนอยู่เฉยๆ แต่เป็นการเคลื่อนไหวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนและฟื้นฟูกล้ามเนื้อ”
การพักฟื้นแบบ Active จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัวโดยไม่หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด:
- เดินเร็ว 40 นาที
- Stretching ทั่วร่างกาย 10 นาที
โค้ชปุนิ่มเตือน: “วันพักแอคทีฟ สำคัญพอๆ กับวันฝึกหนัก อย่าข้าม หลายคนคิดว่าพักแปลว่าไม่ต้องทำอะไรเลย แต่จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวเบาๆ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยในการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ”
ในเส้นทางการเป็นนักกีฬาเพาะกายและวิ่งของฉัน การพัก Active Recovery คือเคล็ดลับที่ช่วยให้ฉันฝึกได้หนักและต่อเนื่องโดยไม่บาดเจ็บ
สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายระหว่างการพักแบบ Active:
- เลือดไหลเวียนดีขึ้น นำออกซิเจนและสารอาหารไปยังกล้ามเนื้อที่ต้องการฟื้นฟู
- ลดการสะสมของกรดแลคติก ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดเมื่อย
- กระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเธติกซึ่งช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย
- ลดความตึงในกล้ามเนื้อและพังผืด ป้องกันอาการบาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไป
ฉันยังได้อ่านงานวิจัยจาก Journal of Sports Sciences ที่ศึกษานักกีฬา 24 คนพบว่า การฟื้นตัวแบบ Active ช่วยลดอาการปวดเมื่อยหลังการฝึกได้ถึง 40% เมื่อเทียบกับการพักแบบไม่เคลื่อนไหว
เทคนิคการยืดเหยียดที่ฉันแนะนำในวันนี้:
- เน้นการยืดแบบสถิต (Static Stretching) ค้างไว้ 15-30 วินาที
- ยืดให้รู้สึกตึงแต่ไม่เจ็บ
- หายใจลึกๆ ขณะยืด เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น
- เน้นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้งานหนักในวันก่อนหน้า
วันที่ 5 (ศุกร์) – Strength Upper Body
“กล้ามเนื้อส่วนบนที่แข็งแรงไม่เพียงสร้างรูปร่างที่ดี แต่ยังช่วยในการเคลื่อนไหวชีวิตประจำวัน จากการยกของหนัก ไปจนถึงการมีท่าทางที่สง่างาม”
วันนี้เราจะเน้นกล้ามเนื้อส่วนบนเพื่อสร้างความแข็งแรงและรูปร่างที่สมส่วน:
- Dumbbell Shoulder Press 3×12
- Dumbbell Bench Press 3×12
- Seated Row Machine 3×12
- Hanging Leg Raise 3×15 (ถ้าทำไม่ได้ให้ทำ Lying Leg Raise แทน)
โค้ชปุนิ่มแชร์: “ควรจบเซตด้วยความรู้สึกเหนื่อยระดับ 7/10 เท่านั้นในสัปดาห์แรก น้ำหนักที่เหมาะสมคือน้ำหนักที่คุณทำครั้งที่ 10-12 เริ่มรู้สึกยาก แต่ยังสามารถรักษาฟอร์มที่ดีได้”
ในการแข่งขัน Thailand Open Masters Games 2025 ที่ฉันคว้าแชมป์ ฉันให้ความสำคัญกับการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนบนมาก โดยเฉพาะไหล่และหลัง เพราะเป็นส่วนที่สร้าง V-Shape ที่ดูน่าประทับใจบนเวที
เทคนิคเฉพาะสำหรับการฝึกส่วนบนที่ฉันใช้:
- ในท่า Shoulder Press เน้นการบีบไหล่ตอนยกดัมเบลขึ้นสุด ค้างไว้ 1 วินาที
- ขณะทำ Bench Press ให้เกร็งกล้ามเนื้อหน้าอกตลอดการทำ ไม่ปล่อยให้แขนรับน้ำหนักทั้งหมด
- ในท่า Seated Row ดึงบาร์เข้าหาบริเวณสะดือ บีบสะบักเข้าหากันตอนดึงสุด
- Hanging Leg Raise เป็นท่าที่ยากแต่ประสิทธิภาพสูง ช่วยสร้างกล้ามท้องส่วนล่างได้ดี
ฉันเคยมีลูกศิษย์ที่มีปัญหาปวดไหล่จากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หลังจากฝึกท่า Row อย่างถูกฟอร์มเป็นประจำ อาการปวดไหล่ก็หายไป เพราะท่านี้ช่วยสร้างสมดุลให้กับท่าทางที่เรามักจะก้มคอและหลังค่อมตลอดทั้งวัน
วันที่ 6 (เสาร์) – Strength Lower Body
“ขาแข็งแรง ชีวิตแข็งแรง เพราะกล้ามเนื้อขาเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อใหญ่ที่สุดในร่างกาย การพัฒนาความแข็งแรงที่นี่จะส่งผลต่อทั้งระบบ”
วันนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่กล้ามเนื้อส่วนล่างซึ่งเป็นฐานของความแข็งแรงทั้งหมด:
- Barbell Deadlift 3×10 (ถ้าไม่มั่นใจให้ใช้ Dumbbell Deadlift ก่อน)
- Lunge with Dumbbells 3×12 (ข้างละ)
- Calf Raise 3×20
- Russian Twist 3×30 วินาที
โค้ชปุนิ่มบอก: “Deadlift คือราชาแห่งท่าฝึกตัวจริง ควรโฟกัสกล้ามเนื้อหลัง-สะโพกทุกครั้ง อย่าใช้หลังส่วนล่างในการยก ให้ดึงพลังจากสะโพกและขา หลังต้องแอ่นเล็กน้อย ไม่โค้งงอ”
ฉันเคยประสบกับอาการบาดเจ็บที่หลังจากการทำ Deadlift ผิดฟอร์ม และต้องพักการแข่งขันไป 3 เดือน นั่นทำให้ฉันตระหนักถึงความสำคัญของฟอร์มที่ถูกต้องมากกว่าการยกน้ำหนักมาก
ความลับที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เกี่ยวกับการฝึกขา:
- การฝึกขาอย่างหนักกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเติบโต (Growth Hormone) และเทสโทสเตอโรนมากที่สุด ช่วยสร้างกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ไม่เฉพาะแค่ขา
- กล้ามเนื้อขาใช้พลังงานมหาศาล การฝึกขาจึงเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการฝึกส่วนอื่น
- ความแข็งแรงของขาส่งผลโดยตรงต่อสมรรถภาพในการเล่นกีฬาเกือบทุกประเภท
เทคนิคการทำ Deadlift ให้ปลอดภัยและได้ผล:
- เริ่มด้วยเท้าห่างกันประมาณความกว้างของสะโพก
- ย่อตัวลงโดยยื่นสะโพกไปด้านหลัง (Hip Hinge) หลังตรง ไม่โค้งงอ
- จับบาร์ด้วยมือห่างกันประมาณกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย
- ก่อนยก หายใจเข้าลึกๆ เกร็งแกนกลาง (Core) เพื่อรักษาเสถียรภาพของหลัง
- ยกโดยใช้พลังจากสะโพกและขา ดันพื้นด้วยส้นเท้า
- ยืนตรง บีบก้น (Glutes) ตอนยืนขึ้นสุด
- ลดลงโดยยื่นสะโพกไปด้านหลังก่อน ตามด้วยการงอเข่า
ตอนที่ฉันเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Mr. Thailand 2024 ที่ฉันได้รองแชมป์ ฉันพบว่าการเพิ่มท่า Romanian Deadlift (เน้นกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง) ช่วยให้สัดส่วนขาของฉันสมบูรณ์ขึ้นมาก โดยเฉพาะบริเวณ Hamstring ซึ่งมักถูกมองข้าม
วันที่ 7 (อาทิตย์) – พักเต็มวัน
“วันพักที่ดีคือการลงทุนสำหรับผลลัพธ์ที่ดีกว่าในวันถัดไป กล้ามเนื้อไม่ได้เติบโตตอนที่คุณฝึก แต่เติบโตตอนที่คุณพัก”
วันพักคือวันที่กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมและเติบโต:
- พักผ่อน + ฟื้นฟู (Stretch, Foam Rolling)
- อาจมีโยคะเบาๆ 20 นาที
โค้ชปุนิ่มให้คำแนะนำ: “Recovery ไม่ใช่การอยู่นิ่งๆ แต่เป็นการขยับเพื่อปลดล็อกความล้า ฉันแนะนำให้ใช้ Foam Roller หรือลูกเทนนิสกดจุดตึงตามร่างกาย และทำ Static Stretching เพื่อคลายกล้ามเนื้อ”
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2023 ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างนักกีฬา 78 คน พบว่า การให้เวลาพัก 1 วันต่อสัปดาห์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฝึกในระยะยาวได้ถึง 22% เมื่อเทียบกับการฝึกทุกวันโดยไม่มีวันพัก
สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคุณในวันพัก:
- การซ่อมแซมเส้นใยกล้ามเนื้อ – ระหว่างการออกกำลังกาย กล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาดเล็กๆ การพักจะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงกว่าเดิม
- การเติมกลัยโคเจน – กลัยโคเจนคือแหล่งพลังงานในกล้ามเนื้อ การพักช่วยให้ร่างกายเติมกลัยโคเจนกลับคืน
- การฟื้นฟูระบบประสาท – การฝึกหนักไม่เพียงแต่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อ แต่ยังกระทบระบบประสาทด้วย การพักช่วยให้ระบบนี้ฟื้นตัว
- การสมดุลฮอร์โมน – การพักช่วยลดฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) และเพิ่มฮอร์โมนการเติบโต (เทสโทสเตอโรน, IGF-1)
เทคนิคการพักอย่างมีประสิทธิภาพที่ฉันใช้ก่อนการแข่งขันที่สำคัญ:
- การแช่น้ำเย็น (Cold Immersion) 10-15 นาที ช่วยลดอาการอักเสบ
- การนอนหลับอย่างเต็มที่ 7-9 ชั่วโมง ไม่มีอะไรทดแทนการนอนได้
- การดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
- การรับประทานโปรตีนคุณภาพดีเพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อ
ในประสบการณ์การแข่งขัน ฉันพบว่าหลายครั้งที่ฟอร์มของฉันดีขึ้นหลังจากพักหนึ่งวันเต็มๆ การบังคับตัวเองให้พักเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มุ่งมั่น แต่มันคือความลับของการพัฒนาที่ยั่งยืน
🌟 สัปดาห์ที่ 2: เสริมความแข็งแรง และเริ่มเร่งการพัฒนา
“เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว คุณต้องเพิ่มความท้าทายเพื่อไม่ให้การพัฒนาหยุดชะงัก”
หลังจากผ่านสัปดาห์แรก ร่างกายเริ่มปรับตัวกับการฝึก ในสัปดาห์ที่ 2 นี้ เราจะเพิ่มความหนักของการฝึกขึ้นอีกระดับ เพื่อผลักดันให้ร่างกายพัฒนาต่อไป
ฉันมักสังเกตเห็นว่าหลายคนรู้สึกตื่นเต้นและมีพลังมากขึ้นในสัปดาห์ที่ 2 เมื่อความเจ็บปวดจากการเริ่มต้นเริ่มหายไป นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องใช้พลังงานนี้ให้เป็นประโยชน์โดยการเพิ่มความเข้มข้นของการฝึก แต่ยังคงระวังไม่ให้หักโหมจนเกินไป
วันที่ 8 (จันทร์) – Full Body Strength (เพิ่มน้ำหนัก)
“การเพิ่มน้ำหนักคือการบอกร่างกายว่า ‘ฉันต้องการให้เธอแข็งแรงขึ้นไปอีก’ ร่างกายจะตอบสนองด้วยการพัฒนา”
เราจะทำท่าเดิมแต่เพิ่มน้ำหนักและลดจำนวนครั้งลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความเข้มข้น:
- Squat Machine 3×10 (เพิ่มน้ำหนัก 5-10%)
- Chest Press Machine 3×10
- Lat Pulldown 3×10
- Plank 3×40 วินาที
โค้ชปุนิ่มแนะนำ: “น้ำหนักที่เพิ่ม ควรทำได้ครบเซตแบบเหนื่อยระดับ 8/10 ไม่ใช่ท่าเสีย ถ้าท่าเสียหรือทำไม่ครบ แสดงว่าเพิ่มเร็วเกินไป”
ฉันเคยทำผิดพลาดในช่วงเตรียมตัวแข่ง Mr. Thailand 2024 โดยเพิ่มน้ำหนักเร็วเกินไปในช่วงสัปดาห์ที่ 2 จนเกิดอาการบาดเจ็บที่ไหล่ซ้าย ทำให้ต้องลดน้ำหนักลงและโฟกัสที่ฟอร์มอีกครั้ง นั่นสอนให้ฉันรู้ว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องค่อยเป็นค่อยไป
หลักการ Progressive Overload ที่ฉันใช้:
- เพิ่มน้ำหนัก 5-10% หากทำครบเซตได้อย่างง่ายดายในสัปดาห์ก่อน
- เพิ่มจำนวนเซตก่อนเพิ่มน้ำหนัก หากยังไม่มั่นใจ
- ลดเวลาพักระหว่างเซตลง เป็นอีกวิธีในการเพิ่มความเข้มข้น
- เปลี่ยน Tempo เช่น ลดช้าลง 3 วินาที และยกขึ้นเร็ว 1 วินาที
วิธีรู้ว่าคุณเลือกน้ำหนักได้เหมาะสม:
- รู้สึกท้าทายแต่ยังรักษาฟอร์มได้ดี
- 2-3 ครั้งสุดท้ายของแต่ละเซตควรรู้สึกยากแต่ทำได้
- สามารถทำครบจำนวนครั้งที่กำหนดในทุกเซต
- รู้สึกเหนื่อยหลังจบแต่ละเซต แต่สามารถฟื้นตัวได้ภายใน 1-2 นาที
วันที่ 9 (อังคาร) – วิ่งปรับความเร็ว + Mobility
“การวิ่งสลับความเร็วคือการสอนร่างกายให้รู้จักปรับตัว ทั้งเผาผลาญและสร้างความอดทนไปพร้อมกัน”
สัปดาห์นี้เราจะเพิ่มความเข้มข้นของคาร์ดิโอด้วยการวิ่งแบบสลับความเร็ว (Interval Training):
- Jogging Intervals: วิ่งสลับเร็ว-ช้า 20 นาที (1 นาทีเร็ว / 2 นาทีช้า)
- Mobility Drill (สะโพก-ข้อเท้า) 15 นาที
โค้ชปุนิ่มเตือน: “การทำ Intervals เป็นหัวใจของการพัฒนา Cardio Performance ช่วงวิ่งเร็วควรอยู่ที่ 80-85% ของความเร็วสูงสุด หายใจเริ่มติดขัด แต่ยังพอพูดได้สั้นๆ”
ตอนเตรียมตัวแข่งวิ่ง Sadokkokthom (21k) ปี 2562 ที่ฉันคว้าแชมป์ ฉันใช้การฝึกแบบ Intervals เป็นหลัก เพราะมันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ออกซิเจน (VO2 Max) ได้ดีกว่าการวิ่งความเร็วคงที่
ข้อดีของการวิ่งแบบ Intervals ที่น้อยคนรู้:
- เผาผลาญไขมันแม้หลังหยุดวิ่ง – เกิดปรากฏการณ์ EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) ทำให้ร่างกายเผาผลาญต่อเนื่องนานถึง 24-48 ชั่วโมง
- ใช้เวลาน้อยกว่าแต่ได้ผลมากกว่า – งานวิจัยจาก American College of Sports Medicine พบว่า 20 นาทีของการวิ่ง Intervals ให้ประโยชน์เทียบเท่ากับการวิ่งคงที่ 45-60 นาที
- รักษามวลกล้ามเนื้อได้ดีกว่า – การวิ่งนานๆ ที่ความเข้มข้นปานกลางอาจนำไปสู่การสลายกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่การวิ่ง Intervals ช่วยลดผลกระทบนี้
- เพิ่มความทนทานต่อกรดแลคติก – ร่างกายเรียนรู้ที่จะทำงานได้ดีขึ้นในสภาวะที่มีกรดแลคติกสูง ซึ่งจะช่วยในการออกกำลังกายทุกรูปแบบ
เคล็ดลับในการทำ Mobility Drill สำหรับนักวิ่ง:
- Hip Circles – ทำวงกลมด้วยสะโพกทั้งตามและทวนเข็มนาฬิกา ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับข้อสะโพก
- Ankle Rotations – วาดวงกลมด้วยปลายเท้า ช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บที่ข้อเท้าซึ่งพบบ่อยในนักวิ่ง
- Leg Swings – แกว่งขาไปด้านหน้า-หลัง และซ้าย-ขวา ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสะโพกและเอ็นต้นขาด้านหลัง
- Walking Lunges – ก้าวขาไปข้างหน้าในท่าลันจ์ เพิ่มความยืดหยุ่นแบบไดนามิก
- Inchworms – ท่าเดินแบบหนอน ช่วยยืดกล้ามเนื้อทั้งส่วนบนและส่วนล่างไปพร้อมกัน
วันที่ 10 (พุธ) – Circuit Training (เพิ่มรอบ)
“ร่างกายเปลี่ยนแปลงเมื่อถูกบังคับให้ทำงานนอกโซนความสบาย ท้าทายตัวเองด้วยการเพิ่มปริมาณ เพื่อผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้น”
เราจะเพิ่มความเข้มข้นของ Circuit Training ด้วยการเพิ่มจำนวนครั้งและเซต:
- Push-up 20 ครั้ง
- Goblet Squat 20 ครั้ง
- Dumbbell Row 20 ครั้ง
- Sit-up 25 ครั้ง
- ทำ 4 เซต พักระหว่างเซต 45-60 วินาที
โค้ชปุนิ่มบอก: “ถ้าไหวมากขึ้น ให้ลดเวลาพักระหว่างเซตลงเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ที่สำคัญคือควรเหนื่อยหนักกว่าสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงรักษาฟอร์มที่ดี”
ตอนเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Payap Classic 2023 ที่ฉันคว้าแชมป์ ฉันค่อยๆ ลดเวลาพักระหว่างเซตลงจาก 60 วินาที เป็น 45 วินาที แล้วเป็น 30 วินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความเข้มข้นและกระตุ้นการเผาผลาญได้อย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายระหว่างทำ Circuit Training:
- การเพิ่มขึ้นของอัตราการเผาผลาญ – อัตราการเผาผลาญเพิ่มขึ้นถึง 72 ชั่วโมงหลังการฝึก จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน European Journal of Applied Physiology
- การกระตุ้นฮอร์โมนเติบโต – ระดับฮอร์โมนเติบโตและเทสโทสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้น ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ
- การเพิ่มความทนทานของหัวใจและปอด – หัวใจและปอดต้องทำงานหนักเพื่อส่งออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อ เป็นการฝึกระบบหัวใจและหลอดเลือดไปในตัว
- การสร้างเอนไซม์ในกล้ามเนื้อ – เอนไซม์ที่ช่วยในการสร้างพลังงานเพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เคล็ดลับการทำ Circuit ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด:
- นับเวลาทั้งหมด – เริ่มนับเวลาตั้งแต่เริ่มเซตแรกจนจบเซตสุดท้าย พยายามทำให้เร็วขึ้นทุกครั้ง
- หายใจอย่างมีประสิทธิภาพ – หายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก และหายใจออกยาวๆ ทางปาก
- จัดลำดับท่าอย่างฉลาด – เรียงท่าให้กล้ามเนื้อส่วนที่เพิ่งใช้ได้พัก โดยสลับระหว่างส่วนบนและส่วนล่าง
- ใช้ดนตรีกระตุ้น – เพลงที่มีจังหวะเร็ว 120-140 BPM ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ตามงานวิจัยจาก Sports Medicine
วันที่ 11 (พฤหัสบดี) – Active Recovery Day (ยืดเหยียดเชิงลึก)
“การยืดเหยียดเชิงลึกไม่ใช่แค่เพื่อผ่อนคลาย แต่เพื่อเปิดทางให้กล้ามเนื้อพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ”
การพักฟื้นแบบแอคทีฟในสัปดาห์นี้จะเน้นที่การยืดเหยียดเชิงลึกเพื่อเพิ่ม Mobility:
- เดินเร็ว 45 นาที
- Stretching เชิงลึก (Deep Stretch) 15 นาที
โค้ชปุนิ่มเสริม: “Deep Stretch จะช่วยเรื่อง Mobility และป้องกัน Overuse Injury การยืดแต่ละท่าควรค้างไว้ 30-60 วินาที และหายใจลึกๆ ขณะยืด”
ในประสบการณ์การแข่งขันเพาะกายของฉัน ฉันพบว่าการมี Mobility ที่ดีทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้เต็มช่วงการเคลื่อนไหว (Range of Motion) ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ
ท่ายืดเชิงลึกที่ฉันแนะนำสำหรับนักกีฬา:
- Pigeon Pose – ยืดกล้ามเนื้อสะโพกและก้น ช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่างที่มักเกิดจากการนั่งนานๆ
- Lizard Pose – ยืดขาหนีบและสะโพกด้านใน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำท่า Squat
- Butterfly Stretch – เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสะโพกด้านใน ช่วยในการทำท่า Squat และ Deadlift
- Thread the Needle – ช่วยคลายกล้ามเนื้อรอบสะบัก ลดความตึงที่ไหล่และคอ
- World’s Greatest Stretch – ยืดได้หลายส่วนในท่าเดียว ทั้งสะโพก ต้นขาด้านหลัง และแกนกลางลำตัว
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก Journal of Human Kinetics ปี 2022 พบว่า การยืดเหยียดเชิงลึกเป็นประจำช่วยเพิ่ม Range of Motion ได้ถึง 18% ภายใน 4 สัปดาห์ และยังช่วยเพิ่มกำลังในท่า Squat และ Deadlift ได้ถึง 8% เนื่องจากกล้ามเนื้อสามารถทำงานได้เต็มช่วงการเคลื่อนไหว
ระหว่างการเดินเร็ว ฉันแนะนำให้ใช้เทคนิค “อกตั้ง ไหล่ปล่อย” และแกว่งแขนอย่างเป็นธรรมชาติ การเดินด้วยท่าทางที่ถูกต้องไม่เพียงช่วยเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างท่าทางที่ดีในชีวิตประจำวันด้วย
วันที่ 12 (ศุกร์) – Strength Upper Body (หนักขึ้น)
“กล้ามเนื้อส่วนบนที่สมดุลไม่ได้สร้างแค่รูปร่างที่ดี แต่ยังช่วยป้องกันการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกการเคลื่อนไหว”
สัปดาห์นี้เราจะเพิ่มจำนวนเซตและปรับน้ำหนักให้หนักขึ้นเพื่อกระตุ้นการเติบโตของกล้ามเนื้อ:
- Dumbbell Shoulder Press 4×10
- Dumbbell Bench Press 4×10
- Seated Row Machine 4×10
- Hanging Leg Raise 4×15
โค้ชปุนิ่มแชร์ประสบการณ์: “การเพิ่ม Volume ต่อเซตช่วยกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ชายส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับอก แต่ไหล่และหลังต่างหากที่สร้าง V-Shape ที่ดูดี”
ในการแข่งขัน Chiangmai Classic 10.0 2024 ที่ฉันได้อันดับ 4 ฉันเน้นพัฒนากล้ามเนื้อไหล่เป็นพิเศษ เพราะไหล่ที่กว้างจะทำให้เอวดูเล็กลงโดยเปรียบเทียบ สร้าง V-Taper ที่กรรมการชื่นชอบ
เทคนิคลับในการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนบน:
- Time Under Tension – ลดน้ำหนักลง 10-15% แต่เพิ่มเวลาในการยกแต่ละครั้ง (3 วินาทีลง, 1 วินาทีค้าง, 2 วินาทีขึ้น) จะกระตุ้นเส้นใยกล้ามเนื้อได้มากกว่า
- Mind-Muscle Connection – โฟกัสที่การรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่ต้องการพัฒนา ไม่ใช่แค่การยกน้ำหนัก นึกภาพกล้ามเนื้อบีบตัวขณะออกแรง
- Peak Contraction – บีบกล้ามเนื้อแรงๆ ที่จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหว เช่น ในท่า Row ให้บีบสะบักเข้าหากัน
- Pre-exhaustion – ทำท่าโดดเดี่ยว (Isolation) ก่อนท่ารวม (Compound) เช่น ทำ Lateral Raise ก่อน Shoulder Press จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อไหล่มากขึ้น
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการฝึกส่วนบน:
- การใช้โมเมนตัมแทนกล้ามเนื้อ – หลายคนแกว่งตัวเพื่อช่วยในการยก ซึ่งลดประสิทธิภาพการกระตุ้นกล้ามเนื้อ
- การละเลยกล้ามเนื้อตรงข้าม – เช่น ฝึกแต่อกแต่ไม่ฝึกหลัง ทำให้เกิดความไม่สมดุลและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- การยกน้ำหนักมากเกินไป – ทำให้ฟอร์มเสียและอาจนำไปสู่การบาดเจ็บได้
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research พบว่า การทำเซตน้อย (3-4 เซต) แต่มีความหนักสูง (8-12 RM) มีประสิทธิภาพในการสร้างกล้ามเนื้อมากกว่าการทำหลายเซตแต่น้ำหนักเบา สำหรับผู้ชายที่มีประสบการณ์การฝึกน้อยกว่า 1 ปี
วันที่ 13 (เสาร์) – Strength Lower Body (เพิ่มเทคนิค Superset)
“การเทรนด้วย Superset คือการบอกร่างกายว่า ‘เราไม่มีเวลาพัก แต่มีเวลาเติบโต’ กล้ามเนื้อจะไม่มีทางเลือกนอกจากปรับตัว”
สัปดาห์นี้เราจะเพิ่มความเข้มข้นด้วยเทคนิค Superset เพื่อกระตุ้นการเติบโตของกล้ามเนื้อส่วนล่าง:
- Barbell Deadlift + Walking Lunge (Superset) 3 ชุด
- Deadlift 10 ครั้ง
- พักแค่เวลาวางบาร์แล้วเริ่มทำ Walking Lunge ทันที 12 ก้าว (ข้างละ 6)
- Calf Raise 4×20
- Russian Twist 4×40 วินาที
โค้ชปุนิ่มเผยเคล็ดลับ: “Superset ช่วยเร่ง Heart Rate และเพิ่มความคมชัดของกล้ามเนื้อ ในช่วงสุดท้ายก่อนแข่ง Muscle and Physique Championships 2022 ฉันใช้เทคนิคนี้เพื่อ ‘ขีดเส้น’ ให้กล้ามเนื้อขา เพิ่ม Definition ในเวลาอันสั้น”
สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อทำ Superset:
- การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเติบโต – กล้ามเนื้อถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเวลาพักเพียงพอ ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเติบโตและเทสโทสเตอโรนมากขึ้น
- การเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น – อัตราการเต้นของหัวใจสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เผาผลาญแคลอรี่มากขึ้น
- การสร้างความทนทานของกล้ามเนื้อ – กล้ามเนื้อต้องทำงานในสภาวะที่มีออกซิเจนจำกัด เพิ่มความทนทานและความสามารถในการกำจัดของเสีย
- ความเข้มข้นที่มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง – ประหยัดเวลาแต่ได้ผลลัพธ์เทียบเท่าหรือดีกว่าการฝึกแบบธรรมดา
การฝึกแบบ Superset มีหลายรูปแบบที่ฉันใช้ในการเตรียมตัวแข่งขัน:
- Antagonistic Supersets – จับคู่กล้ามเนื้อตรงข้ามกัน เช่น หน้าอกกับหลัง หรือต้นขาหน้ากับต้นขาหลัง
- Compound Supersets – จับคู่ท่าใหญ่ 2 ท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายกลุ่มพร้อมกัน
- Pre-exhaustion Supersets – เริ่มด้วยท่าโดดเดี่ยวก่อนตามด้วยท่ารวม เช่น Leg Extension ตามด้วย Squat
- Post-exhaustion Supersets – เริ่มด้วยท่ารวมก่อนตามด้วยท่าโดดเดี่ยว เช่น Squat ตามด้วย Leg Extension
ความลับของการทำ Walking Lunge ให้มีประสิทธิภาพ:
- เน้นความสมดุล – ตัวตรง มองตรงไปข้างหน้า ไม่โยกไปมา
- ก้าวให้ยาวพอ – ควรก้าวให้ยาวพอที่เข่าหน้าจะอยู่ตรงกับข้อเท้าเมื่อย่อตัวลง
- อย่าลืมกลูทส์ – บีบก้นทุกครั้งเมื่อยืนขึ้น เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อสะโพก
- ใช้แกนกลาง – เกร็งท้องตลอดการทำท่า เพื่อรักษาเสถียรภาพของลำตัว
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: งานวิจัยจาก Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2023 ศึกษากลุ่มผู้ชายอายุ 25-40 ปี จำนวน 48 คน เปรียบเทียบการฝึกแบบธรรมดากับการฝึกแบบ Superset พบว่า กลุ่มที่ฝึกแบบ Superset มีการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและการลดลงของเปอร์เซ็นต์ไขมันมากกว่ากลุ่มที่ฝึกแบบธรรมดาถึง 22% ในระยะเวลา 8 สัปดาห์ แม้จะใช้เวลาฝึกน้อยกว่า 30%
วันที่ 14 (อาทิตย์) – พักเต็มวัน
“การพักที่มีคุณภาพจะเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะดีขึ้นหรือแย่ลง หลังจากความพยายามอย่างหนักในสัปดาห์ที่ผ่านมา”
หลังจากผ่านสัปดาห์ที่ 2 ที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้น การพักอย่างเต็มที่เป็นสิ่งสำคัญ:
- พักผ่อน + ฟื้นฟู
- โยคะเบาๆ 20-30 นาที
โค้ชปุนิ่มให้คำแนะนำ: “วันพักคือวันที่ร่างกายสร้างกล้าม ไม่ใช่แค่พักเฉยๆ ดังนั้นอย่าลืมกินอาหารให้ครบด้วย โดยเฉพาะโปรตีนคุณภาพดี เพื่อให้ร่างกายมีวัตถุดิบในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ”
ประสบการณ์การแข่งขันสอนฉันว่า การพักไม่เพียงพออาจนำไปสู่อาการ Overtraining ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลง และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ ฉันเคยทำผิดพลาดนี้ในช่วงเตรียมตัวแข่งครั้งแรกๆ จนเกิดอาการหมดแรง (Burnout) และผลการแข่งแย่ลง
สัญญาณเตือนของ Overtraining ที่ควรระวัง:
- รู้สึกเหนื่อยล้าแม้หลังพักผ่อนเต็มที่
- ประสิทธิภาพในการฝึกลดลงต่อเนื่อง
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติแม้ในยามพัก
- นอนหลับยาก หรือหลับไม่สนิท
- ภูมิคุ้มกันลดลง เจ็บป่วยง่าย
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
เทคนิคการพักผ่อนที่มีคุณภาพ:
- การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมง – สำคัญที่สุดสำหรับการฟื้นตัว พยายามนอนและตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน
- การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ – เน้นโปรตีน 1.6-2.2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และไขมันดี
- การเติมน้ำ – ดื่มน้ำอย่างน้อย 3-4 ลิตรต่อวัน น้ำช่วยขับของเสียออกจากร่างกายและช่วยในกระบวนการซ่อมแซม
- การจัดการความเครียด – ใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึกๆ การทำสมาธิ หรือการฟังเพลง
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก Sports Medicine Review ปี 2024 ที่รวบรวมงานวิจัย 42 ชิ้น พบว่า การนอนหลับน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนลดระดับเทสโทสเตอโรนลงถึง 15% และเพิ่มฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ขึ้น 20% ซึ่งส่งผลเสียต่อการสร้างกล้ามเนื้อและการฟื้นตัว
🌟 สัปดาห์ที่ 3: ยกระดับฝีมือด้วยการแยกกลุ่มกล้ามเนื้อ (Split Routine)
“การแยกกลุ่มกล้ามเนื้อคือวิธีที่จะทำให้คุณโฟกัสได้อย่างเต็มที่ และสร้างความหนักในระดับที่เฉพาะเจาะจง เป็นเหมือนการเปลี่ยนจากปืนลูกซองเป็นปืนซุ่มยิง”
ในสัปดาห์ที่ 3 เราจะเปลี่ยนวิธีการฝึกเป็นแบบแยกกลุ่มกล้ามเนื้อ (Split Routine) ซึ่งจะช่วยให้เราโฟกัสแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ และให้เวลาในการฟื้นตัวที่เพียงพอ
การเปลี่ยนมาใช้ Split Routine ในช่วงนี้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์:
- กล้ามเนื้อเริ่มปรับตัวกับการฝึกแบบ Full Body – ต้องเปลี่ยนรูปแบบเพื่อสร้างความท้าทายใหม่
- ร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับความเข้มข้นที่สูงขึ้น – สามารถเพิ่มทั้งปริมาณและความหนักในแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อ
- การฟื้นตัวดีขึ้น – แต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อได้พัก 48-72 ชั่วโมงก่อนถูกกระตุ้นอีกครั้ง
- สามารถเพิ่มปริมาณงานต่อกลุ่มกล้ามเนื้อ – จากการทำ 6-9 เซตต่อสัปดาห์เป็น 12-16 เซต
ในการแข่งขัน Mr. Thailand 2025 ที่ฉันคว้าแชมป์ ฉันใช้หลักการ Split Routine ตลอด 16 สัปดาห์ก่อนแข่ง โดยแบ่งเป็น Push/Pull/Legs เพื่อให้สามารถเน้นแต่ละกลุ่มกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ ผลลัพธ์คือการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความสมมาตรที่ดีขึ้น
วันที่ 15 (จันทร์) – อก & ไตรเซ็ปส์
“อกและไตรเซ็ปส์คู่กันเสมอ เพราะเมื่อคุณดันอะไรออกไป ทั้งสองกลุ่มนี้ทำงานร่วมกัน การฝึกควรเลียนแบบกลไกการทำงานของธรรมชาติ”
เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยการเน้นพัฒนากล้ามเนื้อหน้าอกและแขนส่วนหลัง:
- Barbell Bench Press 4×10
- Incline Dumbbell Press 4×10
- Cable Chest Fly 4×12
- Dips 3×10 หรือ Triceps Pushdown
โค้ชปุนิ่มแนะนำ: “อย่าลืมโฟกัสการหดเกร็งกล้ามเนื้ออกทุกครั้งที่กดบาร์ ฉันมักให้ลูกศิษย์นึกภาพว่ากำลังบีบอกเข้าหากันแทนที่จะคิดว่ากำลังดันน้ำหนัก”
ความลับในการพัฒนากล้ามอกที่สมมาตรและมีความชัดเจน:
- การฝึกทุกมุมของกล้ามเนื้อ – แบ่งเป็น Upper, Middle และ Lower
- Upper: Incline Press (มุม 30-45 องศา)
- Middle: Flat Bench Press
- Lower: Decline Press หรือ Dips
- เทคนิค Pre-exhaust – ทำท่า Isolation (เช่น Fly) ก่อนท่า Compound (เช่น Press) เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้ออกให้ทำงานหนักขึ้น
- Time Under Tension – ลดน้ำหนักลง 20% แต่ลดช้าๆ 3-4 วินาที บีบค้าง 1 วินาที และดันขึ้น 1 วินาที
- อย่าละเลยความสมดุล – ฝึกหลังให้แข็งแรงพอๆ กับอก เพื่อป้องกันท่าทางไหล่ห่อ และปัญหาเรื่องการทรงตัว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการฝึกกล้ามอก:
- การยกสะโพกขึ้น – ทำให้หลังแอ่น ลดการทำงานของกล้ามอก และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- การงอข้อศอกเกิน 90 องศา – เพิ่มแรงกดที่ไหล่ อาจนำไปสู่การบาดเจ็บในระยะยาว
- การยึดหัวไหล่ – ควรกดหัวไหล่ลงและดึงสะบักเข้าหากันเล็กน้อย
สำหรับการเทรนไตรเซ็ปส์ให้มีรูปทรงที่สวย ต้องฝึกครบทั้งสามหัว:
- Medial (ด้านใน) – ท่า Close-grip Bench Press, Diamond Push-up
- Lateral (ด้านนอก) – ท่า Dips, Overhead Extension
- Long head (ส่วนยาว) – ท่า Skull Crusher, Rope Pulldown
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก Journal of Electromyography and Kinesiology พบว่า ท่า Bench Press ที่ใช้ความกว้างของมือมากกว่าช่วงกว้างของไหล่ 1.5 เท่า กระตุ้นกล้ามเนื้ออกได้มากที่สุด ขณะที่การจับมือชิดกว่าความกว้างของไหล่จะเน้นไปที่ไตรเซ็ปส์มากกว่า
วันที่ 16 (อังคาร) – หลัง & ไบเซ็ปส์
“หลังที่แข็งแรงคือหัวใจของร่างกายที่ทรงพลัง ไม่มีกล้ามเนื้อใดที่สร้างความยิ่งใหญ่ได้เท่ากับหลังที่กว้างและแน่น”
วันนี้เราจะโฟกัสที่กล้ามเนื้อหลังซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ และไบเซ็ปส์ซึ่งเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวในการดึง:
- Pull-up 4xMax (ทำให้ได้มากที่สุด 4 เซต)
- Barbell Row 4×10
- Dumbbell Curl 3×15
- Hammer Curl 3×12
โค้ชปุนิ่มเสริม: “ช่วงสร้างกล้ามแขน ต้องเน้น Tempo ช้า-ชัดเจน เช่น ดึงขึ้น 1 วิ, ค้าง 1 วิ, ลงช้า 2 วิ นี่เป็นเทคนิคที่ฉันใช้ในช่วงสร้างไบเซ็ปส์ก่อนแข่ง Payap Classic”
ความสำคัญของกล้ามเนื้อหลังที่คนมักมองข้าม:
- เป็นฐานสำหรับการออกแรงทั้งหมด – หลังที่แข็งแรงช่วยให้ท่าอื่นๆ มีเสถียรภาพมากขึ้น
- ป้องกันการบาดเจ็บ – โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่างและไหล่
- ปรับปรุงท่าทาง – แก้ปัญหาหลังค่อม ไหล่ห่อ ที่เกิดจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน
- สร้าง V-Taper – หลังกว้างทำให้เอวดูเล็กลง สร้างสัดส่วนที่น่าประทับใจ
เทคนิคเฉพาะในการพัฒนากล้ามเนื้อหลัง:
- Mind-Muscle Connection – นึกภาพว่ากำลังดึงด้วยข้อศอก ไม่ใช่มือ เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมากขึ้น
- Scapular Retraction – ดึงสะบักเข้าหากันก่อนเริ่มดึงน้ำหนัก เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังส่วนบน
- Lat Activation – คิดถึงการดึงข้อศอกลงและเข้าหาลำตัว ไม่ใช่แค่การยกน้ำหนัก
- Controlled Eccentric – ลดน้ำหนักลงช้าๆ 3-4 วินาที เพื่อเพิ่ม Time Under Tension
ในการเตรียมตัวสำหรับ Thailand Open Masters Games 2025 ฉันเพิ่มความถี่ในการฝึกหลังเป็น 2 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยวันหนึ่งเน้นความหนัก (4-8 ครั้งต่อเซต) และอีกวันเน้นปริมาณ (12-15 ครั้งต่อเซต) ทำให้กล้ามเนื้อหลังพัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ของความหนาและความกว้าง
เคล็ดลับในการทำ Pull-up ให้มีประสิทธิภาพ:
- เริ่มจากห้อยตัวเต็มที่ – แขนเหยียดตรง ไหล่ยืดออก
- ดึงตัวขึ้นโดยเน้นกล้ามเนื้อหลัง – ไม่ใช่แค่กำลังแขน
- ดึงจนคางอยู่เหนือบาร์ – หรือบาร์อยู่ระดับอก ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์
- ค้างไว้ 1 วินาที – เพื่อเพิ่มการกระตุ้นกล้ามเนื้อ
- ลงช้าๆ ควบคุม – ใช้เวลา 3-4 วินาทีในการลง
สำหรับการพัฒนาไบเซ็ปส์ให้มีรูปทรงสวย ฉันแนะนำให้ฝึกทั้ง 2 หัวของกล้ามเนื้อนี้:
- Short Head (หัวสั้น) – เน้นด้วยท่า Preacher Curl, Concentration Curl
- Long Head (หัวยาว) – เน้นด้วยท่า Incline Curl, Hammer Curl
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: งานวิจัยจาก Journal of Applied Physiology พบว่า การทำ Pull-up แบบ Wide Grip (จับกว้างกว่าไหล่) กระตุ้นกล้ามเนื้อ Latissimus Dorsi (กล้ามเนื้อปีก) ได้มากกว่าการทำแบบ Close Grip (จับแคบกว่าไหล่) ถึง 20% ในขณะที่ Close Grip เน้นกล้ามเนื้อ Biceps และ Brachialis มากกว่า การสลับระหว่างสองแบบนี้จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อหลังได้อย่างรอบด้าน
วันที่ 17 (พุธ) – คาร์ดิโอความเข้มข้นสูง (HIIT) + Core
“HIIT คือการเผาผลาญแบบทวีคูณ ทั้งระหว่างและหลังการออกกำลังกาย มันสอนให้ร่างกายเผาไขมันอย่างมีประสิทธิภาพแม้ในยามพัก”
วันนี้เราจะเน้นการเผาผลาญไขมันและสร้างความแข็งแรงให้แกนกลางของร่างกาย:
- HIIT Sprint 20 วิ / เดิน 40 วิ × 10 รอบ
- Plank Variations: Front Plank, Side Plank, Reverse Plank 3×30 วิ
โค้ชปุนิ่มเผยเคล็ดลับ: “ช่วงแข่งโค้ชใช้ HIIT เพื่อรักษา %ไขมันให้ต่ำโดยไม่เสียกล้าม เทคนิคนี้ฉันใช้ตอนเตรียมตัวแข่ง Mr. Thailand และมันช่วยให้ฉันรักษากล้ามเนื้อไว้ได้ขณะลดไขมัน”
กลไกทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ HIIT มีประสิทธิภาพสูง:
- EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) – ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้นหลังการออกกำลังกาย เพื่อฟื้นฟูระบบต่างๆ ทำให้เผาผลาญแคลอรี่ต่อเนื่องนานถึง 24-48 ชั่วโมง
- การเพิ่มสัดส่วนของการใช้ไขมันเป็นพลังงาน – HIIT ทำให้ร่างกายเรียนรู้ที่จะใช้ไขมันเป็นแหล่งพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การเพิ่ม Mitochondria – HIIT เพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงานในเซลล์
- การหลั่งฮอร์โมนเติบโต – HIIT กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเติบโตและเทสโทสเตอโรน ซึ่งช่วยในการสร้างและรักษากล้ามเนื้อ
ในช่วงเตรียมตัวสำหรับการแข่งขัน Kicthakut Good Run (17k) ปี 2020 ที่ฉันได้อันดับ 3 ฉันใช้การฝึก HIIT 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ร่วมกับการวิ่งระยะไกลแบบ Steady State 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ผลลัพธ์คือความอดทนที่เพิ่มขึ้นและสัดส่วนไขมันที่ลดลง
เคล็ดลับการทำ HIIT ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด:
- วอร์มอัพให้ดี – อย่างน้อย 5-10 นาที เพื่อเตรียมร่างกายสำหรับการออกแรงหนัก
- ให้ทุกอย่างในช่วง Sprint – ต้องทำให้หนักจริงๆ ที่ 90-95% ของความสามารถสูงสุด
- พักให้เพียงพอ – อย่าลดเวลาพักจนเกินไป เพราะจะทำให้ไม่สามารถทำช่วงหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควบคุมการหายใจ – หายใจลึกและสม่ำเสมอแม้ในช่วงเหนื่อย
- ทำอย่างสม่ำเสมอ – 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพียงพอ มากกว่านั้นอาจนำไปสู่ Overtraining
การพัฒนา Core ที่แข็งแรงมีประโยชน์มากกว่าแค่หน้าท้องที่สวยงาม:
- เพิ่มเสถียรภาพในการยกน้ำหนัก – ช่วยให้ทำท่า Squat, Deadlift ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ป้องกันการบาดเจ็บที่หลัง – Core ที่แข็งแรงช่วยรักษาแนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ปรับปรุงการทรงตัว – สำคัญในชีวิตประจำวันและกีฬาทุกประเภท
- เพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว – พลังงานจากส่วนกลางของร่างกายถ่ายทอดไปยังแขนและขา
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก International Journal of Obesity เปรียบเทียบการออกกำลังกายแบบ HIIT กับการออกกำลังกายแบบคงที่ (Steady State) พบว่า กลุ่มที่ทำ HIIT 20 นาที สามารถลดไขมันหน้าท้องได้มากกว่ากลุ่มที่ทำแบบคงที่ 40 นาที ถึง 17% ในระยะเวลา 12 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังพบการเพิ่มขึ้นของเอนไซม์ที่ช่วยในการเผาผลาญไขมันมากกว่าถึง 2 เท่า
วันที่ 18 (พฤหัสบดี) – ขา (Legs Day)
“วันขาคือวันที่แยกคนที่มุ่งมั่นจากคนที่แค่ทำไปวันๆ ไม่มีใครชอบเมื่อต้องลุกจากที่นั่ง แต่ทุกคนชอบผลลัพธ์ที่ได้”
วันนี้เราจะมุ่งเน้นที่กล้ามเนื้อขาซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย:
- Barbell Squat 4×10
- Romanian Deadlift 4×10
- Walking Lunge 3×15 (ก้าวละข้าง)
- Calf Raise 3×30
โค้ชปุนิ่มเตือน: “สควอทควรจบด้วยกล้ามเนื้อสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ควรจบแบบสบายเกินไป สิ่งสำคัญคือความลึกของท่า ย่อให้ลึกจนต้นขาขนานกับพื้น แต่ไม่เกินจุดที่ส้นเท้ายกจากพื้น”
ในประสบการณ์การเตรียมตัวแข่งขัน Elite Physique Championships 2022 ฉันพบว่าการฝึกขาแบบแยกกลุ่มย่อยมีประสิทธิภาพมากกว่าการฝึกรวมๆ โดยแบ่งเป็น:
- Quads Day – เน้น Squat, Leg Extension, Hack Squat
- Hamstrings & Glutes Day – เน้น RDL, Leg Curl, Hip Thrust
ความเข้าใจเรื่องกายวิภาคของขาเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา:
- Quadriceps – กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า มี 4 หัว (Vastus Lateralis, Vastus Medialis, Vastus Intermedius, Rectus Femoris) ต้องทำท่าที่มีการงอเข่า เช่น Squat, Leg Extension
- Hamstrings – กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง มี 3 หัว (Semitendinosus, Semimembranosus, Biceps Femoris) ต้องทำท่าที่มีการงอสะโพก เช่น RDL, Leg Curl
- Glutes – กล้ามเนื้อสะโพก มี 3 ส่วน (Maximus, Medius, Minimus) เน้นด้วยท่า Hip Thrust, Glute Bridge
- Calves – กล้ามเนื้อน่อง มี 2 ส่วน (Gastrocnemius, Soleus) ต้องฝึกทั้งแบบขาตรงและขางอ
เทคนิคพิเศษในการทำ Squat ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด:
- การวางเท้า – กว้างประมาณเท่าไหล่หรือกว้างกว่าเล็กน้อย ปลายเท้าบิดออกด้านนอก 15-30 องศา
- การวางบาร์ – พาดบนกล้ามเนื้อ Trapezius (ไม่ใช่บนกระดูกคอ) สำหรับ High Bar Squat หรือต่ำลงมาบน Posterior Deltoid สำหรับ Low Bar Squat
- การหายใจ – สูดลมเข้าลึกๆ ก่อนย่อตัวลง เกร็งท้องเพื่อสร้าง Intra-abdominal Pressure เพื่อรักษาเสถียรภาพของหลัง
- เส้นทางการเคลื่อนที่ – ย่อตัวลงในแนวดิ่ง ไม่โน้มตัวไปด้านหน้ามากเกินไป เข่าเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับปลายเท้า
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการฝึกขา:
- การทำไม่ครบ Range of Motion – ย่อตัวไม่ลึกพอในท่า Squat ทำให้กล้ามเนื้อไม่ถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่
- การโฟกัสเฉพาะ Quads – ละเลย Hamstrings และ Glutes ทำให้เกิดความไม่สมดุล
- การใช้น้ำหนักมากเกินไป – ทำให้ฟอร์มเสียและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- การพักนานเกินไป – ลดความเข้มข้นของการฝึก ควรพักแค่ 1-2 นาทีระหว่างเซต
สาระน่ารู้จากงานวิจัย: การศึกษาจาก Journal of Strength and Conditioning Research วิเคราะห์ผลของความลึกในการทำ Squat พบว่า Full Depth Squat (ย่อจนต้นขาขนานกับพื้นหรือต่ำกว่า) กระตุ้นกล้ามเนื้อ Glutes และ Hamstrings มากกว่า Quarter Squat (ย่อเพียง 1/4 ของช่วงการเคลื่อนไหว) ถึง 25% นอกจากนี้ยังพบว่าเพิ่มการสร้างฮอร์โมนเติบโตและเทสโทสเตอโรนมากกว่าถึง 200%