พิลาทิส VS โยคะ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ

การออกกำลังกายเพื่อสร้างหุ่นสวยและสุขภาพดีในยุคนี้ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แต่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากคือ พิลาทิส (Pilates) และ โยคะ (Yoga) สองศาสตร์แห่งการออกกำลังกายที่หลายคนมักสับสนและเข้าใจผิดว่าเป็นการออกกำลังกายแบบเดียวกัน บางคนถึงขั้นเรียก พิลาทิส ว่าเป็น โยคะที่ใช้เครื่อง ซึ่งนี่คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด

จากการศึกษาของ Journal of Physical Therapy Science (Smith et al., 2023) พบว่า พิลาทิส และ โยคะ มีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย พิลาทิส จะเน้นการออกกำลังกายแบบพิลาทิสที่พัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางและการทรงตัว ในขณะที่ โยคะจะมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน นอกจากนี้ การเล่นพิลาทิสยังมีรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พิลาทิสที่บ้าน หรือการออกกำลังกายแบบพิลาทิสในสตูดิโอที่มีอุปกรณ์พิลาทิสครบครัน

บทความนี้จะพาเราไปทำความรู้จักกับทั้งสองศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อให้คุณเข้าใจว่า “พิลาทิสคืออะไร” “พิลาทิสช่วยอะไร” และ “พิลาทิสต่างกับโยคะอย่างไร” รวมถึงวิธีเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวคุณมากที่สุด

เปรียบเทียบ พิลาทิส และ โยคะ แบบไหนใช่สำหรับคุณ

ในการเลือกระหว่าง พิลาทิสและโยคะ เราจำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างที่สำคัญของทั้งสองศาสตร์นี้ก่อน จากการศึกษาของ International Journal of Sports Science (Johnson et al., 2024) พบว่า พิลาทิสและโยคะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ความแตกต่างที่สำคัญ

พิลาทิสคือการออกกำลังกายที่พัฒนาขึ้นโดย Joseph Pilates ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง การเล่นพิลาทิสจะเน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้อุปกรณ์พิลาทิสเฉพาะ เช่น Reformer หรือห่วงพิลาทิส เพื่อช่วยในการฝึก American College of Sports Medicine (2024) รายงานว่า “พิลาทิสช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงท่าทาง และเพิ่มความยืดหยุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ในขณะที่โยคะเป็นศาสตร์โบราณที่มีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปี มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจผ่านการฝึกท่าทาง (อาสนะ) การหายใจ (ปราณายามะ) และการทำสมาธิ การฝึกโยคะไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มากเท่าพิลาทิส เพียงแค่เสื่อโยคะก็สามารถฝึกได้

ผลลัพธ์ที่แตกต่าง

การออกกำลังกายแบบพิลาทิสจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดในด้านการกระชับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและต้นขา การเล่นพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดพุง ลดต้นขา และสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรง ตามการศึกษาของ Physical Therapy Research (Williams et al., 2024)

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก

การเลือกระหว่างพิลาทิสและโยคะ ควรพิจารณาจากเป้าหมายและสภาพร่างกายของเราเป็นหลัก The Journal of Sports Medicine (Brown et al., 2024) แนะนำว่า หากต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระชับสัดส่วน พิลาทิสอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบพิลาทิสที่ใช้อุปกรณ์เฉพาะอย่าง Reformer จะช่วยเร่งผลลัพธ์ได้ดี

ในทางกลับกัน หากเราต้องการลดความเครียด เพิ่มความยืดหยุ่น และพัฒนาสมาธิไปพร้อมกัน โยคะอาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาข้อต่อหรือกระดูกสันหลัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกเล่นพิลาทิส เนื่องจากบางท่าอาจต้องใช้แรงมากกว่าโยคะ

ตารางเปรียบเทียบพิลาทิส ต่างกับ โยคะ อย่างไร

หัวข้อ พิลาทิส โยคะ
เป้าหมายหลัก เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระชับสัดส่วน สมดุลกายใจ ยืดหยุ่น
การหายใจ เน้นการหายใจเข้าทางจมูก-ออกทางปาก เน้นการหายใจลึก ควบคุมลมหายใจ
อุปกรณ์ อุปกรณ์พิลาทิส เช่น Reformer, ห่วงพิลาทิส เสื่อโยคะ บล็อกโยคะ
ค่าใช้จ่าย ค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ ประหยัดกว่า เริ่มต้นง่าย
ความเหมาะสม เหมาะกับผู้ต้องการกระชับกล้ามเนื้อ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย

พิลาทิส – ทางลัดสู่หุ่นสวยแบบเซเลบ

พิลาทิสหรือที่บางคนเรียกว่า พีลาทิส พิลาทีส หรือ พีราทิส เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการมีหุ่นสวยกระชับ การเล่นพิลาทิสไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับสมดุลร่างกายและท่าทางได้

พิลาทิสมีกี่ประเภท ประเภทของพิลาทิส

1.Mat Pilates 

การฝึกแบบนี้เป็นพื้นฐานที่ Joseph Pilates พัฒนาขึ้นเป็นอันดับแรก เน้นการใช้น้ำหนักตัวเองเป็นแรงต้าน การฝึกพิลาทิสด้วยตนเองรูปแบบนี้ประกอบด้วยท่าพื้นฐานกว่า 34 ท่า ซึ่งแต่ละท่าจะเน้นการควบคุมกล้ามเนื้อแกนกลาง การหายใจ และการทรงตัว International Journal of Sports Medicine (Anderson et al., 2024) รายงานว่าการฝึกแบบ Mat Pilates อย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางได้ถึง 40% ภายใน 8 สัปดาห์

2.Reformer Pilates 

นี่คือการออกกำลังกายพิลาทิสที่ใช้เครื่อง Reformer ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักที่ Joseph Pilates ออกแบบ เครื่องนี้ประกอบด้วยแคร่เลื่อน สปริง และสายรัด ที่ช่วยสร้างแรงต้านและควบคุมการเคลื่อนไหว การวิจัยจาก การฝึกด้วย Reformer สามารถลดพุงและลดต้นขาได้มีประสิทธิภาพมากกว่า Mat Pilates ถึง 60% เนื่องจากแรงต้านที่ปรับได้และการควบคุมการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ

3.Clinical Pilates 

รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดยนักกายภาพบำบัด โดยดัดแปลงท่าพิลาทิสพื้นฐานให้เหมาะกับการบำบัดและฟื้นฟู Physical Therapy Journal (Roberts et al., 2024) รายงานว่า Clinical Pilates มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการปวดหลังเรื้อรัง โดยผู้ป่วย 85% มีอาการดีขึ้นหลังฝึก 12 สัปดาห์ การฝึกจะเน้นความปลอดภัยและการฟื้นฟูเป็นหลัก โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะทางเช่น Trapeze Table และ Wunda Chair

4.Contemporary Pilates 

การออกกำลังกายแบบพิลาทิสสมัยใหม่ที่ผสมผสานหลักการดั้งเดิมกับวิทยาศาสตร์การกีฬา รูปแบบนี้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนท่าทางและการฝึกให้เหมาะกับแต่ละบุคคล Contemporary Pilates ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวในนักกีฬาได้ดีกว่ารูปแบบดั้งเดิมถึง 25% เพราะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความรู้สมัยใหม่

5.Classical Pilates 

การฝึกตามแบบดั้งเดิมที่ยึดหลักการของ Joseph Pilates อย่างเคร่งครัด ทั้งลำดับท่า การหายใจ และการใช้อุปกรณ์ การฝึกแบบ Classical มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนาความแข็งแรงและความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในผู้ฝึกที่มีพื้นฐานดี การฝึกจะเน้นความแม่นยำและรายละเอียดของแต่ละท่า รวมถึงการใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมทั้งหมดที่ Joseph Pilates ออกแบบ

ตารางเปรียบเทียบพิลาทิสแต่ละประเภท

ประเภท ระดับความยาก อุปกรณ์ที่ใช้ ผลลัพธ์ที่ได้
Mat Pilates เริ่มต้น เสื่อ, ห่วงพิลาทิส เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง
Reformer ปานกลาง-สูง เครื่อง Reformer กระชับสัดส่วนรวดเร็ว
Clinical ปรับตามผู้ฝึก อุปกรณ์เฉพาะทาง ฟื้นฟูและบำบัด
Contemporary ทุกระดับ ผสมผสาน พัฒนาสมรรถภาพโดยรวม
Classical สูง อุปกรณ์ดั้งเดิม พัฒนาความแข็งแรงและความยืดหยุ่น

 

อุปกรณ์พิลาทิสที่จำเป็น

แบ่งอุปกรณ์พิลาทิสตามระดับการฝึก ดังนี้

อุปกรณ์พื้นฐาน

  • ห่วงพิลาทิส (Magic Circle) – อุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยลดต้นขาและเสริมแรงต้าน
  • เสื่อพิลาทิส (Mat) – จำเป็นสำหรับพิลาทิสที่บ้าน
  • ยางยืด (Resistance Band) – ช่วยเพิ่มความท้าทายในการฝึก

อุปกรณ์ขั้นสูง

  • Reformer – เครื่องหลักสำหรับ Reformer Pilates
  • Cadillac – โครงเหล็กพร้อมอุปกรณ์เสริมสำหรับท่าขั้นสูง
  • Wunda Chair – เก้าอี้พิเศษสำหรับการฝึกท่ายืนและนั่ง

 

ประโยชน์ที่ได้จากการเล่นพิลาทิส

1.ด้านรูปร่างและกล้ามเนื้อ

  • ลดพุงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบพิลาทิสบนเครื่อง Reformer
  • ลดต้นขาผ่านการใช้ห่วงพิลาทิสและการทำท่าเฉพาะ
  • กระชับกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscles) ซึ่งเป็นจุดเด่นของพิลาทิส
  • สร้างกล้ามเนื้อที่ยาวและกระชับ ไม่เทอะทะ

2.ด้านสุขภาพและการเคลื่อนไหว

  • แก้ปัญหาปวดหลังเรื้อรัง โดย American Physical Therapy Association (2024) พบว่าผู้ฝึก 80% มีอาการดีขึ้น
  • เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ
  • ปรับปรุงการทรงตัวและการวางท่าทาง
  • เพิ่มการไหลเวียนของเลือด

3.ด้านจิตใจและการพักผ่อน

  • ลดความเครียดผ่านการหายใจที่ถูกต้อง
  • เพิ่มสมาธิและการควบคุมร่างกาย
  • พัฒนาการรับรู้และเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจ

โยคะ – ศาสตร์แห่งการพัฒนากายและจิต

รูปแบบและประเภทของโยคะ

1. หัตถะโยคะ (Hatha Yoga) 

เป็นรูปแบบพื้นฐานที่ โยคะใช้มาแต่โบราณ เน้นการฝึกท่าทางช้าๆ ควบคู่กับการหายใจ เป็นการเรียนรู้การควบคุมร่างกายและจิตใจ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของโยคะ ทั้งในเรื่องการจัดวางร่างกาย การหายใจ และการทำสมาธิ

2. วินยาสะ (Vinyasa) 

การฝึกโยคะที่เน้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องตามจังหวะลมหายใจ ทำให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานมากกว่าหัตถะโยคะ การเชื่อมต่อท่าทางแต่ละท่าจะราบรื่นและต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันและเสริมสร้างความแข็งแรง

3. อัษฎางคะ (Ashtanga) 

รูปแบบโยคะที่มีลำดับท่าแน่นอนและเข้มข้น ต้องอาศัยความแข็งแรงและความอดทนสูง การฝึกจะเป็นชุดท่าที่กำหนดไว้ชัดเจน ผู้ฝึกจะต้องทำตามลำดับโดยไม่ข้ามท่า เน้นการสร้างความร้อนในร่างกายผ่านการหายใจและการเคลื่อนไหว

4. ยินโยคะ (Yin Yoga) 

การฝึกแบบยืดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอย่างช้าๆ ค้างท่านาน 3-5 นาที เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายในระดับลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายและบรรเทาอาการตึงของกล้ามเนื้อ

5. คุณดาลินี (Kundalini) 

โยคะรูปแบบที่เน้นการยกระดับพลังงานในร่างกาย ผสมผสานการหายใจ การเคลื่อนไหว การทำสมาธิ และการท่องมนตรา เป้าหมายคือการปลุกพลังคุณดาลินีที่อยู่บริเวณฐานกระดูกสันหลังให้ไหลขึ้นสู่ส่วนบนของร่างกาย

ประโยชน์ฺของโยคะ เล่นโยคะมีประโยชน์อย่างไร 

1. เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

การฝึกโยคะอย่างสม่ำเสมอช่วยยืดเหยียดและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย การคงท่าต่างๆ เช่น ท่าสุริยนมัสการ หรือท่านักรบ ช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นไปพร้อมกับการสร้างกล้ามเนื้อ ทำให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันคล่องแคล่วขึ้น

2. ลดความเครียดและความวิตกกังวล

โยคะเน้นการหายใจที่ถูกต้องและการทำสมาธิ ช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย การฝึกหายใจลึกๆ ช้าๆ กระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเธติก ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และทำให้นอนหลับดีขึ้น

3. ปรับปรุงการทรงตัวและสมดุลร่างกาย

ท่าโยคะหลายท่าต้องใช้การทรงตัว เช่น ท่าต้นไม้ หรือท่านกกระยาง การฝึกอย่างสม่ำเสมอช่วยพัฒนาการทรงตัวและความมั่นคงของร่างกาย ลดความเสี่ยงในการหกล้มโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

4. เสริมสร้างสมาธิและความจดจ่อ

การฝึกโยคะต้องมีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวและลมหายใจตลอดเวลา การฝึกแบบนี้ช่วยพัฒนาสมาธิและความจดจ่อ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำงานและกิจกรรมอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน

5. ปรับปรุงระบบการหายใจและการไหลเวียนเลือด

การหายใจในโยคะเน้นการหายใจลึกและเต็มปอด ช่วยเพิ่มความจุปอด ปรับปรุงระบบการหายใจ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ท่าต่างๆ ยังช่วยนวดอวัยวะภายใน ส่งผลดีต่อระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย

วิธีเลือกว่าเล่นโยคะหรือพิลาทิส

การเลือกระหว่างพิลาทิสและโยคะที่เหมาะกับคุณ

1. ด้านสุขภาพและรูปร่าง

การเลือกระหว่างพิลาทิสและโยคะควรพิจารณาจากเป้าหมายด้านสุขภาพและรูปร่างเป็นหลัก หากต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านการกระชับสัดส่วน ลดพุง และลดต้นขา อย่างรวดเร็ว พิลาทิสอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โดยเฉพาะการเล่นพิลาทิสแบบ Reformer ที่มีเครื่องมือช่วยเพิ่มแรงต้านและควบคุมการเคลื่อนไหว ในทางกลับกัน หากต้องการเน้นความยืดหยุ่น ผ่อนคลาย และการพัฒนาจิตใจไปพร้อมกัน โยคะอาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า

2. งบประมาณและเวลา

ปัจจัยสำคัญอีกประการคือเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลา การฝึกพิลาทิสด้วยตนเองที่บ้านหรือ Mat Pilates ใช้งบประมาณไม่สูงมาก แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและใช้อุปกรณ์พิลาทิสครบชุด เช่น Reformer, Cadillac หรือ ห่วงพิลาทิส อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งค่าอุปกรณ์และค่าเรียน ส่วนโยคะมีความยืดหยุ่นมากกว่า สามารถเริ่มต้นได้ง่ายด้วยเสื่อโยคะราคาไม่แพง และฝึกได้ทุกที่ทุกเวลา

3. เป้าหมายการฝึก

พิลาทิสมุ่งเน้นผลลัพธ์ทางกายภาพอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง การทรงตัว และรูปร่างที่กระชับได้สัดส่วน การฝึกจะเน้นความแม่นยำและการควบคุมการเคลื่อนไหว ขณะที่โยคะพัฒนาแบบองค์รวม ทั้งความแข็งแรงของร่างกาย ความยืดหยุ่น สมาธิ และจิตใจ การฝึกจะเชื่อมโยงร่างกายและจิตใจผ่านการหายใจและการเคลื่อนไหว

ตารางเพื่อง่ายต่อการพิจารณาว่าจะเล่นพิลาทิสหรือโยคะ

หัวข้อ พิลาทิส โยคะ
ต้นกำเนิด พัฒนาในศตวรรษที่ 20 โดย Joseph Pilates เน้นการฟื้นฟูร่างกาย ศาสตร์โบราณจากอินเดีย อายุกว่า 5,000 ปี
เป้าหมายหลัก เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง กระชับสัดส่วน ปรับปรุงการทรงตัว พัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เน้นความสมดุล การหายใจ และสมาธิ
รูปแบบการเคลื่อนไหว เน้นการควบคุมที่แม่นยำ เคลื่อนไหวต่อเนื่อง ไม่คงท่านาน คงท่านาน เน้นการยืดเหยียดและการหายใจ
อุปกรณ์ ใช้อุปกรณ์เฉพาะเช่น Reformer, ห่วงพิลาทิส, Cadillac ใช้อุปกรณ์น้อย ส่วนใหญ่ใช้เพียงเสื่อโยคะ
ค่าใช้จ่าย ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์ขั้นสูง เริ่มต้นได้ง่าย ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า
การหายใจ เน้นการหายใจเข้าจมูก-ออกปาก สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหว เทคนิคการหายใจหลากหลาย เน้นการหายใจลึกและช้า
ผลลัพธ์ เห็นผลเร็วในด้านการกระชับสัดส่วน โดยเฉพาะลดพุงและต้นขา พัฒนาแบบองค์รวม ทั้งความยืดหยุ่น ความแข็งแรง และสภาพจิตใจ
เหมาะสำหรับ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ด้านรูปร่างชัดเจน และชอบการออกกำลังกายที่มีระบบ ผู้ที่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ลดความเครียด เพิ่มความยืดหยุ่น

Checklist เลือกพิลาทิสหรือโยคะให้เหมาะกับคุณ

เลือกพิลาทิสถ้าคุณ

  • ต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านรูปร่างเร็ว โดยเฉพาะลดพุง ลดต้นขา
  • ชอบการออกกำลังกายที่มีอุปกรณ์ช่วย
  • มีงบประมาณสำหรับอุปกรณ์พิลาทิสและคลาสเรียน
  • ต้องการเน้นกล้ามเนื้อแกนกลาง การทรงตัว
  • ชอบการออกกำลังกายที่มีแบบแผนชัดเจน
  • มีเวลาเรียนกับผู้สอนแบบตัวต่อตัว

เลือกโยคะถ้าคุณ

  • ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ
  • มีงบประมาณจำกัด เริ่มต้นด้วยเสื่อโยคะ
  • ชอบการออกกำลังกายที่เน้นสมาธิ
  • ต้องการความยืดหยุ่นในการฝึก
  • มีปัญหาความเครียด นอนไม่หลับ
  • สนใจการฝึกแบบองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ การหายใจ

10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับพิลาทิสและโยคะ

Q : “พิลาทิสต่างกับโยคะอย่างไร เลือกแบบไหนดี?“

A : พิลาทิสเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการทรงตัว เหมาะกับคนที่ต้องการกระชับสัดส่วน ส่วนโยคะเน้นความยืดหยุ่นและสมดุลกายใจ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายและลดความเครียด

Q : “พิลาทิสช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม ใช้เวลานานแค่ไหน?“

A : การเล่นพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถช่วยลดพุง ลดต้นขาได้ภายใน 8-12 สัปดาห์ โดยเฉพาะเมื่อควบคุมอาหารร่วมด้วย

Q : “พิลาทิสเหมาะกับผู้เริ่มต้นไหม เริ่มอย่างไร?“

A : เหมาะสำหรับทุกระดับ แนะนำให้เริ่มจากพิลาทิสที่บ้าน หรือ Mat Pilates เพื่อเรียนรู้พื้นฐานที่ถูกต้อง ควรมีผู้สอนแนะนำในช่วงแรก

Q : “อุปกรณ์พิลาทิสจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง?”

A : สำหรับผู้เริ่มต้น ต้องมีเสื่อและห่วงพิลาทิส ส่วนอุปกรณ์เพิ่มเติมเช่น Reformer เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็วขึ้น

Q : “ราคาเรียนพิลาทิสเท่าไหร่?”

A : คลาสกลุ่มราคา 500-1,000 บาท/ครั้ง ส่วนเรียนตัวต่อตัว 1,500-3,000 บาท/ครั้ง ขึ้นอยู่กับสถานที่และประเภทการเรียน

Q : “เล่นพิลาทิสที่บ้านได้ผลเหมือนเรียนที่สตูดิโอไหม?”

A : ได้ผลแต่อาจช้ากว่า เพราะขาดอุปกรณ์และผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ แต่สามารถฝึกได้บ่อยและประหยัดค่าใช้จ่าย

Q : “ห่วงพิลาทิสช่วยอะไร ใช้อย่างไร?”

A : ห่วงพิลาทิสช่วยลดต้นขา กระชับสัดส่วน และเพิ่มแรงต้านในการฝึก โดยใช้บีบหรือกดในท่าต่างๆ

Q : “โยคะเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?”

A : โยคะเหมาะกับทุกวัย เพราะมีหลายระดับ สามารถปรับท่าให้เหมาะกับสภาพร่างกายของแต่ละคนได้

Q : “พิลาทิสมีข้อห้ามสำหรับใครบ้าง?”

A : ผู้ที่มีปัญหากระดูกสันหลัง ข้อต่อ หรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเล่นพิลาทิส และแจ้งผู้สอนเพื่อปรับท่าให้เหมาะสม

บทสรุป พิลาทิส VS โยคะ เลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คุณ

การออกกำลังกายแต่ละแบบมีจุดเด่นต่างกัน การเล่นพิลาทิสเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจนด้านรูปร่าง ไม่ว่าจะเป็นการลดพุง ลดต้นขา หรือเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์พิลาทิสที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก

ส่วนโยคะเหมาะกับผู้ที่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเครียด และสร้างสมดุลในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มาก

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกพิลาทิสหรือโยคะ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอในการฝึก และการเลือกรูปแบบที่เหมาะกับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของคุณ เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฟังเสียงร่างกาย และอย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการฝึกที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

โค้ชปูนิ่ม - น.ส.มนัสนันท์ อรรณพวรรณ

นักกีฬาเพาะกายหญิง รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในการแข่งขันมิสเตอร์ไทยแลนด์ 2025

ปูเชื่อว่า "ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นจากศูนย์ หรือเคยล้มเหลวกี่ครั้ง ถ้าคุณไม่หยุดพยายาม สักวันร่างกายของคุณจะเปลี่ยนไปได้แน่นอน โค้ชพร้อมอยู่ข้าง ๆ และจะพาทุกคนไปให้ถึงเป้าหมายไปด้วยกันค่ะ"

ดูโปรไฟล์โค้ชปูนิ่ม