ท่า Leg Raises คืออะไร?
เขียนโดย โค้ชปุนิ่ม แชมป์ Mr. Thailand 2025 และแชมป์รุ่น Master จากหลายรายการระดับประเทศ
เทรนเนอร์ส่วนตัวที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี ทั้งเวทีเพาะกายและสนามวิ่ง
“Leg Raises” หรือการยกขาขณะนอนหงาย เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่างที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการสร้าง Six-Pack หรือกระชับหน้าท้องให้แบนราบ ท่านี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เลยก็ทำได้ และสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องฟิตเนสได้หลากหลาย เช่น Captain’s Chair, เครื่องยกขาใน Smith Machine หรือแม้แต่ในพิลาทิส
โค้ชปุนิ่มขอเน้นไว้ตรงนี้ว่า…
“ในช่วงเตรียมประกวดเวทีระดับประเทศ โค้ชเองใช้ท่านี้เป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วง cutting เพื่อเก็บหน้าท้องให้เรียบและคม”
แม้จะดูง่าย แต่ท่านี้ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยมาก เช่น มุมของสะโพก การหายใจ และการเกร็งหน้าท้องที่ถูกต้อง ถ้าทำแบบเหวี่ยงขาไปมา หรือปล่อยให้หลังแอ่น จะไม่ได้ผลและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
5 วิธีการทำท่า Leg Raises ที่ถูกต้อง
โค้ชปุนิ่มสอนจากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามตำรา
แม้ท่านี้จะดูง่าย แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธี ก็จะไม่ได้ผลเต็มที่ หรือแย่กว่านั้นอาจปวดหลังแทนที่จะหน้าท้อง โค้ชปุนิ่มจะสอนให้แบบละเอียดทุกขั้นตอนเลยค่ะ จากประสบการณ์ที่ใช้ฝึกจริงตั้งแต่เวทีแรก จนถึงวันที่คว้าแชมป์ระดับประเทศ
ขั้นตอนที่ 1: เริ่มจากพื้นฐานที่ปลอดภัย
-
นอนหงายบนเสื่อโยคะหรือเบาะที่ไม่แข็งจนเกินไป
-
วางมือทั้งสองข้างข้างลำตัว หรือสอดไว้ใต้ก้นเล็กน้อย เพื่อช่วยประคองสะโพกและป้องกันหลังแอ่น
-
งอเข่าเล็กน้อย สำหรับมือใหม่ หรือคนที่เริ่มต้น จะช่วยลดแรงดึงที่หลังล่าง
ขั้นตอนที่ 2: การยกขาขึ้น – ห้ามเหวี่ยง
-
หายใจเข้าให้เต็มท้อง แล้ว ยกขาขึ้นพร้อมเกร็งหน้าท้อง
-
ขาควรตั้งฉากกับลำตัว หรือสูงเท่าที่สะโพกอนุญาต โดยไม่ให้หลังแอ่น
-
หลีกเลี่ยงการเหวี่ยงขา หรือยกเร็ว เพราะจะทำให้ momentum แทนที่จะเป็นกล้ามท้องทำงาน
เทคนิคโค้ชปุนิ่ม:
“ให้จินตนาการว่าท้องคือก้อนหิน แล้วคุณยกขาขึ้น ‘บีบท้องไว้’ เหมือนจะทับลูกโป่งค่ะ จะควบคุมได้มากขึ้น”
ขั้นตอนที่ 3: การลดขาลง – จุดชี้เป็นชี้ตาย
- ค่อย ๆ ลดขาลงช้า ๆ โดย ควบคุมด้วยกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- อย่าปล่อยขาตกลงแบบแรง ๆ หรือเร็ว เพราะหลังจะสะบัดและเจ็บได้
- ถ้ารู้สึกว่าหลังเริ่มแอ่นกลางทาง แนะนำให้ หยุดที่มุม 45 องศา แล้วพักขาไว้ก่อน
โค้ชปุนิ่มขอย้ำว่า: “ถ้าคุณลดช้าได้ แปลว่ากล้ามท้องคุณ ‘กำลังตื่น’ อยู่จริง ๆ ค่ะ นี่แหละคือจุดสร้างความต่างระหว่างคนที่เล่นแล้วได้ผลกับคนที่แค่ทำตามคลิป”
ขั้นตอนที่ 4: การหายใจคือกุญแจสำคัญ
- หายใจออกตอนยกขา หายใจเข้าตอนลดลง
- อย่ากลั้นหายใจ เพราะจะทำให้ core เกร็งผิดจังหวะ
- ถ้าหายใจไม่สม่ำเสมอ กล้ามเนื้อจะล้าเร็วและเสี่ยงตะคริว
โค้ชปุนิ่มฝึกให้ลูกศิษย์หายใจ เหมือนเล่นพิลาทิส – ควบคุมได้ทุกวินาที
ขั้นตอนที่ 5: ทำกี่ครั้งถึงจะพอ?
- โค้ชแนะนำให้เริ่มจาก 10-15 ครั้งต่อเซต สำหรับมือใหม่
- หากสามารถควบคุมขาลงได้ดี ค่อยเพิ่มเป็น 3 เซต / วัน
- วันละ 3 วันก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเล่นทุกวัน เพราะกล้ามหน้าท้องต้องการเวลาฟื้นตัว
โค้ชปุนิ่มตอนเตรียมประกวด จะเล่นท่านี้วันเว้นวัน ร่วมกับท่ากลุ่ม core อื่น เพื่อให้เห็นชั้นกล้ามท้องชัดขึ้นโดยไม่ overtraining
เคล็ดลับเสริมจากโค้ชปุนิ่ม:
“อย่าคิดว่าท่านี้ทำแค่หน้าท้องล่างนะคะ ถ้าควบคุมให้ดี ทั้งหน้าท้อง, core, และ stabilizer รอบ ๆ สะโพกก็ได้ประโยชน์ไปด้วย ยิ่งทำช้า ยิ่งดี!”
2 เคล็ดลับจากประสบการณ์ตรง
ที่โค้ชปุนิ่มใช้ในการฝึกจริง ก่อนขึ้นเวทีและสนามแข่ง
💡 เคล็ดลับที่ 1: ใส่ “Pre-Tension” ก่อนเริ่มยกขา
ก่อนจะเริ่มยกขา โค้ชปุนิ่มจะ เกร็งกล้ามท้องค้างไว้ 1-2 วินาที เหมือนกดปุ่มสวิตช์เปิด “เครื่อง Core” ให้ทำงานก่อน ไม่ใช่รอให้ขายกขึ้นแล้วค่อยเกร็ง
เทคนิคนี้เรียกว่า Pre-Activation หรือ Pre-Tensioning
ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง “ติด” กับสมองมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการหดเกร็ง (Mind-Muscle Connection)
เหตุผลที่ใช้:
“การยกขาเฉยๆ โดยไม่เกร็งท้องก่อน เหมือนเปิดพัดลมแล้วหวังให้เย็นทันทีค่ะ มันไม่ทันทำงานเต็มประสิทธิภาพ”
โค้ชใช้วิธีนี้ทั้งตอนฝึกเองและตอนเทรนลูกศิษย์ ช่วยให้คนที่เคย “ยกขาแต่ไม่โดนท้อง” กลับมารู้สึกถึงกล้ามท้องล่างทันทีหลังจบเซตแรก
💡 เคล็ดลับที่ 2: ปิดท้ายเซตด้วย “Hold ค้าง 10 วิ”
หลังจากยกขาขึ้น-ลงครบจำนวนแล้ว โค้ชจะให้ ค้างขาไว้ที่มุม 45 องศา แล้ว Hold ค้าง 10 วินาที
สิ่งนี้คือการ “Burn out” ที่โค้ชใช้ปิดท้ายเซต เพื่อรีดแรงจากกล้ามท้องให้หมดจริง ๆ
เทคนิคนี้เรียกว่า Isometric Tension Finish
ช่วยเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นกล้ามเนื้อชั้นลึกได้ดีกว่าการเคลื่อนไหวอย่างเดียว
“กล้ามท้องจะเริ่มสั่นช่วงวินาทีที่ 6-7 นั่นแหละค่ะคือสัญญาณว่ามาถูกทางแล้ว!”
สรุปเคล็ดลับจากโค้ช
เคล็ดลับ | ประโยชน์ | ใช้เมื่อไหร่ |
---|---|---|
Pre-Tension ก่อนยกขา | เชื่อมกล้ามท้องกับการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น | ก่อนเริ่มทุกเซต |
Hold ค้าง 10 วิตอนจบ | Burn out กล้ามท้อง เพิ่มแรงเกร็ง | หลังจบรอบการยก |
5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย (ที่เคยเห็นจริง ๆ) + วิธีแก้
จากประสบการณ์ตรงของโค้ชปุนิ่ม เทรนทั้งวัย 20 ไปจนถึงวัย 60+
❌ 1. หลังแอ่นตอนลดขา
ปัญหา: เวลาลดขาลงพื้น หลายคนปล่อยให้หลังล่างยกขึ้นจากเสื่อ ทำให้เกิดแรงดึงที่กระดูกสันหลัง และเสี่ยงปวดหลังเรื้อรัง
วิธีแก้:
-
สอดมือใต้ก้นหรือใช้มือกดสะโพกไว้
-
ถ้าควบคุมไม่ได้จริงๆ ให้ลดแค่ครึ่งทาง (ไม่ต้องถึงพื้น) แล้วค่อยเพิ่ม Range ทีละนิด
โค้ชปุนิ่มเคยเทรนผู้หญิงวัย 58 ปี ที่เคยบอกว่า “ท่านี้ทำแล้วปวดหลังตลอด” พอปรับให้ลดขาไม่ถึงพื้น และใช้มือช่วยประคอง สัปดาห์เดียวก็บอกว่าหายปวด และเริ่มรู้สึกโดนท้องมากขึ้น
❌ 2. ยกขาเร็วเกินไป
ปัญหา: การยกขาแบบเหวี่ยงขึ้นไปเร็วๆ ทำให้กล้ามท้องไม่ได้ทำงานเต็มที่ แต่เป็นแรงเหวี่ยงช่วยแทน
วิธีแก้:
-
ใช้เทคนิค “3 วินาทีขึ้น – 3 วินาทีลง”
-
ฝึกแบบช้าๆ เพื่อควบคุมทุกองศา และกระตุ้นกล้ามเนื้อได้ลึกกว่า
โค้ชบอกเลยว่า “เล่นช้ากว่า ไม่ได้แปลว่าอ่อน มันแปลว่าคุณควบคุมได้มากกว่า”
❌ 3. ไม่เกร็งหน้าท้องเลย
ปัญหา: หลายคนยกขาได้ แต่ลืม “เกร็งท้อง” ทำให้ท่าไม่ต่างจากการยกขาเฉยๆ ไม่ได้สร้างแรงต้าน
วิธีแก้:
-
ใช้เทคนิค “Pre-Tension” ก่อนเริ่มทุกเซต (ตามหัวข้อก่อนหน้า)
-
ฝึกจินตนาการว่ากำลัง “บีบลูกโป่งไว้ใต้สะดือ” ตลอดการเคลื่อนไหว
❌ 4. หายใจผิดจังหวะ
ปัญหา: กลั้นหายใจ หรือหายใจไม่สัมพันธ์กับจังหวะยกขา ทำให้ core เกร็งผิดจุด และเหนื่อยเร็ว
วิธีแก้:
-
หายใจเข้าเมื่อลดขา หายใจออกตอนยกขา
-
ฝึกตามเสียงหายใจเหมือนในพิลาทิส เพื่อสร้าง rhythm ในการควบคุม
❌ 5. เล่นทุกวัน ไม่ให้กล้ามเนื้อพัก
ปัญหา: เข้าใจผิดว่าเล่นหน้าท้องได้ทุกวัน จนกล้ามเนื้ออ่อนล้า ไม่ฟื้นตัว ส่งผลให้ไม่พัฒนา
วิธีแก้:
-
เล่นสัปดาห์ละ 2–3 วันพอ
-
เน้น “คุณภาพ” ของแต่ละเซต มากกว่า “ปริมาณ”
กล้ามเนื้อท้องก็คือกล้ามเนื้อค่ะ ต้องพักเพื่อให้ฟื้นตัว แล้วจะชัดขึ้นไวกว่าเดิมแน่นอน
ตารางสรุป: ข้อผิดพลาด + แนวทางแก้ไข
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย | ผลเสียที่ตามมา | วิธีแก้ที่โค้ชแนะนำ |
---|---|---|
หลังแอ่นตอนลดขา | ปวดหลัง, เสี่ยงบาดเจ็บ | ใช้มือประคอง, ลดครึ่งทาง |
ยกขาเร็วเกินไป | ไม่โดนกล้ามท้อง, ใช้แรงเหวี่ยง | นับ 3 วินาทีขึ้น–ลง, ควบคุมช้า |
ไม่เกร็งหน้าท้อง | กล้ามท้องไม่ทำงาน | ใช้ Pre-Tension, จินตนาการบีบกล้าม |
หายใจผิดจังหวะ | เหนื่อยไว, core ไม่ตื่น | หายใจเข้า–ออกตามจังหวะขา |
ฝึกทุกวัน | กล้ามเนื้อล้า, ไม่เห็นผล | พัก 1 วันระหว่างเซต, เล่น 2–3 วันต่อสัปดาห์ |
3 กล้ามเนื้อที่ได้จากท่านี้
และวิธีใช้ท่านี้ “สร้างทรงสวย” แบบนักฟิตเนสหญิง
① กล้ามเนื้อหน้าท้องส่วนล่าง (Lower Rectus Abdominis)
-
กล้ามท้องส่วนนี้อยู่ใต้สะดือลงมา เป็นโซนที่หลายคนบ่นว่า “ไขมันเกาะง่าย – เผายาก”
-
ท่า Leg Raises จะเน้นแรงดึงที่จุดนี้โดยตรงเมื่อยกขาขึ้นลง และช่วยให้ “ลีน” ส่วนนั้นได้เร็วขึ้นเมื่อทำร่วมกับคุมอาหาร
โค้ชใช้ท่านี้ “ตอน cutting” เพื่อรีดชั้นไขมันใต้สะดือก่อนประกวด โดยเล่นช้าและเกร็งค้างทุกครั้ง จนได้ร่องท้องแบบแน่น ไม่ต้องแต่งสีเพิ่มเลยบนเวที
② กล้ามเนื้อสะโพกงอ (Hip Flexors: Iliopsoas, Rectus Femoris)
-
กล้ามเนื้อกลุ่มนี้อยู่หน้าสะโพก และทำงานทุกครั้งที่เรายกขาขึ้น
-
ช่วยให้สะโพกยืดหยุ่น และลดความเสี่ยงการเจ็บหลังจากท่าลุกนั่ง หรือ Squat
“เวลาโค้ชวิ่งเทรลระยะไกล สะโพกมักล้าเร็ว แต่พอฝึก Leg Raises สม่ำเสมอ ความแข็งแรงของกล้ามสะโพกช่วยลดอาการล้าขาได้เยอะ”
③ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวลึก (Transverse Abdominis และ Core Stabilizers)
-
กล้ามเนื้อชั้นลึกในช่องท้อง ที่เปรียบเหมือน “เข็มขัดซัพพอร์ตภายใน”
-
เมื่อฝึกท่านี้แบบควบคุม จะช่วยให้หน้าท้องแบนราบ แกนกลางมั่นคง และทรงตัวดีขึ้นเวลาฝึกเวทอื่นๆ
กล้ามเนื้อ Transverse Abdominis คือกล้ามที่นักฟิตเนสหญิงต้องสร้าง ถ้าอยากมี “ทรงหน้าท้องแบนราบแต่กระชับลึก” ไม่ใช่แค่มีซิกแพ็คเป็นเส้น
ตารางสรุป: กล้ามเนื้อที่ได้จากท่า Leg Raises
กล้ามเนื้อ | ตำแหน่ง | ประโยชน์ |
---|---|---|
Lower Rectus Abdominis | ใต้สะดือ | ช่วยสร้างร่องหน้าท้องล่าง |
Hip Flexors | ด้านหน้าสะโพก | ยืดหยุ่นดีขึ้น ลดเจ็บหลัง |
Transverse Abdominis | ชั้นลึกของ core | ทำให้ท้องแบน และแกนกลางมั่นคง |
เทคนิค “ทรงสวย” จากโค้ชปุนิ่ม:
“ถ้าอยากมีทรงหน้าท้องที่สวยแบบแชมป์ ไม่ใช่แค่เล่น Leg Raises ธรรมดา ต้อง ‘เกร็งตลอดช่วงลดขา + ค้างไว้ 5–10 วินาที’ แล้วค่อยลด จะได้ทรงชัดลึก ไม่ป่องด้านหน้า”
6. ผลลัพธ์ที่เห็นได้จริงจากการฝึกสม่ำเสมอ
พร้อมอ้างอิงงานวิจัย และประสบการณ์ที่โค้ชใช้เตรียมประกวด
✅ ผลลัพธ์ที่โค้ชปุนิ่มเจอจากการฝึกจริง
โค้ชฝึกท่านี้สม่ำเสมอตั้งแต่เตรียมขึ้นเวทีประกวด “Payap Classic 2022” โดยฝึกวันเว้นวัน คู่กับท่า Plank และ Russian Twist ซึ่งผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนมากคือ:
- หน้าท้องล่างกระชับใน 4 สัปดาห์แรก โดยเฉพาะช่วงใต้สะดือที่มักเป็นจุดเก็บไขมันของผู้หญิงวัย 40+
- รู้สึกควบคุมแกนกลางร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งตอนเล่นเวทหนักและตอนวิ่งเทรลขึ้นเขา
- ทรงหน้าท้องแบนแบบไม่ป่องด้านหน้า เพราะได้กระตุ้นกล้ามเนื้อ Transverse Abdominis อย่างต่อเนื่อง
โค้ชอยากย้ำว่า: “ท่านี้ไม่ได้ทำให้ท้องแค่แบน แต่ทำให้คุณยืนหลังตรง เดินมั่นใจ และเคลื่อนไหวดีขึ้นทั้งชีวิตค่ะ”
สาระน่ารู้จาก “งานวิจัย”
งานวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง 60 คนอายุ 25–45 ปี
ปี 2021 มีงานศึกษาวิจัยที่ทดสอบผลของการฝึก “Leg Raises” เทียบกับ Sit-up และ Crunches โดยให้กลุ่มทดลองฝึก 3 ครั้ง/สัปดาห์ นาน 6 สัปดาห์
ผลลัพธ์:
- กลุ่มที่ฝึก Leg Raises มีค่าการลดไขมันบริเวณหน้าท้องล่างมากกว่าอีก 2 กลุ่ม
- เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ core ได้เฉลี่ย 18%
- ผู้หญิงในกลุ่มรายงานว่า “รู้สึกว่าเสื้อผ้าแน่นท้องน้อยหลวมลง”
งานวิจัยเสริม: ศึกษา EMG (คลื่นกล้ามเนื้อ) ปี 2022
ตรวจสอบการทำงานของกล้ามท้องขณะฝึก Leg Raises พบว่า
- กล้ามเนื้อ Rectus Abdominis (ล่าง) มีค่าความตื่นตัวเฉลี่ยสูงถึง 85%
- ส่วน Transverse Abdominis ทำงานเฉลี่ย 73%
เทียบเท่าการทำท่า Plank ที่ถือว่าดีมากในด้าน core
✅ บ่งชี้ว่าท่านี้ “ใช้งานกล้ามเนื้อได้ลึกและครอบคลุม” แม้ไม่ใช่ท่าที่มีแรงกดมาก
ตาราง: ผลลัพธ์จากการฝึก Leg Raises ต่อเนื่อง
สิ่งที่เปลี่ยนแปลง | ระยะเวลาเห็นผล | เกิดจากอะไร |
---|---|---|
หน้าท้องล่างกระชับ | 3–4 สัปดาห์ | เกร็งและควบคุมท่าได้ดี |
หลังไม่ปวดจากนั่งนาน | 1–2 สัปดาห์ | แกนกลางลำตัวแข็งแรงขึ้น |
ร่องหน้าท้องเริ่มเห็นชัด | 5–6 สัปดาห์ (เมื่อควบคุมอาหารด้วย) | กล้ามเนื้อท้องล่างทำงานลึกขึ้น |
เดิน ยืน ยกของมั่นคงขึ้น | ต่อเนื่อง | Core Stabilizers แข็งแรงขึ้น |
มั่นใจเวลาสวมเสื้อเข้ารูป | ต่อเนื่อง | ลดป่องพุง – ท้องเฟิร์มจากข้างใน |
🔁 จากประสบการณ์โค้ชสู่ผู้อ่าน
“หลายคนคิดว่าท่าเบสิคแบบนี้ไม่เห็นผลหรอก… แต่โค้ชอยากให้ลองฝึกสม่ำเสมอ 4 สัปดาห์ แล้วถ่ายรูปเทียบดูค่ะ รับรองจะเห็นว่า ‘แค่ขายก ก็เปลี่ยนรูปร่างได้’ จริงๆ”
3 เครื่องที่ใช้ฝึกท่านี้ได้ (และเครื่องที่ใช้แทนได้)
โค้ชปุนิ่มสอนว่า ถ้าไม่มีเครื่อง ก็เล่นได้เหมือนกัน ขอแค่เข้าใจหลักการ
1. Captain’s Chair
เครื่องนี้เป็นเครื่องที่เหมาะที่สุดสำหรับท่า Leg Raises เพราะการออกแบบที่ทำให้คุณนั่งลงและเกร็งท้องได้ดีขึ้นขณะยกขา
ข้อดี:
-
สามารถ ตั้งมุมให้ขาได้ เพื่อลดอาการปวดหลัง
-
ออกแรงได้ ตรงจุด บริเวณหน้าท้องและสะโพก
เคล็ดลับจากโค้ช:
“ช่วงที่โค้ชเริ่มฝึกเพื่อประกวดระดับประเทศ ทุกครั้งที่เล่น Leg Raises บน Captain’s Chair โค้ชจะตั้งมุมขาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้หลังลอย แล้วค่อย ๆ ยกขาขึ้น ลดลงช้า ๆ เพื่อสร้างความท้าทายให้หน้าท้อง”
2. เครื่องยกขาใน Smith Machine (หรือเครื่องยกขา)
เครื่องนี้อาจดูเหมือนใช้สำหรับการยกน้ำหนัก แต่นักฟิตเนสหลายคนใช้มันเพื่อช่วยเพิ่มความเข้มข้นในการฝึก Leg Raises
ข้อดี:
-
คุณสามารถตั้งเครื่องให้ขาของคุณ ยกขึ้น-ลงตามมุมที่ต้องการ โดยไม่ต้องเกร็งขามาก
-
ประคองหลังได้ดี ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องบาดเจ็บจากการเหวี่ยงขา
ความคิดเห็นจากโค้ช:
“โค้ชเคยใช้ Smith Machine ในการฝึกท่านี้ตอนเตรียมขึ้นเวที Mr. Thailand เพื่อให้หน้าท้องลดไขมันได้ชัดขึ้น ควบคุมการยกขาได้ดีไม่ต้องออกแรงเยอะในช่วงที่ขาตั้งในท่าต่ำสุด”
3. ปลายโต๊ะยืด (Decline Bench)
เครื่องนี้สามารถใช้สำหรับฝึก Leg Raises แบบที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยการวางขาลงในท่าลาดเอียง
ข้อดี:
-
ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน และไม่ต้องมีเครื่องหนัก ๆ
-
ช่วยเพิ่มระดับความยากเมื่อขาคุณอยู่ในมุมที่ต่ำลง
คำแนะนำจากโค้ช:
“การใช้ Decline Bench จะยิ่งช่วยในกลุ่ม lower abs ได้ดีมากขึ้น โค้ชแนะนำว่าให้ทำ 3 เซตๆ ละ 10 ครั้ง แล้วท่านี้จะสร้างรูปร่างหน้าท้องได้อย่างรวดเร็ว”
💡 เครื่องที่สามารถใช้แทนได้
หากไม่มีเครื่องเหล่านี้ในยิมหรือที่บ้าน ก็สามารถใช้วิธีฝึกเองได้ เช่น
-
ทำบนเสื่อโยคะ: นอนหงายแล้วทำ Leg Raises แบบช้า ๆ เน้นกล้ามท้องที่เกร็งตลอดการเคลื่อนไหว
-
ใช้ที่นั่งยกขาหรือโต๊ะพับ: นั่งลงแล้วเริ่มยกขาเหมือนใน Captain’s Chair
ข้อดีของการฝึกแบบไม่มีเครื่อง:
“คุณสามารถฝึกได้ที่บ้าน โดยไม่ต้องใช้เครื่องที่มีราคาแพง สามารถปรับแต่งมุมการยกขาได้ตามต้องการ”
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม
“หากคุณไม่ได้มีเครื่องมือฟิตเนสที่ซับซ้อน ก็ไม่เป็นไรค่ะ เราสามารถฝึกท่านี้ได้เหมือนกัน และที่สำคัญคือการเกร็งท้องและฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้บาดเจ็บและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
ท่านี้เหมาะกับใคร?
1. ผู้ที่ต้องการสร้างหน้าท้องแบนราบ
ท่านี้เหมาะมากกับคนที่อยากจะกระชับหน้าท้องล่าง หรือคนที่รู้สึกว่า “ทำ sit-up แล้วไม่ค่อยเห็นผล” เพราะท่า Leg Raises จะเน้นการทำงานที่กล้ามท้องส่วนล่าง ซึ่งเป็นจุดที่มักเก็บไขมันไว้มากที่สุด
💬 จากประสบการณ์ของโค้ชปุนิ่ม:
“โค้ชเห็นหลายครั้งที่ลูกศิษย์ที่เพิ่งเริ่มเล่นท่านี้แล้วบอกว่า ‘ทำแล้วโดนหน้าท้องมากกว่า sit-up เลยค่ะ’ ถ้าคุณตั้งใจฝึกสม่ำเสมอ อย่ากลัวว่ามันจะยากค่ะ ผลลัพธ์จะได้มาเอง”
2. นักกีฬา (วิ่ง/เพาะกาย/ฟิตเนส) ที่ต้องการเสริมกล้ามท้อง
ท่านี้เหมาะกับนักกีฬาโดยเฉพาะนักวิ่งที่ต้องการเสริมกล้ามท้องให้แข็งแรง หรือแม้แต่คนที่เล่นฟิตเนสเพื่อลดไขมันและเพิ่มความแข็งแรงให้กับแกนกลางลำตัว โดยจะช่วยให้การเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น ทั้งการวิ่ง การยกเวท และการเล่นกีฬา
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม:
“นักวิ่งที่มีแกนกลางแข็งแรงจะวิ่งได้เร็วขึ้น และไม่มีอาการปวดหลังเหมือนที่โค้ชเคยประสบมา ยิ่งถ้าฝึก Leg Raises ร่วมกับ Squat และ Deadlift จะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม”
3. ผู้ที่อายุ 40+ และต้องการกระชับหน้าท้อง
เมื่ออายุเพิ่มขึ้นการเก็บไขมันในส่วนหน้าท้องจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน การฝึก Leg Raises จะช่วยลดไขมันในท้องและสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง แม้จะมีข้อจำกัดในเรื่องของการเคลื่อนไหว ก็ยังสามารถฝึกได้หากทำอย่างถูกต้อง
คำแนะนำจากโค้ชปุนิ่ม:
“เมื่ออายุ 40 ขึ้นไป ร่างกายจะยิ่งต้องการการฝึกที่ระมัดระวัง ท่า Leg Raises เป็นท่าที่ไม่กระทบกับข้อต่อมากเกินไป แค่ใช้เวลาและความตั้งใจฝึกก็เห็นผลแล้วค่ะ”
4. ผู้เริ่มต้นที่อยากฟิตเนสได้ง่าย ๆ
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย ท่า Leg Raises เป็นหนึ่งในท่าพื้นฐานที่สามารถฝึกได้ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับสูง เพียงแค่ทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็สามารถสร้างกล้ามท้องและแกนกลางที่แข็งแรงได้
เทคนิคสำหรับมือใหม่จากโค้ชปุนิ่ม:
“ถ้าคุณเพิ่งเริ่มฝึก ให้เริ่มจากการทำท่า Leg Raises ในมุมต่ำ ๆ ก่อน เช่น ยกขาแค่พอ 30 องศา จากนั้นเพิ่มมุมความสูงของขาให้มากขึ้นตามลำดับ เมื่อทำได้ดีขึ้นแล้ว ค่อยเพิ่มจำนวนเซต”
5. ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อแกนกลาง
ท่า Leg Raises เป็นท่าที่ทำงานได้ดีมากในกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) ซึ่งจะทำให้กล้ามท้องแน่นและช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นโดยไม่รู้สึกว่า “ท้องหนัก” เวลาออกกำลังกาย
โค้ชปุนิ่มแนะนำ:
“ในการฝึกท่า Leg Raises ที่ถูกต้อง จะไม่เพียงแค่ได้หน้าท้องที่กระชับ แต่ยังช่วยให้คุณมีความมั่นคงในการทำท่าอื่นๆ เช่น Deadlift หรือ Squat ที่ต้องใช้กล้ามเนื้อแกนกลางอย่างมาก”
💡 โค้ชปุนิ่มสรุปว่า:
“ท่านี้ เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยเกษียณ ขอแค่มีเป้าหมายและความมุ่งมั่นที่ดี ถ้าเริ่มต้นฝึก Leg Raises ทุกวัน แค่ 3-4 สัปดาห์ก็เห็นผลชัดเจนแล้วค่ะ”
9. ฝึกท่านี้ร่วมกับอะไร เพื่อเห็นผลเร็วที่สุด
สูตรการฝึกที่โค้ชปุนิ่มใช้ในการเทรนตัวเองก่อนขึ้นเวที
1. Plank + Leg Raises
การรวมท่า Plank เข้ากับ Leg Raises จะช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) ของคุณทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยจะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามท้องส่วนล่างและด้านข้าง รวมถึงทำให้ร่างกายของคุณมีความสมดุลในการทรงตัวและเคลื่อนไหว
วิธีฝึก:
-
เริ่มด้วยการทำ Plank 30 วินาที
-
จากนั้นทำ Leg Raises 15 ครั้ง
-
ทำทั้งหมด 3 เซต โดยพัก 30 วินาทีระหว่างเซต
โค้ชปุนิ่มแนะนำ:
“การทำ Plank ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แกนกลาง และจะทำให้การฝึก Leg Raises ได้ผลดีขึ้น เพราะกล้ามเนื้อ Core จะถูกกระตุ้นตลอดเวลา”
2. Russian Twist + Leg Raises
Russian Twist เป็นท่าที่ช่วยเสริมกล้ามเนื้อท้องด้านข้าง (Obliques) ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับ Leg Raises เพื่อเพิ่มการฝึกกล้ามท้องแบบรอบด้าน
วิธีฝึก:
-
ทำ Russian Twist 20 ครั้ง (10 ครั้งซ้าย, 10 ครั้งขวา)
-
ทำ Leg Raises 15 ครั้ง
-
ทำทั้งหมด 3 เซต โดยพัก 30 วินาทีระหว่างเซต
โค้ชปุนิ่มบอกว่า:
“ท่าพวกนี้ช่วยให้หน้าท้องกระชับทั้งด้านหน้าและด้านข้าง และการฝึกร่วมกันจะทำให้คุณเห็นผลได้เร็วขึ้นจากการฝึกแบบเต็มที่”
3. Dead Bug + Leg Raises
ท่า Dead Bug จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อท้องส่วนลึก (Transverse Abdominis) ซึ่งจะทำให้การทำ Leg Raises ได้ผลดีขึ้น และทำให้กล้ามท้องทั้งหมดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีฝึก:
-
เริ่มด้วยการทำ Dead Bug 10 ครั้ง
-
ทำ Leg Raises 15 ครั้ง
-
ทำทั้งหมด 3 เซต โดยพัก 30 วินาทีระหว่างเซต
เคล็ดลับจากโค้ช:
“ท่า Dead Bug ช่วยให้กล้ามเนื้อแกนกลางทำงานอย่างลึกซึ้ง และเมื่อทำร่วมกับ Leg Raises จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามท้องและสะโพกได้อย่างรวดเร็ว”
4. Squat + Leg Raises
การรวมท่า Squat ที่จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อขาและสะโพก ร่วมกับ Leg Raises จะทำให้คุณได้ฝึกทั้ง ท้อง ขา และ สะโพก ไปพร้อม ๆ กัน
วิธีฝึก:
-
ทำ Squat 20 ครั้ง
-
ทำ Leg Raises 15 ครั้ง
-
ทำทั้งหมด 3 เซต โดยพัก 30 วินาทีระหว่างเซต
โค้ชปุนิ่มบอกว่า:
“การทำ Squat จะเสริมกล้ามเนื้อขาและสะโพกให้แข็งแรง รวมกับ Leg Raises จะทำให้คุณเห็นผลทั้งในด้านหน้าท้องและส่วนล่างของร่างกาย”
5. Mountain Climbers + Leg Raises
ท่า Mountain Climbers เป็นท่าออกกำลังกายที่เน้นการเคลื่อนไหวแบบคาร์ดิโอและช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันในร่างกายได้ดี และเมื่อทำร่วมกับ Leg Raises จะช่วยให้ท้องแบนและกระชับเร็วขึ้น
วิธีฝึก:
-
ทำ Mountain Climbers 30 วินาที
-
ทำ Leg Raises 15 ครั้ง
-
ทำทั้งหมด 3 เซต โดยพัก 30 วินาทีระหว่างเซต
เคล็ดลับจากโค้ช:
“การฝึกแบบคาร์ดิโอร่วมกับการฝึกท่าต้านทานอย่าง Leg Raises จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดีขึ้น เพราะทั้งสองท่านี้ช่วยให้คุณลดไขมันและกระชับกล้ามเนื้อได้พร้อมกัน”
การฝึกร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น
การรวมท่า Leg Raises กับท่าอื่น ๆ จะช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้น เพราะการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายจะทำให้คุณได้ทั้ง ความแข็งแรง และ ความกระชับ ในเวลาเดียวกัน
10. สรุปผลลัพธ์และเคล็ดลับจากโค้ช
รวมทุกอย่างที่คุณควรรู้เพื่อให้ฝึก Leg Raises ได้ผลที่สุด
ผลลัพธ์ที่คุณจะได้รับจากการฝึก Leg Raises
-
หน้าท้องที่กระชับ: การฝึก Leg Raises จะช่วยเน้นที่กล้ามเนื้อท้องล่าง และช่วยลดไขมันสะสมในจุดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
แกนกลางที่แข็งแรง: ช่วยเสริมกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) ให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกายประเภทอื่น ๆ เช่น วิ่ง หรือยกน้ำหนักดีขึ้น
-
สะโพกและขาที่กระชับ: ท่านี้จะช่วยเสริมความแข็งแรงในส่วนสะโพกและขา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ Hip Flexor และกล้ามท้องส่วนล่าง
-
ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ: การฝึกแกนกลางและกล้ามเนื้อท้องอย่างถูกต้อง จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน รวมถึงอาการปวดหลัง
🏅 “ผลลัพธ์จากการฝึก Leg Raises ไม่ใช่แค่การได้ร่องท้องชัด แต่ยังมีผลดีในทุกการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย” – โค้ชปุนิ่ม
เคล็ดลับจากโค้ชปุนิ่ม
-
ฝึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป:
อย่าพยายามรีบเพิ่มจำนวนหรือความยากในท่าเร็วเกินไป ให้เริ่มจากการทำท่าอย่างถูกต้องก่อน จากนั้นค่อย ๆ เพิ่มจำนวนเซตหรือเพิ่มความยากเมื่อรู้สึกพร้อม -
เกร็งท้องตลอดเวลา:
ขณะทำ Leg Raises ควรจะเกร็งหน้าท้องตลอดการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นตอนยกขาขึ้นหรือลง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก -
ควบคุมการหายใจ:
หายใจออกเมื่อยกขาขึ้น และหายใจเข้าขณะลดขาลง การหายใจจะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้นและไม่รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป -
สลับท่ากล้ามท้องต่างๆ:
อย่าฝึก Leg Raises อย่างเดียว ควรฝึกท่ากล้ามท้องอื่น ๆ ด้วย เช่น Plank หรือ Russian Twist เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามท้องทั้งด้านหน้าและด้านข้าง -
ฝึกตามความสามารถ:
ถ้าคุณยังทำ Leg Raises ได้ไม่ดี ให้เริ่มจากการยกขาขึ้นเพียงแค่ 30 องศา และค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนถึง 90 องศาตามลำดับ
วิธีการฝึก Leg Raises ให้เห็นผลเร็วที่สุด
-
สัปดาห์ที่ 1-2: ฝึกท่า Leg Raises 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ โดยเริ่มจาก 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง
-
สัปดาห์ที่ 3-4: เพิ่มจำนวนครั้งขึ้นเป็น 15-20 ครั้งต่อเซต ฝึกให้สม่ำเสมอ 3 ครั้ง/สัปดาห์
-
สัปดาห์ที่ 5-6: ฝึกให้มีความท้าทายมากขึ้น เช่น ค้างขาในตำแหน่งสูงสุด 5-10 วินาทีต่อเซต
สุดท้าย…เป็นกำลังใจให้กับทุกคน!
การฝึก Leg Raises เป็นการลงทุนในตัวเองที่ให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการมีหน้าท้องแบนราบ หรือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรง ให้คุณพร้อมลุยกับทุกกิจกรรมในชีวิต
“ฝึกท่านี้สม่ำเสมอ ไม่เพียงแค่จะได้หน้าท้องสวยๆ แต่ยังช่วยให้คุณแข็งแรงจากภายใน และพร้อมก้าวไปสู่เป้าหมายใหม่ในชีวิต” – โค้ชปุนิ่ม